เพราะกรุงเทพเป็นเมืองสบายๆ คนไทยหลายคนแซ่หยวน เลยเกิดเป็นปัญหาพอกพูนสะสม ที่เห็นได้ชัดคือ สายโทรศัพท์ สายอินเทอร์เน็ต ที่ห้อยระโยงระยาง ซึ่งไม่แน่ใจว่าถึงครึ่งหนึ่งหรือไม่ที่เป็นสายที่ชำรุด ไม่ได้ใช้งานแล้ว แต่มันก็ถูกม้วนปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นอย่างง่ายๆ
ปัญหาเรื่องน้ำหรือแหล่งน้ำที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนทุกครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยน้ำเสียจากโรงงาน การทิ้งเศษอาหารลงท่อระบายน้ำ การซักผ้าในแม่น้ำลำคลอง ฯลฯ
ในระยะหลัง ดูราวกับปัญหาน้ำท่วมขังจะเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นทุกปีๆ
ผลพวงจากการขยายตัว เติบโต และพัฒนาการของเมืองหลวง ทำให้มีการก่อสร้างทั้งคอนโด หมู่บ้าน และสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่อื่นๆ
อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เหล่านี้มีส่วนอย่างมาก ต่อปัญหาน้ำท่วมขัง รอการระบายในกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นการถมที่ทับที่ลุ่มรับน้ำเดิม การก่อสร้างขวางทางระบายน้ำ เป็นต้น
ในเมื่อเราไม่อาจต้านทานกระแสโลกแห่งการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเมืองหลวงแห่งนี้ ที่มีประชากรหลั่งใหลเข้ามาเพิ่มขึ้น (Urbanisation & Megacity) เราจึงต้องหาทางออกเพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุข
ในบางประเทศมีข้อบังคับให้อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ต้องสร้างบ่อกักเก็บน้ำไว้ใต้ดิน เพื่อรองรับน้ำในฤดูฝน แล้วค่อยๆทยอยระบายออกไปในหน้าแล้ง
ลักษณะเหมือนกับแก้มลิง หรือถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจน คงเปรียบได้กับการนำที่จอดรถชั้นใต้ดินของแต่ละอาคารสูง มากักน้ำในหน้าฝน
ข้อบังคับเช่นนี้ดูเข้าท่าเอามากๆ เพราะเมื่อผู้ประกอบการเอกชนได้หาประโยชน์ในเมืองนี้ ฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนรอบข้าง เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุข
ถ้ามีระเบียบแบบนี้เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ปัญหาน้ำท่วมขังในกรุงเทพน่าจะถูกบรรเทาไปได้เกือบ 100%
โครงการขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามแนวถนนพระราม 4 ของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย สามารถริเริ่มเป็นแนวทางการปฏิรูปกฎหมายของประเทศที่ประชาชนจะแซ่สร้องสรรเสริญ เห็นผลเป็นรูปธรรมได้ทันที เพราะกฎหมายลักษณะนี้บังคับใช้กับผู้มากทรัพย์และบารมี ซึ่งเห็นได้น้อยมากตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา
ล่าสุดมีนวัตกรรมพื้นถนนทำจากวัสดุพิเศษสามารถซึมซับน้ำได้ แต่ราคาน่าจะสูงลิบลิ่ว จึงอาจไม่เหมาะกับเบี้ยน้อยหอยน้อยแบบบ้านเราเท่าไรนัก
ภาครัฐจึงต้องเร่งสร้างอุโมงค์ยักษ์ใต้ดิน ซึ่งใช้เงินลงทุนมหาศาล แต่ก็คุ้มค่าถ้าสามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมขังให้กับเมืองหลวงที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศแห่งนี้ได้
ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นสำหรับภาพรวมของประเทศ การกักน้ำไว้ใต้ดินไม่ว่าจะเป็นของเอกชนหรือในอุโมงค์ยักษ์ แล้วเมื่อถึงหน้าร้อนฝนแล้ง ก็สามารถวางแผนจัดการส่งน้ำเหล่านั้น ไปถึงในบึงถึงในบ่อของสถานีจ่ายน้ำตามชนบทที่มักจะประสบภัยแล้งทุกปีๆ
มันน่าแปลกใจไหมว่าบ้านเมืองนี้ พอเข้าหน้าฝนก็น้ำท่วม พอเข้าหน้าร้อนก็น้ำแล้ง เกิดมา 20 กว่าปี มันเป็นอย่างนี้ตลอด ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดในโลกธุรกิจ คือ เจ๊ง เพราะในช่วงที่คนไม่ต้องการซื้อ กลับมีสต็อกสินค้าบานเบอะ แต่พอความต้องการสูงๆ กลับไม่มีของจะขาย นี่มันโดนทั้งขึ้นทั้งร่อง คือเงินจมต้องจ่ายดอกเบี้ย และก็ขาดรายได้
แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้มันน่าจะมีวิธีบริหารจัดการได้มิใช่หรือ
ถ้าพื้นที่ไหนที่น้ำท่วมขังสามารถช่วยเก็บกักน้ำได้ปริมาณมากตอนหน้าฝน แล้วหากมีความจำเป็นในการปรับปรุงคุณภาพน้ำนั้นก่อนการกระจายไปสู่ไร่นาในหน้าแล้ง คงมีวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญสามารถให้ความรู้ ให้ความร่วมมือได้ไม่ยาก ตราบเท่าที่คุณภาพการใช้ชีวิตของประชาชนทั้งในเมืองและในชนบทได้รับการพัฒนา
บางทีต้องกลับมาคิดเหมือนกันว่า ในขณะที่เอกชนถูกบังคับให้ต้องมีบ่อบำบัดน้ำเสียจากโรงงาน แล้วในฐานะรัฐ หากจะมีสถานีบำบัดน้ำประจำจังหวัดเพื่อให้น้ำกลับมาอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้ ช่วยชาวบ้านให้สามารถทำมาหากินได้ แทนการให้ความช่วยเหลือประปรายตามระบบอุปถัมภ์ มันจะคุ้มค่ากว่าไหม
ประเทศไทยไม่สามารถหลีกพ้นปัญหา 'น้ำท่วมน้ำแล้ง' ตามที่เขาแข่งกันโฆษณาชวนเชื่อมาหลายสิบปีได้เลย ถ้าหากยังทำแบบเดิมๆแต่หวังผลที่แตกต่าง ในขณะที่สภาพแวดล้อมก็เลวร้ายลง
โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น