วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ปฏิรูปกรุงเทพ เพื่อปฏิรูปประเทศ

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ น่าจะเป็นนักการเมืองเพียงไม่กี่คนในโลกที่เสียชีวิตแล้ว ไม่ถูกผู้คนที่เห็นต่างก่นด่าสาปแช่ง แต่กลับแสดงความเสียใจและเสียดายอย่างสุดซึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ social media สามารถแพร่กระจายข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็ว โดยปราศจากการตรวจสอบข้อเท็จจริง

ครั้งยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้รับการยอมรับว่าเป็นนักการเมืองน้ำดีของเมืองไทย ได้มีโอกาสแสดงวิสัยทัศน์ เสนอให้กรุงเทพเป็นมหานครนานาชาติ (International City) และเป็นหัวหอกในการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะเรื่องความโปร่งใส และการขจัดทุจริตคอรัปชั่นให้หมดไป เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ไม่เพียงเฉพาะเมืองหลวง แต่สำหรับประเทศทั้งประเทศด้วย

คงเป็นความโชคดีไม่น้อยถ้าชาวกรุงเทพมีโอกาสได้ผู้นำที่ชื่อ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ

ถ้าใครมีโอกาสได้ดูคลิปวีดีโอจะเห็นว่า ท่านได้แสดงวิสัยทัศน์สวยหรู ภาษาพูด ภาษากาย อายคอนแทค บ่งบอกถึงความพร้อมที่จะอาสามาเป็นผู้นำของมหานครแห่งนี้

วันนี้ต้องยอมรับว่ายังคาดการณ์ไม่ออกเหมือนกัน ว่ากรุงเทพจะเป็นมหานครนานาชาติในรูปแบบใด

แต่ที่แน่นอนอยู่แล้ว กรุงเทพมหานครน่าจะต้องมีนโยบายที่เป็นรูปธรรม เข้าใจง่าย ประจักษ์ต่อสายตา และพี่น้องประชาชนสัมผัสได้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อดีตนายกทักษิณยังคงไม่เลือนลางไปจากการเมืองไทย

นโยบายสำคัญที่วาดออกมาเป็นรูป 9 เหลี่ยม 9 ด้านด้วยกันดังนี้
1. น้ำ
2. ความสะอาด-สิ่งแวดล้อม
3. วิศวกรรม-ความปลอดภัย
4. หลักประกัน-คุณภาพชีวิต
5. การศึกษา
6. เทคโนโลยี-นวัตกรรม
7. การท่องเที่ยว-วัฒนธรรม
8. ภาพลักษณ์-การต่างประเทศ
9. คมนาคม-ขนส่งสาธารณะ

อย่างไรก็ตามนโยบายอาจจะต้องสอดคล้องกับงานของรัฐบาล ต้องมีการประสานงานร่วมกันระหว่างนโยบายแต่ละด้านและเป็นการทำงานแบบบูรณาการ ซึ่งรายละเอียดของนโยบาย ความคาดหวัง รวมถึงการวัดผลการปฏิบัติงาน จะได้แจกแจงรายละเอียดในโอกาสต่อไป...

วันพฤหัสบดีที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ทำไมทหารถึงยอมตาย..?

ใครเคยสงสัยไหมว่า ทำไมตำรวจ ทหาร ต้องฝึกซ้ายหัน ขวาหัน ทวนคำสั่ง... เพราะใครๆก็ทำได้

แต่เนื่องด้วยพันธกิจและบริบทของกองทัพ 

นอกจากจะเป็นการบ่มระเบียบวินัย การเพาะความอดทน โดยให้ทุกคนทำอย่างสามัคคีกันแล้ว... จนเกิดความเป็นปึกแผ่นของกองทัพ ที่มีบทบาทในสังคมไทยสูงมาก

ยังเป็นจิตวิทยาในการรับและปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา โดยไม่ต้องตั้งคำถาม


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ระเบียบทหาร
เมื่อฝึกปฏิบัติ 'ขวาหัน ซ้ายหัน กลับหลังหัน' ทุกเช้าทุกเย็นตามคำสั่งที่ผ่านเข้ามา

เวลาออกปฏิบัติหน้าที่ ก็จะสามารถทำตามคำสั่งได้ทันทีโดยอัตโนมัติ แม้จะต้องออกไปเจอความเสี่ยงแค่ไหน อย่างไรก็ตาม

ถ้าผู้มีอำนาจปัจจุบัน (ซึ่งล้วนเป็นผู้นำกองทัพทั้งสิ้น) เห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมแล้วละก็

ในลักษณะเดียวกัน ความมีระเบียบวินัยของประชาชน ที่ได้รับการฝึกฝนจนมีความรู้สึกว่าเป็นเรื่องอัตโนมัติ

เช่น การฝึกยืนบนบันไดเลื่อนให้ชิดซ้ายหรือชิดขวา เป็นมาตรฐานด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น เพราะต้องเคารพสิทธิของคนอื่นที่รีบกว่า ให้สามารถเดินขึ้นทางที่ว่างได้ หรือ การชิดซ้ายหลีกทางให้รถฉุกเฉินก่อนเสมอ จนกลายเป็น'วินัย โดยอัตโนมัติ'





'วินัยโนมัติ' จะฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ให้เราเคารพสิทธิ์ของตนเอง ไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น และมีสำนึกต่อส่วนรวม โดยไม่ต้องให้ใครมาตั้งคำถามเช่นกัน

ทำแบบนี้ได้อย่างต่อเนื่อง สังคมอาจมีความเข้มแข็งไม่แตกต่างจากบุคลากรในกองทัพ และไม่ยอมให้ใครผู้หนึ่งผู้ใดมาตักตวงผลประโยชน์ส่วนรวมไปเป็นของส่วนตัวได้

เพราะประเทศที่ผู้คนมีระเบียบวินัย ต่างเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับให้มีการคอรัปชั่นต่ำ และล้วนเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งสิ้น

บางทีปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมหรือในที่สาธารณะ อาจจะบรรเทาลงได้ ด้วยการเริ่มต้นจากการฝึกวินัยง่ายๆ ให้เป็นอัตโนมัติของแต่ละบุคคลเสียก่อน

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ธุรกิจอะไรบ้างที่ถูก disrupt..?

กระแสการ disrupt ของธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

การ disrupt กิจการเหล่านี้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้เป็นช่วงที่การติดต่อสื่อสารและการกระจายข่าวเป็นไปอย่างรวดเร็วและแพร่หลาย ผ่านทาง social media นั่นเอง

ถ้ายังจำกันได้ ธุรกิจระดับโลกที่ถูก disrupt ลำดับแรกๆก็จะเป็นฟิล์มกล้องถ่ายรูป Kodak Fuji อะไรทำนองนั้น ต่อมากล้องถ่ายรูปดิจิตอลก็ถูก disrupt โดยมือถือที่ถ่ายรูปได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้องมือถือ smart phone ที่มีความคมชัดสูงมาก

แต่ก่อนหน้านั้นหลายสิบปี รถไฟหัวจักรไอน้ำก็ถูก disrupt โดยรถไฟเครื่องยนต์ดีเซล และต่อมาก็ถูกแทนที่ด้วยรถไฟที่ใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทนเครื่องยนต์

ธุรกิจรถม้าก็ถูก disrupt โดยรถที่ใช้เครื่องยนต์ ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมรูปแบบหนึ่งที่มีความสำคัญที่สุดต่อการดำรงชีวิตของมนุษยชาติ แต่ต่อไปรถยนต์ก็กำลังจะถูก disrupt โดยรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV)

โทรศัพท์สาธารณะ โทรศัพท์บ้าน รวมถึงธุรกิจมีเดียก็ถูก disrupt โดยโทรศัพท์มือถือ จนบริษัทที่ทำธุรกิจเหล่านี้ขาดทุนแต่ละปีเป็นจำนวนเงินมหาศาล ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือก็กำลังถูก disrupt โดยอินเทอร์เน็ตและ Social media ส่งผลให้การติดต่อระหว่างกันแทบจะฟรีและสื่อสารกันได้ทั่วโลกแบบไร้พรมแดน

บริษัทเอกชนที่ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ปรับตัวได้เร็ว หันมาให้บริการdata internet 4G แทนการรอเก็บค่าบริการจากค่าใช้โทรศัพท์เพียงอย่างเดียว

หากย้อนกลับไปสมัยที่เราเป็นเด็ก เรามักจะใช้โทรศัพท์ตู้หยอดเหรียญ ที่ตั้งเรียงรายอยู่ใต้ถุนของโรงเรียน หรือตามป้ายรถเมล์ทั่วเมือง ต่อมาก็พัฒนาเป็นบัตรโทรศัพท์แทนใช้เหรียญ สมัยก่อนจึงเห็นได้ว่าการต่อคิวใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะนั้นเป็นเรื่องปกติ





แต่หลายครั้งเราจะเห็นตู้โทรศัพท์กลายเป็นที่ติดประกาศรับสมัครงาน ประกาศเงินกู้ด่วนทันใจ และไม่ได้รับการดูแลรักษา จนโทรศัพท์ส่วนมากจะชำรุด กลายเป็นเพียงตู้สำหรับหลบแดดหลบฝนเท่านั้น

จากการถูก disrupt อย่างรุนแรงและยาวนาน ตู้โทรศัพท์ของไทยถือได้ว่าเป็นขยะสาธารณะที่หลงเหลืออยู่มากที่สุด จนกระทั่งปัจจุบันแทบจะหายสาบสูญไปจากสายตาของเรา โดยไม่รู้เลยว่าจุดจบบั้นปลายของมันเป็นอย่างไร





ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อยามฉุกเฉินบางครั้งตู้โทรศัพท์เหล่านี้อาจยังมีความจำเป็นสำหรับพี่น้องประชาชนที่สัญจรไปมาและประชาชนที่มีรายได้น้อยก็ได้

หากพอยังมีหลงเหลืออยู่บ้าง สามารถพัฒนาเป็นตู้หยอดเหรียญ เพื่อช๊าตโทรศัพท์มือถือสำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยว เป็นจุดเรียกขอความช่วยเหลือ191 จุดติดตั้งกล้อง CCTV ให้พี่น้องประชาชน รวมถึงใช้เป็นป้ายแผนที่แนะนำเส้นทางการท่องเที่ยว และสถานที่ท่องเที่ยวในละแวกนั้นๆ ให้กับคนไทยและชาวต่างชาติที่เดินผ่านไปมา

โดยเฉพาะในจุดสำคัญๆของกรุงเทพมหานคร สามารถทำเป็นการนำร่องก่อนได้เลย





หลายคนฟังแล้วคงจะฉุกคิดขึ้นมาว่า มีหวังว่าอุปกรณ์เหล่านี้ต้องถูกขโมย ต้องถูกทำลาย ไม่ช้าก็เร็วแน่นอน หรืออาจจะเป็นที่แปะป้ายเงินกู้เหมือนในอดีต

แต่ถ้าเรามอบหมายให้เป็นหน้าที่ของพี่ๆคนกวาดขยะให้ดูแล ก็น่าจะขจัดปัญหาดังกล่าวไปได้ และแทนที่จะมัวแต่ตัดพ้อต่อว่า ทำไมเราไม่ช่วยกันพัฒนาความมีสำนึกต่อส่วนรวมของคนในชาติกันตั้งแต่วันนี้

อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีสมัยนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้กระทำความผิด จะเล็ดลอดจากสายตาของเจ้าหน้าที่รัฐไปได้อย่างลอยนวล... ถ้าเขาเอาจริง

วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ทำไมเราควรได้มากกว่านโยบาย 'ช็อปช่วยชาติ'

ปี 2560 กรุงเทพได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีผู้คนมาเยือนมากที่สุดในโลก แต่ไม่สำคัญเท่าการสำรวจว่า กรุงเทพเป็นเมืองที่มีการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวมากที่สุดอีกด้วย

เห็นได้ชัดว่ามรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ให้กับประเทศชาตินั้นล้ำค่าขนาดไหน สามารถดึงดูดให้ผู้คนมาเยือนได้มากที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่อง

แสดงว่าประเทศนี่ที่เจ้าของประเทศชอบพูดกันว่าไร้ระเบียบ ไร้วินัย หรือแม้แต่ไร้(การบังคับใช้)กฏหมาย ก็ยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านกิจกรรมการท่องเที่ยวไม่แพ้ใครในโลก

นี่ขนาดยังไม่ได้มีการออกมาตรการดึงดูดชาวต่าชาติแบบจริงๆจังๆเหมือนกับประเทศญี่ปุ่น

จะมีก็แต่นโยบายช็อปช่วยชาติของรัฐบาล ที่มอบสิทธิการลดหย่อนภาษี 15,000 บาท ให้กับประชาชนคนชั้นกลางที่เสียภาษีบุคคลธรรมดาก็เท่านั้น

ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงอีกกลุ่มก็คือ ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งทั่วประเทศ ที่มีระบบการออกบิลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว ครบถ้วน ซึ่งล้วนแต่มีเศรษฐีและนายทุนเป็นเจ้าของห้าง

ถ้าสามารถสื่อสารผ่านข้อความไปยังผู้ออกนโยบายของรัฐบาลนี้ได้ จะขอบอกว่าเมื่อเขาได้รับประโยชน์นี้มาแล้วหลายปี

ทำไมไม่ให้เขาช่วยสังคมเล็กๆน้อยๆ ขอความร่วมมือให้ประกาศประชาสัมพันธ์และทำป้ายตั้งอยู่ทุกทางขึ้น-ลงบันใดเลื่อนในห้าง

เริ่มต้นจากการใช้บันใดเลื่อน ให้ยืนฝั่งเดียวกันทั้งหมด จะซ้ายหรือขวาก็เลือกเอาอันใดอันหนึ่งให้เหมือนกันหมดทั้งประเทศ

เว้นว่างอีกฝั่งหนึ่งไว้ให้สิทธิกับคนที่กำลังเร่งรีบ จะได้เดินขึ้นไปได้

เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ซึ่งดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ประเทศที่มีปัญหาคอรัปชั่นน้อย ประชาชนเขาต่างก็เลือกยืนบนบันใดเลื่อนฝั่งเดียวกันทั้งนั้น

การลงทุนของห้างสรรพสินค้าเท่านี้ เทียบกันไม่ได้เลยกับกำไรที่เขาได้รับจากนโยบายช่วยชาติของรัฐบาลคุณลุงประยู้ดดด..

ถ้าสามารถเริ่มต้นวินัยง่ายๆแบบนี้ได้แล้ว ผสมรวมกับมกดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ

เชื่อเหลือเกินว่าไม่เพียงแต่กรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่หัวเมืองท่องเที่ยวต่างๆในประเทศไทย ย่อมเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ทำแบบนี้ได้ สุดท้ายผลประโยชน์ที่ได้รับจะตกอยู่กับคนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะรายได้มากหรือรายได้น้อยก็ตามที

วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ถ้าคุณอยากมีอำนาจ คุณต้องครอบครอง 4 ปัจจัยเหล่านี้

ว่ากันว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกที่อ่อนแอที่สุด

ตั้งแต่เกิดออกมาจากท้องแม่ สัตว์ทุกชนิดจะตะเกียกตะกายดิ้นรนเอาชีวิตรอดได้ด้วยตัวของมันเอง

แต่มนุษย์ เมื่อออกมาจากท้องแม่เป็นทารก ถ้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่แล้ว เป็นเรื่องยากที่จะเอาชีวิตรอดและเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ได้

เมื่อเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ มนุษย์ที่อยู่รอดมาได้ด้วยการเลี้ยงดูเป็นพิเศษ ประกอบกับความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติให้มา ทำให้มนุษย์เกือบจะควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้

เว้นแต่ภัยจากธรรมชาติเสียเอง ที่มนุษย์มิอาจต้านทานได้เท่านั้น

มนุษย์ด้วยกันเองยังแบ่งกลุ่ม แบ่งชนชั้น แบ่งเชื้อชาติ แบ่งพรรค แบ่งพวก

แต่สิ่งที่เหมือนกันของมนุษย์ทั่วโลกตั้งแต่โบราณกาล คือ มนุษย์กลุ่มเล็กๆที่จะสามารถควบคุมมนุษย์อื่นได้นั้น ต้องครอบครองปัจจัยแห่งอำนาจเหล่านี้

ในยุคโรมัน อำนาจที่เบ็ดเสร็จจะขึ้นอยู่กับบุคคลที่ครอบครองปัจจัย 2 ประเภท ได้แก่
1. เงิน (Money)
2. อาวุธ (Weapon)

ในสมัยนี้ อำนาจที่เบ็ดเสร็จจะขึ้นอยู่กับบุคคลที่ครอบครองปัจจัย 3 ประเภท ได้แก่
1. เงิน (Money)
2. อาวุธ (Weapon)
3. ความคิด (Idea)

สำหรับสมัยที่ครอบครัวมีทายาท อำนาจที่เด็ดขาดขึ้นอยู่กับการครอบครองกับปัจจัย 4 ประเภท ได้แก่
1. เงิน (Money)
2. อาวุธ (Weapon)
3. ความคิด (Idea)
4. เสียงทารก (Infant Noise)

ที่ไหนมีเด็กทารกหรือเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถสื่อสารความต้องการของตัวเองให้คนอื่นเข้าใจได้ จะรู้ดีว่าเสียงร้องทารก สามารถทำให้ทุกคนต้องยอมศิโรราบโดยดี

บางทีแล้วในพุทธประเทศที่ยึดศีลธรรมนำทาง หรือในยุคสมัยใหม่ที่เรากำลังเผชิญปัญหาสังคมสูงวัย การครอบครองปัจจัยลำดับที่ 4 อาจทำให้มีพลังอำนาจเหนือกว่าผู้ใหญ่ที่ครอบครอง 3 ปัจจัยแห่งอำนาจข้างต้นก็ว่าได้ เพราะเด็กทารกจะกลายเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดในอนาคต

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Japan stories

มีอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ใครจะทำธุรกิจอะไร ให้ไปดูงานที่ญี่ปุ่น ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ ให้กลับมาคิดดูใหม่ว่าทำแล้วจะไปรอดไหม

มีอาจารย์อีกท่านหนึ่งบอกว่า ประเทศมีจุดเด่นด้านการให้บริการที่สุดไม่ใช่ไทย แต่เป็นญี่ปุ่น สังเกตได้จากการทักทาย การขอบคุณ ความอ่อนน้อม โค้งแล้วโค้งอีก

ฟังดูแล้วราวกับว่าประเทศญี่ปุ่นดูดีกว่าเมืองไทยแทบจะทุกมิติ

ทุกคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นจะต้องพบว่า สถานที่แต่ละแห่งเขามักจะสร้างเรื่องราวให้เป็นที่น่าสนใจ (ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม) หรือที่สมัยนี้เรียกกันว่า มีสตอรี่ (story)

ที่วัดดังในกรุงโตเกียว จะมีกระถางธูปที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าถ้ากวักควันจากกระถางนั้นเข้าหาตัวแล้ว จะมีโชคลาภเข้ามา จะถูกจะผิด จะเชื่อไม่เชื่อ ไม่ทราบได้ แต่คนส่วนมากมักจะต้องไปที่วัดนี้ แม้ฝูงชนจะเบียดเสียดแค่ไหน ต้องเดินเข้าไปให้ถึงกระถางธูปและทำตามนั้น

ที่ภูเขาแห่งหนึ่ง มีไข่ดำที่เกิดจากกำมะถัน เชื่อกันว่าใครได้กินไข่ 1 ฟอง จะมีอายุยืนขึ้น 7 ปี จะถูกจะผิด จะเชื่อไม่เชื่อ ไม่ทราบได้ แต่คนส่วนใหญ่จะต้องไปที่นั่น และกินไข่ดำที่ราคาสูงกว่าท้องตลาดหลายร้อยเปอร์เซนต์

ที่พักในต่างจังหวัด จะมีที่พักแบบวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เรียกว่า 'เรียวกัง' และมีบ่อน้ำแร่ร้อน 'ออนเซ็น' ให้แช่ตัว โดยส่วนมากจะมีบริการระดับ 5 ดาว พนักงานอ่อนน้อมตามแบบฉบับชาวญี่ปุ่นโบราณ บริการพร้อมอาหารสุดหรู และแน่นอนราคาแพงกว่าที่พักทั่วไปหลายร้อยเปอร์เซนต์

ที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งคือ ไข่ลวกของไทยๆ ราคา 10-20 บาท/ฟอง แต่ถ้าพลิกมุมนิดเดียว เป็นไข่(ลวก)ออนเซนแบบญี่ปุ่น ราคาจะแพงขึ้นมาทันที 3-4 เท่าตัว

เนื้อวัวในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเนื้อที่มีความอร่อยระดับโลก ความนุ่มระดับละลายในปาก มีวิธีการเลี้ยงแบบพิเศษ โดยทั่วไปเนื้อวัวจะเป็น 'เนื้อติดมัน' แต่ที่ญี่ปุ่นเขาเลี้ยงด้วยวิธีพิเศษให้เป็นเนื้อแบบ 'มันติดเนื้อ' และแน่นอนราคาแพงกว่าตลาดทั่วไปหลายร้อยเปอร์เซนต์

ที่กล่าวมาทั้งหมดนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยอมจ่ายราคาสุดแพงโดยดุษฎี

เพราะมันคือเสน่ห์ของ STORY และเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของธุรกิจท่องเที่ยว

จากประสบการณ์ส่วนตัว คงจะบอกได้ว่าร้านอาหารที่อร่อยในญี่ปุ่น จะเป็นร้านที่เล็กๆแคบๆ เจ้าของร้านทำกันเอง และมักจะไม่ใช่ร้านแฟรนไชส์

บางร้านคนยืนต่อคิวเพื่อรอที่นั่งออกมานอกร้าน ตั้งแต่ร้านเปิด 10.30 น. จนเดินผ่านไปอีกที 14.30 น. ตลอด 4-5 ชั่วโมง ก็ยังมีคิวยืนรอยาวเหยียดทั้งๆที่ฝนก็ตกโปรยปราย




ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะร้านแคบ ที่นั่งน้อย หรือลูกค้าอาจมาเกินปริมาณที่ร้านสามารถรองรับได้

ถ้าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับนักธุรกิจ แน่นอนว่าจะต้องคิดถึงการขยายร้านเพื่อให้บริการลูกค้าที่มีความต้องการมากขึ้น

เราไม่รู้ว่าชาวญี่ปุ่นคิดแบบเดียวกันหรือไม่ อาจเป็นเพราะข้อจำกัดบางประการทำให้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ หรือที่จริงแล้วเขาเพียงแค่ต้องการทำสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีที่สุดอย่างใส่ใจทุกรายละเอียด

นี่คงเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนไทยจำนวนมากชอบเที่ยวญี่ปุ่น

ร้านค้าของชาวญี่ปุ่น จะมีสินค้าวางเรียงรายกันเต็มชั้น ฉลากสินค้ามีรูปและตัวหนังสือใหญ่ๆ สีสันสดใสดูลายตาไปหมด ที่สำคัญร้านค้าจะเปิดไฟสว่างมากทุกดวง เสมือนฟรีค่าไฟ แม้ในตอนกลางวันก็เปิดไฟสว่างมากกว่าคนไทยเปิดไฟในตอนกลางคืน




ยิ่งมีนโยบายดึงดูดนักช้อปต่างชาติ tax-free shop ที่กำหนดการใช้จ่ายขั้นต่ำต่อใบเสร็จที่ 1,500 บาทด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สินค้าภายในร้านเป็นที่นิยมของทั้งชาวไทยและชาวจีน

ด้วยนโยบาย กลยุทธ์ คุณภาพผลิตภัณฑ์ เอกลักษณ์ ประเพณี และความใส่ใจทุกรายละเอียดของชาวญี่ปุ่น ส่งผลให้ธุรกิจการค้าของคนญี่ปุ่นได้ประโยชน์ไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่มีอะไรที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ที่คนไทยจะทำบ้างไม่ได้

ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเราเสริมนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษและความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวด้วยแล้ว คงยากที่ประเทศไทยจะไม่เป็นอันดับหนึ่งในจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติทั่วโลก โดยเฉพาะลูกค้าระดับคุณภาพที่เรากำลังหมายปอง

เปรียบเทียบ การท่องเที่ยวไทย vs. ญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเป็นสถานที่ยอดฮิตอันดับต้นๆของคนไทย หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศยกเลิกการขอวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย เพื่อเป็นปัจจัยหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น ที่มีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง

ประกอบกับธุรกิจสายการบินมีการแข่งขันสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของ low-cost airline ทำให้ค่าโดยสารโดยเฉลี่ยต่ำลง คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงบริการได้ไม่ยากนัก

ในปี 2016 คนไทยที่ไปญี่ปุ่นประมาณ 1,000,000 คน ถ้าคิดคร่าวๆขั้นต่ำว่า ค่าใช้จ่ายต่อคน เท่ากับ 40,000 บาท ประเทศซามูไรจะได้รับเงินจากคนไทย ปีละประมาณ 40,000 ล้านบาท

ไม่นับรวมประเทศจีน เกาหลี ใต้หวัน อเมริกา ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปแดนอาทิตย์อุทัยมากกว่าคนไทยหลายเท่าตัว

ด้วยเหตุนี้ ใครที่ได้เดินทางไปญี่ปุ่นจะพบว่า ธุรกิจการค้าของเขาดูคึกคัก โรงแรมใกล้สถานีรถไฟจะถูกจองเต็มล่วงหน้าหลายเดือน ผู้คนดูหนาแน่นไปทุกหนทุกแห่ง ร้านค้าจะต้องมีป้ายกำกับหลากหลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน ฝรั่ง รวมถึงภาษาไทย

ข้อมูลของ JTB tourism research ปี 2016 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น 24 ล้านคน ส่วนประเทศไทยในปีเดียวกัน มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในแผ่นดินประมาณ 32 ล้านคน

ส่วนต่างนักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศคิดเป็นร้อยละ 25 โดยที่แผ่นดินไทยมีพื้นที่ 513,000 ตร.กม. ซึ่งกว้างใหญ่กว่าแผ่นดินญี่ปุ่นที่มีพื้นที่เพียง 377,000 ตร.กม. คิดเป็นประมาณร้อยละ 26.5 ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างข้อมูลทั้ง 2 แล้วใกล้เคียงและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ส่วนประมาณการณ์รายได้ที่ประเทศและคนไทยจะได้รับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีรายได้ดังกล่าวประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เทียบเป็นส่วนต่างโดยประมาณร้อยละ 31 แสดงว่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้นดีกว่าญี่ปุ่นเล็กน้อย

*ข้อมูลโดยประมาณ2016
ไทย
ญี่ปุ่น
ส่วนต่าง ร้อยละ (%)
พื้นที่ (ตร.กม.)
513,000
377,000
26.5%
จำนวนนักท่องเที่ยว (ล้านคน)
32
24
25%
รายได้จากนักท่องเที่ยว (ล้านล้านบาท)
1.6
1.1
31%
การใช้จ่ายต่อหัว (บาท)
50,000
45,800
8.4%

จากข้อมูลดิบข้างต้นจะเห็นได้ว่า ในแง่ของปริมาณและคุณภาพของนักท่องเที่ยวแล้ว ประเทศไทยทำได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าประเทศญี่ปุ่นในทุกด้าน ทั้งๆที่โครงสร้างพื้นฐานของเรายังตามหลังเขาอยู่มากหลายสิบปี

ทางการและผู้มากข้อมูลมักจะบอกว่า ประเทศไทยไม่สามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากกว่านี้ได้ แต่จะต้องเน้นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น คือ นักท่องเที่ยวรายได้สูงและพร้อมที่จะใช้จ่ายสูง ไม่ใช่จะเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศเพียงอย่างเดียว

ตรงนี้ต้องบอกว่าเห็นด้วยส่วนหนึ่ง ในขณะที่อีกด้านหนึ่งคงไม่ง่ายที่จะหานักท่องเที่ยวคุณภาพได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในเมื่อเขาเหล่านั้นมีทางเลือกอีกร้อยกว่าทาง และเราไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นจุดดึงดูดให้เขารู้สึกว่าพลาดไม่ได้

เพราะฉะนั้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้ได้ใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นเมื่อไร ด้วยวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ ความสะดวก และราคาสบายกระเป๋า ประเทศไทยจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้น และสามารถสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับธุรกิจของชาวไทยได้อีกมาก

ในมุมของเอกชน เขาน่าจะปรับตัวล่วงหน้าพร้อมต้อนรับลูกค้าของเขาไปพอสมควรแล้ว หวังแต่เพียงภาครัฐที่หยุดชะงักมานับ 10 ปี จะได้เร่งพัฒนาโครงสร้างสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นเหมือนทศวรรษที่สูญหายไปดังที่ผ่านมา

ทั้งนี้รวมถึงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ระบบการขนส่งโดยสาร ระบบการดูแลความสงบเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ และการสร้างสตอรี่ (story) ให้นักท่องเที่ยวหลงใหลในการเดินทางมาเยือนประเทศไทย (ซึ่งจะได้เขียนในตอนต่อไป)

วันพุธที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สถิตในใจไทยนิรันดร์

ไม่ร้องขอให้ใครอาลัยรัก
ไม่รู้จักคำว่าเบื่อหรือเหนื่อยล้า
ไม่อีโก้ไม่สิ้นเปลืองไม่หรูหรา
ไม่เคยลาจากราษฎร์ชาติบ้านเมือง

ธ ทรงเป็นแบบอย่างไทยทั่วหล้า
ธ ทรงมาโปรดชาวไทยและไพร่ฟ้า
ธ ทรงทำ ธ เมตตา ธ ธรรมา
ธ ปรีชา ธ อัจฉริยา โดยแท้จริง

มีใครไหมสร้างเม็ดฝนหล่นจากฟ้า
เทวดาธรรมชาติจึงสามารถ
มีใครไหมทำงานหนักอย่างองอาจ
ประชาราษฏร์จึงมีสุขอย่างพอเพียง

จะมีใครนิพนธ์เพลงได้ไพเราะ
เพลงสมเหมาะคนแต่งให้มากมายหนา
จะมีใครพร้อมน้อมกราบทุกครั้งครา
เพราะปัญญาใช้ทำงานเพื่อแผ่นดิน

นับจากวันที่คนไทยต้องสูญเสีย
ใจอ่อนเปรี้ยเพลียแรงไร้ความหวัง
หยดน้ำตาไหลออกมาในภวังค์
เปรียบได้ดั่งพ่อแผ่นดินลาจากไป

ถึงอย่างไรคนไทยไม่เสียศูนย์
ความอาดูรมีได้ไม่หนักหนา
พ่อคงหวังให้พวกเราช่วยพึ่งพา
ปวงประชาสามัคคีเพื่อชาติไทย

26 ต.ค. 2560
ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

My King and the billionaires

พระราชากับมหาเศรษฐี


ถ้าพูดถึง Bill Gates เจ้าของโปรแกรม Microsoft มหาเศรษฐีเบอร์ 1 คงมีไม่กี่คนบนโลกที่ไม่รู้จักเขา

มหาเศรษฐีท่านนี้เคยกล่าวว่า 'ให้คนขี้เกียจทำงานยากๆ เพราะเขาจะหาทางง่ายๆเพื่อทำงานนั้นให้สำเร็จ'

พระราชาเคยสอนว่า เราไม่สามารถทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ แต่ต้องส่งเสริมให้คนดีปกครองบ้านเมือง และป้องกันไม่ให้คนไม่ดีมีอำนาจ ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้

กิจการมุ่งหมายผลประโยชน์บริษัท ส่วนราชการมุ่งมั่นประโยชน์สุขส่วนรวม

ทั้ง 2 ประโยค คือคนละเรื่องเดียวกัน ระหว่างพระราชากับมหาเศรษฐี


ถ้าพูดถึง Warren Buffet นักลงทุน มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของโลก คงมีไม่กี่คนบนโลกนี้ที่ไม่รู้จักเขา
มหาเศรษฐีท่านนี้เคยกล่าวว่า 'อย่าวัดความลึกของแม่น้ำด้วยเท้าทั้ง 2 ข้าง'

พระราชาเคยสอนว่า 'เกษตรทฤษฎีใหม่' ให้ทำแบบผสมผสาน จัดสรรหลายอย่างในที่ดินหนึ่งผืน มิใช่ปลูกพืชชนิดใดชนิดหนึ่งอย่างเดียว

การลงทุนในธุรกิจมีความเสี่ยง เฉกเช่นเดียวกับการประกอบอาชีพของราษฎร ต้องมีภูมิคุ้มกันจากความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

ทั้ง 2 ประโยค คือคนละเรื่องเดียวกัน ระหว่างพระราชากับมหาเศรษฐี


ถ้าพูดถึง Steve Jobs มหาเศรษฐีแอปเปิ้ล ผู้ประดิษฐ์ iphone ipad คงมีไม่กี่คนบนโลกที่ไม่รู้จักเขา
มหาเศรษฐีท่านนี้เคยกล่าวไว้ว่า 'จงกระหายที่จะเรียนรู้พัฒนาตน เสมือนหนึ่งคนโง่ตลอดเวลา'

พระราชาเคยสอนว่า ให้ใฝ่รู้กับสิ่งที่ไม่รู้ ให้ปรับปรุงตัวด้วยความเพียรตลอดเวลา และกระหายในการทำดี แม้จะไม่มีใครรู้เห็นแต่ก็จำเป็นต้องทำ แม้มันจะยากและเห็นผลช้าแต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะหาไม่แล้ว ความชั่วซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่โดยไม่ทันรู้สึกตัว

ไม่ว่าเราคือใครก็ตาม ความใฝ่รู้คือคุณสมบัติของผู้สำเร็จ แต่ชัยชนะแบบเบ็จเสร็จต้องใช้ความรู้และความดีเคียงคู่กัน

ทั้ง 2 ประโยค คือคนละเรื่องเดียวกัน ระหว่างพระราชากับมหาเศรษฐี


กลับมาที่ บิล เกตส์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ครั้งหนึ่งเคยกล่าวว่า 'เขาเข้าใจถ้าคุณมีความต้องการเงินนับล้านเหรียญ แต่เมื่อคุณได้มันมาแล้ว เขาจะบอกว่าส่วนเกินจากนั้นมันก็เหมือนเดิม ไม่น่าตื่นเต้นอีกต่อไป'

ด้วยเหตุผลนี้เราจึงเห็นบิล เกตส์ สละทรัพย์เพื่อการกุศล ซึ่งไม่ได้ทำให้เขามีน้อยลง ตรงกันข้ามเขากลับร่ำรวยทั้งเงินทองและจิตใจอย่างยาวนาน

พระราชาเคยสอนว่า ให้รู้จักพอประมาณ ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 'Sufficiency Economy' ซึ่งจะก่อให้เกิดความสุขแก่ตนเองและครอบครัวอย่างยั่งยืน

และยังสอดคล้องกับอมตะวาจาของ มหาตมะ คานธี ที่กล่าวไว้อย่างลึกซึ้งว่า 'โลกใบนี้มีทรัพยากรเพียงพอต่อความจำเป็นของทุกคน หาใช่ความละโมภไม่'

ทั้ง 3 ประโยค กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ระหว่างพระราชา มหาเศรษฐี และมหาตมะ คานธี นักสู้ผู้ยิ่งใหญ่ชาวอินเดียที่โลกจารึกไว้

เพียงแต่บางสิ่งที่อาจแตกต่างกันนั้นมีอยู่ 2 ประการ คือ 

1.มหาเศรษฐีเหล่านั้นแสวงหากำไรเป็นผลตอบแทนจากประโยชน์ที่เขาสร้าง 

แต่พระราชา มุ่งสร้างประโยชน์โดยผลตอบแทนนั้น เป็นเพียงความสุขที่จะได้รับจากการทำงานเพื่อผู้อื่น

2.มหาเศรษฐีเหล่านั้น หากเหนื่อยอาจพัก หากท้ออาจถอย เพราะเดิมพันเป็นผลกำไรขาดทุน ซึ่งมีผลต่อองค์กร ต่อผู้ถือหุ้น ต่อพนักงานของเขาเอง

แต่พระราชาจะท้อไม่ได้ เพราะเดิมพันนั้นสูงเหลือเกิน คือบ้านเมือง คือความสุขของคนทั้งประเทศ

ธ สถิตในดวงใจนิรันดร์
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ทำไมคนไทย รักในหลวง


หนึ่งปีผ่านไป จากวันที่สูญเสียครั้งยิ่งใหญ่
หนึ่งปีผ่านไป จากวันที่หัวใจไทยแตกสลาย
หนึ่งปีผ่านไป จากวันที่ประเทศไทย ไม่มีในหลวง...

คนที่ไม่ได้เกิดเป็นคนไทยในสมัยรัชกาลที่ 9 คงอดสงสัยไม่ได้...ว่าทำไมคนไทย ถึงรักในหลวง

บ้างอาจบอกว่า เพราะเด็กๆจะถูกผู้ใหญ่ปลูกฝัง ให้ไหว้ ให้รักในหลวง

บ้างก็บอกว่า เพราะคนในสังคมเขาทำกัน ทั้งที่โรงเรียน ทั้งที่ทำงาน เราก็เลยคล้อยตามเขาไป

บ้างก็บอกว่า เพราะเขาให้เราดูข่าวพระราชสำนักทุกวัน ซึ่งจะฉายพร้อมกันทุกช่อง (ในสมัยก่อนที่มีแต่ฟรีทีวี) ในเวลาประมาณ 2 ทุ่ม ซึ่งในทางการตลาดถือว่าเป็นช่วงเวลาไพรม์ไทม์ (prime time) คือเป็นช่วงเวลาที่จะมีคนเปิดทีวีดูมากที่สุดของแต่ละวัน เมื่อดูข่าวในหลวงมากเข้าๆ ก็กลายเป็นความคุ้นเคยที่ขาดไม่ได้

แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา สำหรับผมและใครอีกหลายคน มันไม่ใช่เลย..

ไม่เคยมีใครสอนให้ผมแสดงความเคารพ กราบไหว้ในหลวง
หลายคนคงไม่ใช่คนที่เลือกทำอะไรเพียงเพราะ... คนอื่นเขาทำกัน
และต้องสารภาพว่า ผมไม่เคยดูข่าวตอน 2 ทุ่มเลย 

ทั้งๆที่ไม่เคยมีใครบอกให้เราต้องไหว้ในหลวง แต่ผมกลับเห็นคนจำนวนมากพร้อมน้อมกราบแนบฝ่าพระบาท ผมเข้าใจว่าคนไทยแสดงความเคารพให้กับความดี และแสดงความภักดีต่อการเสียสละเพื่อส่วนรวม

ทั้งๆที่ไม่เคยดูข่าวราชสำนัก แต่ผมคิดว่าถ้าในหลวงไม่เสด็จไปทรงงานจริงๆแล้ว จะมีภาพจากไหนที่นำมาฉายได้วันแล้ววันเล่า โดยเฉพาะภาพจากถิ่นทุระกันดารที่ประจักษ์ต่อสายตาคนไทยทุกคน ซึ่งทั้งหมดนี้มันมากมายจนสามารถจัดเป็นนิทรรศการให้ลูกหลานได้เรียนรู้ศึกษาไม่มีวันหมด

ทั้งๆที่สามารถเลือกใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายดั่งพระราชา แต่หากเหลียวมองผ่านรั้วเข้าไปในพระราชวังจิตรลดา ภาพที่เห็นกลับเป็นโรงเรือนทดลอง อุปกรณ์สิ่งของสาธิต เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพให้กับราษฎรสิริรวม 4,685 โครงการ

บนโลกใบนี้จะมีอีกสักคนไหม.. ที่ทำงานด้วยปัญญาและหัวใจ เพื่อคนอื่นได้มากมายขนาดนี้

สำหรับผม ปราศจากความสงสัยเลยว่า ทำไมในหลวงถึงเป็นที่รัก..ของคนไทยทั้งชาติ

เพราะในหลวงคิดถึงคนอื่น มากกว่าคิดถึงตัวเอง
เพราะในหลวงรักราษฎรและประเทศชาติ
เพราะในหลวงเป็นตัวแทนของความดี
เพราะในหลวงเป็นแบบฉบับของความกตัญญู
เพราะในหลวงเหนื่อยล้ามามาก ลำบากเพื่อเราคนไทยทุกๆคน

ถ้าจะใช้คำให้เข้ากับยุคสมัย คือ ในหลวงเป็นแบบอย่างของคำว่า 'ยิ่งให้ ยิ่งได้' โดยแท้จริง

ถ้าในหลวงไม่ใช่ผู้ให้ ไม่ใช่ผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่แล้ว คนไทยคงไม่ได้เห็นวิธีคิด วิธีปฏิบัติของในหลวง ดังเช่นประโยคนี้

"ข้าพเจ้าเสียเวลายื่นปริญญาบัตรให้บัณฑิตคนละ 6-7 วินาที แต่ผู้ได้รับนั้นมีความสุขเป็นปีๆและตลอดไป เปรียบกันไม่ได้เลย... และที่สำคัญไปกว่านั้น ผู้ที่สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีนั้นสำคัญมาก เพราะบางคนไม่มีโอกาสศึกษาในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก อีกแล้ว... ข้าพเจ้าจะขอพระราชทานปริญญาบัตรให้แก่ บัณฑิตปริญญาตรี ไปจนกว่าจะไม่มีแรง"

แม้วันนี้ภาพในอดีตจะตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเราอย่างไรก็ตาม...

แต่จริยวัตรอันงดงามตามฐานคติ 'ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด'ของในหลวง จะไม่มีให้รุ่นเราได้เชิดชู ไม่มีให้รุ่นลูกได้เรียนรู้ ไม่มีให้รุ่นหลานได้น้อมรับอีกต่อไปแล้ว ไม่มีอีกแล้วจริงๆ

ธ สถิตในดวงใจนิรันดร
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

การพนัน 4.0

หวยออนไลน์, การพนัน 4.0, พนันบอลออนไลน์, Online Bet, Digital Gambling หรือเรียกให้สุภาพหน่อยก็คือ การร่วมสนุกทายผลการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ประเทศที่พัฒนาแล้วเขามีกันทั้งนั้น

เพราะเขายอมรับความจริงว่า คงไม่สามารถปราบปรามการพนันใต้ดินได้ทั้งหมด เพราะมันคือความหวังเดียวของคนจน และคงไม่คุ้มที่จะทุ่มทรัพยากรของชาติลงไปในเรื่องที่ไม่สร้างมูลค่าและไม่จบไม่สิ้น

และมันยังเปลี่ยนให้เป็นรายได้ของรัฐจำนวนมหาศาล คิดมูลค่าในไทยอยู่ที่ราวๆ 3-5แสนล้านบาทต่อปี (งานวิจัย ดร.สังศิต ฯลฯ)

ในยุคสมัยปัจจุบัน มันยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้น เมื่อเงินทุนเคลื่อนไหวอย่างเสรี การติดต่อสื่อสารผ่านทางออนไลน์ไร้พรมแดนและไร้ขีดจำกัด มีตัวกลางรับโอนเงินไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลก คนไทย4.0 จึงสามารถเล่นพนันออนไลน์ (Digital Gambling) โดยมีเจ้ามือหรือผู้รับแทงพนันในต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย ครานี้เจ้ามือคนไทยใต้ดิน รวมทั้งรัฐบาลไทย ก็ไม่ได้เงินจากคนไทยหมุนเวียนภายในประเทศแม้แต่สตางค์เดียว

คงเหมือนกับปัญหาของ Facebook ที่ทำธุรกิจเก็บรายได้ค่าโฆษณาจากคนไทย100% โดยไม่เสียภาษีให้ส่วนรวมแม้แต่สลึงเดียว และAgencyนิติบุคคลไทยก็เสียลูกค้าไปให้กับ Facebook ทำให้รายได้หด แต่ต้นทุนเพิ่ม โดยไม่มีปากมีเสียงใดๆ




กลับมาที่เรื่องพนันออนไลน์ 4.0

ถ้าเป็นชายไทยที่เคยไปอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอังกฤษหรือทวีปยุโรป มักจะเดินเข้าเดินออกร้านรับพนันถูกกฏหมายกันเสียส่วนใหญ่ มีผู้ให้บริการหลายรายให้เลือก มีสาขามากมายคล้าย 7-11 ในเมืองไทย นวัตกรรมการพนันมันช่างง่าย (เริ่มต้นที่ 1 เหรียญ ใครๆก็แทงพนันได้) มีความสร้างสรรค์ทุกกระเบียดนิ้ว อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะมาเสียงโชคกันได้ มันก็ทำให้เป็นการพนันได้ทั้งนั้น

จะว่าไปแล้ว มุมหนึ่งก็เสมือนการมอมเมาคนให้ติดการพนัน แต่ในอีกมุมหนึ่งคนที่ไม่เล่นการพนัน ยังไงๆเขาก็ไม่เล่น อาจเปรียบได้เหมือนกับคนที่ไม่สูบบุหรี่กระมั่ง แต่คนที่ติดพนัน ไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฏหมาย เขาก็จะหาทางเล่นให้ได้อยู่วันยังค่ำ

คราวนี้พอเข้าสู่ยุคดิจิทัล โฆษณาเว็บพนันออนไลน์มันโผล่มาจากไหนกันให้พรึ่บ (โดยเฉพาะเว็บไซต์ข่าวกีฬา) การสมัครฟรี โอนเงินเข้าระบบผ่านบัตรเครดิต / เดบิต เสร็จแล้วก็สามารถเลือกแทงพนันได้ตามใจชอบ ซึ่งมีทั้งกีฬาทุกชนิดที่ถ่ายทอดสดทั่วไป หรือจะเป็นบ่อนคาสิโนออนไลน์ก็มีให้บริการ

กระบวนการทั้งหมดสำหรับคนไทย4.0 สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย ยากกว่าปอกกล้วยเข้าปากหน่อยเดียวเท่านั้น

แน่นอนคนเล่นพนันส่วนใหญ่เสียมากกว่าได้ (ไม่อย่างนั้นบริษัทรับพนันเขาก็เจ๊งไปแล้วนะสิ) เงินที่เสียไปนั้น ถูกจ่ายผ่านอากาศออกไปยังบริษัทรับพนันในต่างประเทศทันที ประเทศไทยในยุค4.0 กำขี้ก็ไม่ได้ จะกำตดก็ไม่โดน...แม้แต่เสี้ยวของเหรียญสลึง

ประเทศไทยเมืองพุทธต้องรักษาศีลห้า แต่ศีลข้อ 5 ก็ละเมิดกันค่อนประเทศแล้ว

ยิ่งประเทศอื่นเขาพัฒนาไปสู่ยุค 5.0 ประเทศไทยยิ่งต้องเร่งปรับตัวให้ยืนอยู่ได้อย่างไม่เสียเปรียบ ไม่ล้าหลังในสังคมโลกยุคโลกาภิวัฒน์เต็มรูปแบบ ในขณะเดียวกันประเพณีดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นจุดขายก็ต้องยึดมั่นไว้ไม่ละเลย

ถ้าถามว่าแล้วจะสนับสนุนบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายไหม ตอบได้ว่าข้อดีก็มีให้เห็น ข้อด้อยก็มีให้วิพากษ์วิจารณ์ สรุปคือหากวันใดวันหนึ่งมันเกิดขึ้น ก็ไม่ได้ต่อต้านคัดค้าน แต่วันนี้ก็ไม่ได้รีบเร่งว่าจะต้องมีให้ได้

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ต้องเป็นมากกว่า 'หอชมเมือง'

ผ่านพ้นไปไม่นาน กระแสหอคอยชมเมืองกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวเนื่องจากกระบวนการได้มาซึ่งจะมีประเด็นให้ถูกวิพากษ์อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ได้ค่อยๆเลือนลางไปจากพาดหัวข่าวต่างๆ

ณ เวลานี้ ถ้าไม่ไปสะดุดตออะไรเข้า ก็น่าจะยืนยันได้แล้วว่าโครงการดังกล่าวอย่างไรก็ได้เดินหน้าทำต่อไป เพราะฉะนั้นคราวนี้เราลองมาดูอีกมุมหนึ่งในเชิงผลลัพธ์ของโครงการยักษ์อลังการเช่นนี้บ้าง

สำหรับเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของภาคเอกชนหรือของรัฐบาลก็แล้วแต่ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ภาวะการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจค่อนข้างจะหยุดนิ่งมาหลายปี จึงเป็นเรื่องที่เหมาะแก่การกระทำโดยเร่งด่วน ยิ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่เกิดการจ้างงาน มีการซื้อขายวัตถุดิบจำนวนมหาศาล ยิ่งต้องสนับสนุนให้เดินหน้าทำทันที และถ้าสามารถกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จตามเงื่อนไขสัญญาได้ จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการเร่งลงทุนภายในประเทศ

ในเมืองสำคัญๆระดับโลกของประเทศยักษ์ใหญ่ ต่างก็มีหอคอยงาช้างตั้งตระหง่านเป็นจุดเด่น บ่งบอกและแสดงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ เช่น ฝรั่งเศส แคนาดา ญี่ปุ่น




ที่สำคัญกว่าการเป็นสัญลักษณ์ คือ ถ้าหอคอยนั้น เป็นมากกว่าหอชมเมือง ที่จะสามารถดึงดูดเวลาของนักท่องเที่ยวให้อยู่ได้ยาว อยู่ได้นาน ก็ยิ่งเป็นคุณต่อธุรกิจการค้าของประชาชนไม่เพียงแต่เฉพาะในชุมชนนั้น แต่ส่งผลดีต่อธุรกิจการค้าที่เกี่ยวข้องในวงกว้างด้วย

สมมตินักท่องเที่ยวต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ในการขึ้นชมหอคอยและเดินสำรวจถ่ายภาพบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าหากเราสามารถเพิ่มสิ่งดึงดูดให้เขาต้องใช้เวลาเพิ่มอีกเป็น 5-6 ชั่วโมง หรือครึ่งวันได้ มันก็จะเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กับเมืองแห่งนี้ได้




ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตถ้าการมาเที่ยวกรุงเทพแบบไปครบต้องใช้เวลา 2 วัน แล้วเมื่อกรุงเทพมีสิ่งดึงดูดเพิ่มขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวต้องค้างคืนเพิ่มอีก 1 คืน ใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอีกมหาศาล คิดเร็วๆง่ายๆ คือ ถ้ามีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน ธุรกิจโรงแรมจะขายห้องเพิ่มได้ 5 ล้านห้อง (2คน/ห้อง) คิดเป็นเงินคร่าวๆ 1000*5 ลบ. เท่ากับ 5,000 ล้านบาท  ร้านอาหารจะขายได้เพิ่ม 30 ล้านจาน (3มื้อ/คน/วัน) คิดเป็นเงินคร่าวๆ 50*30ลบ. เท่ากับ 1,500 ล้านบาท รวมกันเฉพาะค่ากินอยู่ ไม่รวมจับจ่ายใช้สอยเบี้ยบ้ายรายทาง คิดเป็นเงินเท่ากับ 6,500 ล้านบาท/ปี

แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในปี 2559 ประมาณ 30 ล้านคน ถ้าสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ใช้เวลาในเมืองได้นานขึ้นหนึ่งวัน ปีๆหนึ่งเราจะมีเงินหมุนเวียนมากกว่า 10,000 ล้านบาท และรัฐคงจะได้เงินภาษีเพิ่มนับ 1,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

อภิมหาโครงการนี้ไม่ควรหยุดเพียงแค่หอชมเมือง แต่ต้องเป็นมากกว่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมีเจ้าภาพพร้อมจะลงเงินลงแรงให้แทนรัฐบาลแล้ว ก็น่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเขา ตามหน้าที่ของภาครัฐในอุดมคติ มิใช่มัวบังคับ ขูดรีด จับผิดไม่ให้เอกชนเคลื่อนตัวได้สะดวก(ภายใต้กรอบกฏหมาย)

สิ่งที่น่าจะกระทำได้ก็คือ เอกชนผู้ได้สิทธิ์ในพื้นที่หลวงก่อสร้างหอชมเมือง ซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา เมื่อเขาได้ประโยชน์ตรงนี้ไปแล้ว บุคคลที่มีอำนาจสามารถขอให้เอกชนยักษ์ใหญ่ช่วยชาวบ้านในชุมชนปรับปรุงพัฒนาอาคารบ้านเรือน เปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เปลี่ยนเป็นร้านค้าที่มีเอกลักษณ์สอดคล้องกับหอชมเมือง หรือเรียกง่ายๆว่าเมื่อเที่ยวห้างและหอชมเมืองเสร็จแล้ว ทุกคนต้องไปเดินต่อที่ชุมชนของคนไทยแห่งนี้ให้ได้

บุคลากรของเครือข่ายบริษัทเอกชนนั้นมีทั้งความรู้ ความสามารถ และไอเดียที่จะช่วยชาวบ้านในชุมชนรอบหอชมเมืองให้เปลี่ยนหน้าบ้านเป็นงาน ปรับเคหะสถานให้มีรายได้ แม้ว่าทุนเอกชนอาจจะต้องลงเงินเพิ่มอีกหลักร้อยล้านบาท แต่ในระยะยาวแล้วคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ และหน้าตาของประเทศที่จะสื่อไปถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก

จริงๆแล้วถ้าเป็นไปได้ น่าจะระบุลงในสัญญาเช่าพื้นที่ไปเลยว่าต้องขอให้ช่วยปรับปรุงละแวกชุมชนของชาวบ้านนั้นให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวควบคู่ไปกับหอชมเมืองที่จะสร้างขึ้นด้วย แบบนี้มัน win-win ถ้าชาวบ้านเอาด้วยก็ง่าย

หากโครงการเกิดขึ้นลักษณะนี้คนไทยจะได้มากกว่าแค่หอชมเมือง ที่แถบนั้นจะกลายเป็นทำเลทอง ที่ดินของชาวบ้านยิ่งนาน ราคาก็ยิ่งแพง แถมยังมีรายได้เพิ่มขึ้นแบบลาภลอยอีกด้วย

ในอนาคตเรายิ่งต้องมีและต้องเป็นมากกว่าแค่หอชมเมือง ต้องให้ชาวต่างชาติมีความรู้สึกต่อเมืองไทย เหมือนที่คนไทยส่วนมากรู้สึกว่าไปเที่ยวญี่ปุ่น ครั้งเดียวไม่เคยพอ...

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รับมือน้ำท่วม 'เพราะน้ำ คือชีวิต'

เพราะกรุงเทพเป็นเมืองสบายๆ คนไทยหลายคนแซ่หยวน เลยเกิดเป็นปัญหาพอกพูนสะสม ที่เห็นได้ชัดคือ สายโทรศัพท์ สายอินเทอร์เน็ต ที่ห้อยระโยงระยาง ซึ่งไม่แน่ใจว่าถึงครึ่งหนึ่งหรือไม่ที่เป็นสายที่ชำรุด ไม่ได้ใช้งานแล้ว แต่มันก็ถูกม้วนปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นอย่างง่ายๆ

ปัญหาเรื่องน้ำหรือแหล่งน้ำที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนทุกครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยน้ำเสียจากโรงงาน การทิ้งเศษอาหารลงท่อระบายน้ำ การซักผ้าในแม่น้ำลำคลอง ฯลฯ

ในระยะหลัง ดูราวกับปัญหาน้ำท่วมขังจะเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นทุกปีๆ

ผลพวงจากการขยายตัว เติบโต และพัฒนาการของเมืองหลวง ทำให้มีการก่อสร้างทั้งคอนโด หมู่บ้าน และสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่อื่นๆ

อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เหล่านี้มีส่วนอย่างมาก ต่อปัญหาน้ำท่วมขัง รอการระบายในกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นการถมที่ทับที่ลุ่มรับน้ำเดิม การก่อสร้างขวางทางระบายน้ำ เป็นต้น

ในเมื่อเราไม่อาจต้านทานกระแสโลกแห่งการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเมืองหลวงแห่งนี้ ที่มีประชากรหลั่งใหลเข้ามาเพิ่มขึ้น (Urbanisation & Megacity) เราจึงต้องหาทางออกเพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุข

ในบางประเทศมีข้อบังคับให้อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ต้องสร้างบ่อกักเก็บน้ำไว้ใต้ดิน เพื่อรองรับน้ำในฤดูฝน แล้วค่อยๆทยอยระบายออกไปในหน้าแล้ง

ลักษณะเหมือนกับแก้มลิง หรือถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจน คงเปรียบได้กับการนำที่จอดรถชั้นใต้ดินของแต่ละอาคารสูง มากักน้ำในหน้าฝน

ข้อบังคับเช่นนี้ดูเข้าท่าเอามากๆ เพราะเมื่อผู้ประกอบการเอกชนได้หาประโยชน์ในเมืองนี้ ฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนรอบข้าง เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุข

ถ้ามีระเบียบแบบนี้เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ปัญหาน้ำท่วมขังในกรุงเทพน่าจะถูกบรรเทาไปได้เกือบ 100%

โครงการขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามแนวถนนพระราม 4 ของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย สามารถริเริ่มเป็นแนวทางการปฏิรูปกฎหมายของประเทศที่ประชาชนจะแซ่สร้องสรรเสริญ เห็นผลเป็นรูปธรรมได้ทันที เพราะกฎหมายลักษณะนี้บังคับใช้กับผู้มากทรัพย์และบารมี ซึ่งเห็นได้น้อยมากตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา




ล่าสุดมีนวัตกรรมพื้นถนนทำจากวัสดุพิเศษสามารถซึมซับน้ำได้ แต่ราคาน่าจะสูงลิบลิ่ว จึงอาจไม่เหมาะกับเบี้ยน้อยหอยน้อยแบบบ้านเราเท่าไรนัก

ภาครัฐจึงต้องเร่งสร้างอุโมงค์ยักษ์ใต้ดิน ซึ่งใช้เงินลงทุนมหาศาล แต่ก็คุ้มค่าถ้าสามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมขังให้กับเมืองหลวงที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศแห่งนี้ได้

ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นสำหรับภาพรวมของประเทศ การกักน้ำไว้ใต้ดินไม่ว่าจะเป็นของเอกชนหรือในอุโมงค์ยักษ์ แล้วเมื่อถึงหน้าร้อนฝนแล้ง ก็สามารถวางแผนจัดการส่งน้ำเหล่านั้น ไปถึงในบึงถึงในบ่อของสถานีจ่ายน้ำตามชนบทที่มักจะประสบภัยแล้งทุกปีๆ

มันน่าแปลกใจไหมว่าบ้านเมืองนี้ พอเข้าหน้าฝนก็น้ำท่วม พอเข้าหน้าร้อนก็น้ำแล้ง เกิดมา 20 กว่าปี มันเป็นอย่างนี้ตลอด ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดในโลกธุรกิจ คือ เจ๊ง เพราะในช่วงที่คนไม่ต้องการซื้อ กลับมีสต็อกสินค้าบานเบอะ แต่พอความต้องการสูงๆ กลับไม่มีของจะขาย นี่มันโดนทั้งขึ้นทั้งร่อง คือเงินจมต้องจ่ายดอกเบี้ย และก็ขาดรายได้




แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้มันน่าจะมีวิธีบริหารจัดการได้มิใช่หรือ

ถ้าพื้นที่ไหนที่น้ำท่วมขังสามารถช่วยเก็บกักน้ำได้ปริมาณมากตอนหน้าฝน แล้วหากมีความจำเป็นในการปรับปรุงคุณภาพน้ำนั้นก่อนการกระจายไปสู่ไร่นาในหน้าแล้ง คงมีวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญสามารถให้ความรู้ ให้ความร่วมมือได้ไม่ยาก ตราบเท่าที่คุณภาพการใช้ชีวิตของประชาชนทั้งในเมืองและในชนบทได้รับการพัฒนา

บางทีต้องกลับมาคิดเหมือนกันว่า ในขณะที่เอกชนถูกบังคับให้ต้องมีบ่อบำบัดน้ำเสียจากโรงงาน แล้วในฐานะรัฐ หากจะมีสถานีบำบัดน้ำประจำจังหวัดเพื่อให้น้ำกลับมาอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้ ช่วยชาวบ้านให้สามารถทำมาหากินได้ แทนการให้ความช่วยเหลือประปรายตามระบบอุปถัมภ์ มันจะคุ้มค่ากว่าไหม

ประเทศไทยไม่สามารถหลีกพ้นปัญหา 'น้ำท่วมน้ำแล้ง' ตามที่เขาแข่งกันโฆษณาชวนเชื่อมาหลายสิบปีได้เลย ถ้าหากยังทำแบบเดิมๆแต่หวังผลที่แตกต่าง ในขณะที่สภาพแวดล้อมก็เลวร้ายลง

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ภัยใกล้ตัวของชาวกรุงเทพ

เช้าวันที่ 19/06/2560 เกิดเหตุไม่(เกิน)คาดฝัน หญิงท้อง 6 เดือน ตกรางรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์เสียชีวิต ครั้งนี้คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าผู้มีอำนาจยังไม่เหลียวแล

ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้มีข่าวใหญ่โต เด็กไทยตกรางรถไฟฟ้าที่สิงค์โปร์ จนต้องสูญเสียขาไปตลอดชีวิต

เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่เชื่อว่าเราป้องกันได้


การตกลงไปในรางรถไฟมีหลายสาเหตุ 
1.ฆ่าตัวตาย
2.หน้ามืดเป็นลม
3.อุบัติเหตุสะดุดล้ม
4.โดนเบียดและดันจากด้านหลัง
5.เจตนาผลักให้ตก (ฆาตกรรม)

ซึ่งแผงกั้นระหว่างรางรถไฟกับชานชาลาสามารถป้องกันเหตุได้เกือบ 100%

ปัจจุบันมีเพียงบางสถานีที่ทำผนังกระจกกั้นระว่างรางรถไฟกับสถานีเรียบร้อยแล้ว

เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า จำนวนคนใช้รถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นๆ ในขณะที่ชานชาลาไม่สามารถขยายให้กว้างออกไปได้

สถานีบางแห่ง บางช่วงมีทางเดินกว้างไม่ถึง 2 เมตร ซึ่งในเวลาเร่งด่วนที่มีคนใช้บริการจำนวนมาก จะเกิดความแออัดและอาจเกิดอุบัติเหตุรุนแรงเช่นนี้ได้

จริงอยู่ที่รถไฟฟ้าบริหารงานโดยเอกชน การลงทุนแผงกั้นระหว่างรางกับชานชาลา ไม่ได้สร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับบริษัท พูดอีกนัยหนึ่งคือว่า จะมีหรือไม่มี คนก็ต้องใช้บริการเหมือนเดิม

เพียงแต่อาจจะประหยัดค่าจ้าง รปภ. บนสถานีไปได้ส่วนหนึ่ง

แต่ในมุมมองของรัฐหรือผู้ดูแลบ้านเมือง ที่มีหน้าที่จะต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดีขึ้น ไม่ใช่ผจญภัยอันตรายทุกเช้าเย็นเช่นนี้

เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐจะต้องหาโมเดลในการป้องกัน เพื่อให้การตกลงไปในรางรถไฟวันนี้เป็นเหตุการณ์ครั้งสุดท้าย

อาจจะหารือให้ BTS เร่งสร้าง แล้วหารือผู้เช่าโฆษณาให้ BTS มีรายได้เพิ่มขึ้นจากส่วนนี้

หรือเป็นคนกลางให้บริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ลงทุนสร้างแผงกั้น แล้วให้สิทธิ์ในพื้นที่โฆษณาตามสัดส่วนเวลาที่เหมาะสม เป็นต้น

เหตุการณ์วันนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผู้มีอำนาจมีประสบการณ์ต้องใช้บริการรถไฟฟ้าทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน ที่ประชาชนถูกเปลี่ยนเป็นปลากระป๋องในรถไฟฟ้า

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติในยุคสังคมสูงวัยที่กำลังจะมาถึง

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ



วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ทำไม...'การเมือง'ไทยถึง'ล้มเหลว'

ทุกคนคงเคยได้ยินข่าวบริษัทการบิน ที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ของลูกหลานท่านๆ... คงเคยได้ยินข่าวลือผ่านหูว่าจะเข้าไปทำงานที่นั่น ต้องมีเส้นสายไม่น้อยไปกว่าความสามารถ จริงหรือไม่ไม่อาจทราบได้ แต่ผลลัพธ์อาจแสดงออกมาตามตัวเลขผลประกอบการของกิจการ

คงไม่ต่างอะไรนักกับที่ของการเมือง จะเข้าไปทำงานในนั้น ถ้าเป็นลูกเป็นหลานเป็นญาติพี่น้อง ก็เข้าไปมีตำแหน่งอำนาจได้ เสมือนหนึ่งรถไฟความเร็วสูงขึ้นทางด่วน

ทีนี้ลองดูองค์กรชั้นแนวหน้าที่ประสบความสำเร็จกันบ้าง กว่าจะรับคนเข้าทำงานด้วยสักคน จะต้องมีการคัดกรองมาเป็นอย่างดี

1.ต้องดูประวัติ ประสบการณ์ ความสามารถ
2.ต้องสอบข้อเขียน
3.ต้องวัด EQ
4.ต้องสอบสัมภาษณ์ รอบที่ 1
5.ต้องสอบสัมภาษณ์ รอบที่ 2....

และเมื่อผ่านการคัดเลือกแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายจะต้องหาคนมาค้ำประกันเพื่อรับรองว่าคนนี้จะไม่สร้างความเสียหายต่อองค์กรในอนาคต

ที่สำคัญถ้าองค์กรไหนมีงานหลายประเภท เช่น พัฒนาคุณภาพมนุษย์ จัดระบบการการศึกษา บริหารการเงิน ดูแลกฎหมายความยุติธรรม ฯลฯ

คงไม่มีองค์กรประสบความสำเร็จไหน จะรับคนจากสายอาชีพเดียวค่อนบริษัท เพื่อมาดูแลงานเกือบทั้งหมดขององค์กร

ในทางตรงกันข้าม คงจะต้องใช้คนให้ถูกกับงาน และเลื่อนขั้นกันตามความสามารถ มิใช่ความสัมพันธ์เสมอไป

แต่การเมืองมีความสลับซับซ้อน ต่างคนต่างมีศักดิ์มีศรี มีอำนาจ มากบารมี ความสำเร็จอาจต้องวัดกันด้วยความนิยม ใช่ความสามารถไม่

'ปฏิรูปการเมือง แล้วการเมืองจะปฏิรูปทุกอย่างเอง'

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การชุมนุม ในอุดมคติ (Ideal Movement)

หลังจากที่นายกลุงตู่ ตั้งคำถาม 4 ข้อใหญ่ๆ ให้กับสังคมได้คิด เกี่ยวกับการเมืองหลังยุคปฏิวัติ คสช.

ถ้าคุณเป็นคนไทย คงอดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่า ทุกอย่างจะวนกลับสู่วงจรอุบาทว์ เหมือนเคย

วงจรที่ว่า คือความชุลมุนในบ้านเมืองจากการชุมนุมของทุกพรรคทุกสี สลับกันไปสลับกันมา

ทุกครั้งที่มีการชุมนุมจะมีกิจกรรมให้เราได้ประหลาดใจอยู่เสมอ เช่น 'มีอาหารดี ดนตรีไพเราะ' มีการใช้อุปกรณ์มือตบ ตีนตบ มีเพลงปลุกใจประจำสี ต่างๆนาๆ

การชุมนุมที่ดูจะใหญ่โตที่สุด ก็มาในยุคหลังสุดของ กปปส. แต่นอกจากการเป่านกหวีดแล้ว การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ creative ต่างจากครั้งอื่นๆมากสักเท่าไร




ผมกังวลเหลือเกินว่าการชุมนุมในอนาคต จะมีใครไหม?? สร้างสรรค์วิธีการสร้างความวุ่นวาย ที่พอจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น

แทนที่จะเป็นการปราศรัยทั่วไป  ทำไมแกนนำไม่รณรงค์ให้คนไทยแสดงออก ด้วยการปิดไฟประท้วง ทุกวันเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แต่เปิดทีวีดูการถ่ายทอดจากเวที

แทนที่จะเป็นการปราศรัยทั่วไป  ทำไมแกนนำไม่ประท้วงโดยการเชิญชวนให้พ่อค้าแม่ค้าร่วมจัดนิทรรศการขายของลดราคาให้ประชาชน และเชื้อเชิญให้ชาวบ้านมาอุดหนุน ช้อปปิ้งของถูกไปฟังปราศรัยไปเพลินๆดี

แทนที่จะเป็นการปราศรัยทั่วไป  ทำไมแกนนำไม่เสนอให้มีการปลูกต้นไม้ประท้วงให้ครบ 1 ล้านต้น แทนที่จะเอาน้ำมันมาคนละ 1 ลิตร เปลี่ยนเป็นเมล็ดพันธ์คนละ 1 ชนิด ดีกว่าไหม

แทนที่จะเป็นการปราศรัยทั่วไป  ทำไมแกนนำไม่ริเริ่มให้ทำการบริจาคเลือดประท้วง หรือจะผลัดกันเดินขบวนไปที่สภากาชาติเพื่อบริจาคโลหิตทุกวัน ดีกว่าการเดินไปสาดโลหิต ที่มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมใดๆเลย

และแทนที่จะถือเพียงนกหวีด  ทำไมแกนนำไม่จัดให้แต่ละคนมีไม้กวาด บุ้งกี๋และถุงดำ ติดไม้ติดมือไปด้วย ถนนทุกสาย คูคลองทุกแห่งที่เดินผ่าน จะได้ถูกปฏิรูปด้วยมือของประชาชนอย่างแท้จริง

แต่ทางที่ดีที่สุดของประเทศ คือการไม่ต้องมาคิดหาวิธีการประท้วงที่สร้างสรรค์ เพราะคนไทยได้พิสูจน์มานับ 10 ปีแล้วว่า การชุมนุมไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนของส่วนรวม

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

หลังน้ำลด ต้องจัดการกับ กทม. อย่างไร??

ว่าด้วยเรื่อง กทม. ในวันที่น้ำนอง

คุณคิดว่าเมืองมรดกโลก หรือเมืองต่างๆที่จะได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติของโลก เขาปล่อยให้การพัฒนาเป็นไปตามยถากรรมใช่หรือไม่?

สำหรับเมืองกทม. ที่เป็นจุดหมายปลายทางในฝันอันดับต้นๆของชาวต่างชาติทั่วโลก ผู้บริหารจะปล่อยให้สภาพของเมืองและการพัฒนาเป็นไปตามธรรมชาติดีหรือไม่?


กว่าสิบปีที่ผ่านมาสถานที่หลายแห่งถูกปล่อยให้เสื่อมโทรมตามยถากรรม โดยเฉพาะที่สำคัญ คือ พื้นที่ในย่านแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นสิทธิของเอกชน จะไม่ได้รับการดูแลให้เหมาะสมแก่การเป็นภาพลักษณ์ที่ส่งผ่านไปยังสายตาของชาวโลก

พื้นที่ภายในกทม.จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างมีแบบแผน แทนการจะปล่อยให้ชำรุดทรุดโทรม โดยเฉพาะสถานที่หลายแห่งใกล้แหล่งท่องเที่ยว และพื้นที่ชั้นในของเมืองกรุง เช่น แยกประตูผี เสาชิงช้า อาคารโดยรอบจวนผู้ว่ากทม. วงเวียนโอเดี่ยน ท่าพระจันทร์ ฯลฯ

ถ้าเราปรับทัศนียภาพให้สวยงาม คงความเป็นเอกลักษณ์ของสยามเมืองยิ้ม ตรึงตราประทับใจทุกสายตาที่ทอดผ่าน น่าจะทำได้ไม่ยาก

เนื่องจากประเทศไทยมีศิลปินที่โด่งดังและมากความสามารถมากมาย เงินลงทุนจำนวนไม่มากที่ส่งผลลัพธ์สู่สังคมระยะยาว น่าจะดีกว่าจัดงานแสดงเสียงสีไม่กี่วันหลายสิบล้านใช่หรือไม่?


ถ้าจะให้เห็นภาพชัดๆ คงเปรียบเทียบได้กับสถานีรถไฟสนามไชย ที่ตกแต่งสวยงามอร่ามตา เป็นจุดขายที่ไม่ได้สร้างมาเพียงเพื่อให้ใช้ได้ แต่ต้องดึงดูดให้คนได้มาใช้ด้วย

จริงๆถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ถ้าจะเพิ่มอีกสัก 3-4 สถานี ตกแต่งให้เป็นเอกลักษณ์ของหัวเมืองทั้ง 4 ทิศ (เหนือ ใต้ ออก ตก) คงจะเรียกเสียงฮือฮา เป็นประตูสู่ภาคต่างๆของประเทศได้เป็นอย่างดี



โดยเฉพาะในยุคโซแชะ แทบทุกคนบนโลกสามารถถ่ายรูปได้ทุกที่ และแชร์ทางโซเชี่ยวให้เพื่อนๆเขาได้เห็น ความสวยงามที่ลงทุนไปจะกระจายไปสู่สายตาคนทั่วโลกทันที

ประกอบกับชื่อเสียงทุนเดิมของประเทศไทยด้วยแล้ว น่าจะยิ่งช่วยให้ลูกค้าชาวต่างชาติเข้ามาใช้จ่ายให้เงินสะพัด ตกสู่กระเป๋าของชุมชนคนไทยมากขึ้นมากๆ

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สังคมไทย 2 มาตรฐาน

ทุกวันนี้โลกยุคโลกาภิวัฒน์ (Globalisation) ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างที่เราเมื่อ 20ปีก่อน ไม่คาดฝันว่ามันจะเป็นไปได้รวดเร็วอย่างทุกวันนี้

Social media ที่เริ่มต้นจากยุค hi5 ผันแปรมาสู่ facebook Line twitter youtube ที่เชื่อมโยงคนได้ทั่วโลก และถือเป็นต้นตำรับเจ้าแรกๆของคำยอดฮิตในปัจจุบัน คือ start up.

ทำให้มีหลายบริษัท คิดสร้าง คิดทำ ในลักษณะเดียวกัน โดยได้เปลี่ยนแนวทาง และวิธีคิดในการทำธุรกิจแบบเดิมไปโดยสิ้นเชิง

หลายคนที่จะเริ่มทำธุรกิจในอดีต ต้องขอใบอนุญาติจากทางการให้ถูกต้องครบถ้วน เพื่อความมีระเบียบและความปลอดภัยของส่วนรวม

แต่ปัจจุบันหลายธุรกิจแนวคิดใหม่ เริ่มทำไปก่อนให้เร็วที่สุด ขยายฐานลูกค้า แล้วค่อยไปหาทางออกกันดาบหน้า

ถ้าธุรกิจใดทีสร้างประโยชน์ให้ประชาชนในวงกว้าง แม้จะผิดกฏระเบียบ แต่ก็ยังได้รับการสนับสนุนจากคนในสังคม

แม้จะทำให้คนบางกลุ่มเดือดร้อน ก็อาจไม่ต้องกังวลเรื่องการทำสิ่งที่กฏหมายห้าม

เพราะสุดท้ายแล้วจะมีมือที่มองไม่เห็น (Invisible hand) เข้ามาช่วยผลักดันให้รัฐเปลี่ยนแปลงกฏเกณฑ์ตามผลประโยชน์ที่ประชาชนได้รับ

นี่คือสังคม 2 มาตรฐานชัดๆ

- ถ้าคุณทำผิดกฏหมาย โดยทั่วไปสังคมไม่ยอมรับ

- ถ้าคุณทำผิดกฏหมาย พร้อมกับสร้างประโยชน์ให้ส่วนรวม แบบนี้พอจะให้อภัยได้

ถ้ายังจำทฤษฎี'ผลไม้พิษ'ของบางคนได้ เหตุการณ์แบบUber ต้องยอมรับไม่ได้ไม่ว่ากรณีใดๆ เพราะทำผิดมาตั้งแต่เริ่ม

แท้จริงแล้ว บรรทัดสุดท้ายมันก็อยู่ที่ผลประโยชน์ที่แต่ละคนจะได้รับ

ไม่ต่างไปจาก Donald Trump ผู้นำแห่งประเทศประชาธิปไตยตัวแม่ ต่อสายตรงถึงลุงประยุทธ ผู้ก่อการรัฐประหารแห่งสยามประเทศ

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

รถสีดำ เสี่ยงอันตรายมากที่สุด

ประวัติศาสตร์ของรถยนต์ ที่มีต้นกำเนิดมาจากโลกตะวันตกไม่ว่าจะเป็น Benz หรือ Ford

และถ้าใครเคยไปอเมริกาหรือยุโรป จะเห็นว่าไม่เพียงแต่รถสีดำหรือสีโทนมืดที่เป็นที่นิยมมาก แม้แต่การแต่งตัวก็จะหนักไปทางโทนสีมืดเช่นกัน

อาจเป็นเพราะว่าสีดำคงให้ความรู้สึก Sport ทะมัดทะแมง โฉบเฉี่ยว และเหมาะกับสภาพแวดล้อมของชาวตะวันตก ตั้งแต่เป็นเมืองหนาว มีหิมะสีขาว เส้นผมสีวาวทอง พอสีขาวหรือสีทองตัดกับสีดำจะทำให้วัตถุนั้นดูโดดเด่น และมองเห็นได้ชัดเจนแม้ในระยะไกล

สำหรับเมืองไทยที่อาจรับอิทธิพลมาจากเจ้าของต้นตำรับรถยนต์สี่ล้อเต็มๆ

แต่ด้วยสภาพแวดล้อมและบริบทของสังคมทำให้เราเห็นว่ารถสีดำหรือรถสีโทนมืด จะประสบอุบัติเหตุรุนแรง เป็นข่าวใหญ่ให้เห็นอยู่เป็นประจำ

ซึ่งผลวิจัยจากบริษัทประกันภัย Churchill ของอังกฤษ ก็ได้ระบุในทำนองเดียวกันว่า รถสีดำ มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่าสีบรอนซ์


ถึงแม้จะไม่ได้เป็นผลลัพธ์งานวิจัยทางวิชาการ ที่ถูกต้องแม่นยำ 100%

แต่คงไม่ต่างจากที่มีการพูดกันว่า คนที่ห้อยหลวงปู่ทวด ไม่เคยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ซึ่งก็ไม่ได้มีทฤษฎีสถิติอะไรมายืนยัน แต่ในวงการเขาว่ากันอย่างนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ รถสีดำจึงอาจไม่เหมาะกับคุณ ถ้าคุณไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้โชคดี

เพราะเมืองไทยไม่เหมือนเมืองนอก 3 ประการ

1. เมืองไทยร้อนชื้น ฝนชุก ฝุ่นเยอะ – ถ้ารถสีดำจะเห็นได้ชัดมาก แม้มีเศษฝุ่นเกาะเพียงเล็กน้อย รวมถึง รอยขีดข่วนจากสัตว์เลี้ยงแสนรักที่ตามมาด้วย

2. เมืองไทยมี 2 ฤดู คือ ร้อนโคตร กับ โคตรร้อน เหมือนมีพระอาทิตย์อยู่บนหลังคาบ้าน – ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า สีดำจะดูดความร้อนของแสงแดดจากดวงอาทิตย์ แทนที่จะสะท้อนความร้อนออกไปเหมือนสีอ่อนๆ ทำให้รถสีดำจะร้อนเป็นพิเศษ ซึ่งเพิ่มภาระให้เครื่องปรับอากาศ และส่งผลไม่เพียงเฉพาะกับเจ้าของรถเท่านั้น แต่ถ้าบังเอิญไปจอดรถขวางใครเข้า ก็ขอให้สงสารคนที่ต้องมาเข็นรถคุณบ้าง

3. ไฟถนนเมืองไทยมีบ้าง ขาดบ้าง (ไม่เหมือนภาษีอากร จ่ายอย่างเดียว ห้ามขาด) – พอเวลากลางคืน รถสีดำจะกลมกลืนไปกับบรรยากาศ เสมือนหนึ่งพรางตัวอยู่ในแดนอาทิตย์อัสดง ถ้าขาดความระมัดระวังจะเกิดอันตรายได้ง่าย โดยเฉพาะจุดกลับรถหรือทางแยก ที่ไฟส่องสว่างไม่เพียงพอ ทำให้รถสีดำเป็นเป้าของอุบัติเหตุร้ายแรง จนถึงขั้นเสียชีวิตอยู่เสมอ

เพราะฉะนั้นหากหลีกเลี่ยงรถสีดำไม่ได้ หรือใครนิยมชมชอบรถสีดำจริงๆ ถ้ามีหลวงปู่ทวดไว้บูชาได้ ก็คงเบาใจไปเปราะหนึ่ง... 

ปล. สนใจติดต่อเช่าได้ที่.....

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

ขยะล้นเมือง เริ่มเรื่องที่หมู่บ้าน

คุณคิดว่าหมู่บ้านจัดสรรในกทม. มันเกลื่อนไปหมด ใช่ไหม?

คุณคิดว่าหมู่บ้านจัดสรรที่หนึ่ง มีกี่หลังคาเรือน และสร้างขยะให้ชุมชนวันละ เท่าไร?

แล้วคุณคิดว่าชุมชนโดยรอบได้รับประโยชน์อะไรจากหมู่บ้าน บ้างไหม?


ก่อนอื่นลองมาดูกำไรสุทธิ 3 ปีย้อนหลัง ของเจ้าของหมู่บ้านกันก่อน...



ถ้าเทียบเคียงในโรงงาน ก็จะมีข้อกำหนดต่างๆ จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานที่มีพนักงาน 50 คนขึ้นไป กฏหมายบังคับให้ต้องมีห้องพยาบาลภายในโรงงาน เพื่อสวัสดิการของลูกจ้าง

คงจะไม่เกินไปถ้าจะสนับสนุนให้มีกฏว่า ให้เจ้าของหมู่บ้านเจียดพื้นที่ของบ้าน 1 หลัง เพื่อจัดตั้ง 'ธนาคารรีไซเคิล' เพื่อสวัสดิการของชุมชน

(สมมติ) หมู่บ้านจัดสรรตั้งแต่ 50 หลังคาเรือนขึ้นไป ซึ่งโดยส่วนมากจะมีนิติฯ รับผิดชอบงานส่วนรวมอยู่แล้ว

สามารถให้ความรู้ลูกบ้านเกี่ยวกับการแยกขยะที่รีไซเคิลได้ เช่น ซองจดหมาย ลังกระดาษ กล่องขนม ขวดน้ำอัดลม ขวดแก้ว ขยะอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น




จากนั้นนิติฯสามารถรับซื้อ แล้วรวบรวมเพื่อจำหน่ายต่อให้กับโรงงานรีไซเคิลที่ถูกกฏหมาย ซึ่งเขาจะมีรถคอยไปรับซื้อสินค้ารีไซเคิลอยู่แล้ว โดยที่หมู่บ้านไม่ได้เสียอะไรเพิ่มเลย

เมื่อรวบรวมสินค้าได้ปริมาณมากจากลูกบ้าน ก็จะยิ่งขายได้ราคาสูงขึ้น นิติฯก็จะมีกำไร สามารถนำกลับไปใช้พัฒนาตัวหมู่บ้านเองได้อีกด้วย

แนวทางแบบนี้ กรรมการหมู่บ้านส่วนใหญ่คงไม่มีใครปฏิเสธ ที่ดีไปกว่านั้นลูกบ้านทุกคนจะได้มีโอกาสที่ดีในการฝึกฝนนิสัยให้กับเด็กๆในบ้าน รู้จักการแยกขยะเหลือใช้ สามารถนำไปขายแล้วแลกเป็นสตางค์ และมีส่วนเล็กๆที่ร่วมรับผิดชอบต่อสังคม

เราคงไม่ได้หวังว่าสิ่งนี้จะแก้ปัญหาขยะล้นเมืองได้ แต่การริเริ่มเป็นโมเดลภายในเขตเมือง โดยเฉพาะหมู่บ้านในกทม. ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ดีกว่าไม่พยายามทำอะไรเลย

ปัญหาของเจ้าของหมู่บ้านจัดสรร คือ ยอดขายและกำไรลดลงไป 1 หลัง/หมู่บ้าน แต่ผลประโยชน์ระยะยาวที่เหนือกว่าจะตกอยู่กับลูกบ้าน

แนวทางแบบนี้คงเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าไม่มีข้อบังคับเป็นตัวบทกฏหมาย

เพราะเจ้าของ อยากขายทำกำไรสูงๆ พอขายหมดก็ไป ไม่มีใครอยู่ในหมู่บ้านตัวเอง

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ