วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ต้องเป็นมากกว่า 'หอชมเมือง'

ผ่านพ้นไปไม่นาน กระแสหอคอยชมเมืองกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวเนื่องจากกระบวนการได้มาซึ่งจะมีประเด็นให้ถูกวิพากษ์อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ได้ค่อยๆเลือนลางไปจากพาดหัวข่าวต่างๆ

ณ เวลานี้ ถ้าไม่ไปสะดุดตออะไรเข้า ก็น่าจะยืนยันได้แล้วว่าโครงการดังกล่าวอย่างไรก็ได้เดินหน้าทำต่อไป เพราะฉะนั้นคราวนี้เราลองมาดูอีกมุมหนึ่งในเชิงผลลัพธ์ของโครงการยักษ์อลังการเช่นนี้บ้าง

สำหรับเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของภาคเอกชนหรือของรัฐบาลก็แล้วแต่ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ภาวะการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจค่อนข้างจะหยุดนิ่งมาหลายปี จึงเป็นเรื่องที่เหมาะแก่การกระทำโดยเร่งด่วน ยิ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่เกิดการจ้างงาน มีการซื้อขายวัตถุดิบจำนวนมหาศาล ยิ่งต้องสนับสนุนให้เดินหน้าทำทันที และถ้าสามารถกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จตามเงื่อนไขสัญญาได้ จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการเร่งลงทุนภายในประเทศ

ในเมืองสำคัญๆระดับโลกของประเทศยักษ์ใหญ่ ต่างก็มีหอคอยงาช้างตั้งตระหง่านเป็นจุดเด่น บ่งบอกและแสดงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ เช่น ฝรั่งเศส แคนาดา ญี่ปุ่น




ที่สำคัญกว่าการเป็นสัญลักษณ์ คือ ถ้าหอคอยนั้น เป็นมากกว่าหอชมเมือง ที่จะสามารถดึงดูดเวลาของนักท่องเที่ยวให้อยู่ได้ยาว อยู่ได้นาน ก็ยิ่งเป็นคุณต่อธุรกิจการค้าของประชาชนไม่เพียงแต่เฉพาะในชุมชนนั้น แต่ส่งผลดีต่อธุรกิจการค้าที่เกี่ยวข้องในวงกว้างด้วย

สมมตินักท่องเที่ยวต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ในการขึ้นชมหอคอยและเดินสำรวจถ่ายภาพบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าหากเราสามารถเพิ่มสิ่งดึงดูดให้เขาต้องใช้เวลาเพิ่มอีกเป็น 5-6 ชั่วโมง หรือครึ่งวันได้ มันก็จะเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กับเมืองแห่งนี้ได้




ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตถ้าการมาเที่ยวกรุงเทพแบบไปครบต้องใช้เวลา 2 วัน แล้วเมื่อกรุงเทพมีสิ่งดึงดูดเพิ่มขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวต้องค้างคืนเพิ่มอีก 1 คืน ใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอีกมหาศาล คิดเร็วๆง่ายๆ คือ ถ้ามีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน ธุรกิจโรงแรมจะขายห้องเพิ่มได้ 5 ล้านห้อง (2คน/ห้อง) คิดเป็นเงินคร่าวๆ 1000*5 ลบ. เท่ากับ 5,000 ล้านบาท  ร้านอาหารจะขายได้เพิ่ม 30 ล้านจาน (3มื้อ/คน/วัน) คิดเป็นเงินคร่าวๆ 50*30ลบ. เท่ากับ 1,500 ล้านบาท รวมกันเฉพาะค่ากินอยู่ ไม่รวมจับจ่ายใช้สอยเบี้ยบ้ายรายทาง คิดเป็นเงินเท่ากับ 6,500 ล้านบาท/ปี

แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในปี 2559 ประมาณ 30 ล้านคน ถ้าสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ใช้เวลาในเมืองได้นานขึ้นหนึ่งวัน ปีๆหนึ่งเราจะมีเงินหมุนเวียนมากกว่า 10,000 ล้านบาท และรัฐคงจะได้เงินภาษีเพิ่มนับ 1,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

อภิมหาโครงการนี้ไม่ควรหยุดเพียงแค่หอชมเมือง แต่ต้องเป็นมากกว่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมีเจ้าภาพพร้อมจะลงเงินลงแรงให้แทนรัฐบาลแล้ว ก็น่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเขา ตามหน้าที่ของภาครัฐในอุดมคติ มิใช่มัวบังคับ ขูดรีด จับผิดไม่ให้เอกชนเคลื่อนตัวได้สะดวก(ภายใต้กรอบกฏหมาย)

สิ่งที่น่าจะกระทำได้ก็คือ เอกชนผู้ได้สิทธิ์ในพื้นที่หลวงก่อสร้างหอชมเมือง ซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา เมื่อเขาได้ประโยชน์ตรงนี้ไปแล้ว บุคคลที่มีอำนาจสามารถขอให้เอกชนยักษ์ใหญ่ช่วยชาวบ้านในชุมชนปรับปรุงพัฒนาอาคารบ้านเรือน เปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เปลี่ยนเป็นร้านค้าที่มีเอกลักษณ์สอดคล้องกับหอชมเมือง หรือเรียกง่ายๆว่าเมื่อเที่ยวห้างและหอชมเมืองเสร็จแล้ว ทุกคนต้องไปเดินต่อที่ชุมชนของคนไทยแห่งนี้ให้ได้

บุคลากรของเครือข่ายบริษัทเอกชนนั้นมีทั้งความรู้ ความสามารถ และไอเดียที่จะช่วยชาวบ้านในชุมชนรอบหอชมเมืองให้เปลี่ยนหน้าบ้านเป็นงาน ปรับเคหะสถานให้มีรายได้ แม้ว่าทุนเอกชนอาจจะต้องลงเงินเพิ่มอีกหลักร้อยล้านบาท แต่ในระยะยาวแล้วคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ และหน้าตาของประเทศที่จะสื่อไปถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก

จริงๆแล้วถ้าเป็นไปได้ น่าจะระบุลงในสัญญาเช่าพื้นที่ไปเลยว่าต้องขอให้ช่วยปรับปรุงละแวกชุมชนของชาวบ้านนั้นให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวควบคู่ไปกับหอชมเมืองที่จะสร้างขึ้นด้วย แบบนี้มัน win-win ถ้าชาวบ้านเอาด้วยก็ง่าย

หากโครงการเกิดขึ้นลักษณะนี้คนไทยจะได้มากกว่าแค่หอชมเมือง ที่แถบนั้นจะกลายเป็นทำเลทอง ที่ดินของชาวบ้านยิ่งนาน ราคาก็ยิ่งแพง แถมยังมีรายได้เพิ่มขึ้นแบบลาภลอยอีกด้วย

ในอนาคตเรายิ่งต้องมีและต้องเป็นมากกว่าแค่หอชมเมือง ต้องให้ชาวต่างชาติมีความรู้สึกต่อเมืองไทย เหมือนที่คนไทยส่วนมากรู้สึกว่าไปเที่ยวญี่ปุ่น ครั้งเดียวไม่เคยพอ...

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น