ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้มีข่าวใหญ่โต เด็กไทยตกรางรถไฟฟ้าที่สิงค์โปร์ จนต้องสูญเสียขาไปตลอดชีวิต
เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่เชื่อว่าเราป้องกันได้
การตกลงไปในรางรถไฟมีหลายสาเหตุ
1.ฆ่าตัวตาย
2.หน้ามืดเป็นลม
3.อุบัติเหตุสะดุดล้ม
4.โดนเบียดและดันจากด้านหลัง
5.เจตนาผลักให้ตก (ฆาตกรรม)
ซึ่งแผงกั้นระหว่างรางรถไฟกับชานชาลาสามารถป้องกันเหตุได้เกือบ 100%
ปัจจุบันมีเพียงบางสถานีที่ทำผนังกระจกกั้นระว่างรางรถไฟกับสถานีเรียบร้อยแล้ว
เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า จำนวนคนใช้รถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นๆ ในขณะที่ชานชาลาไม่สามารถขยายให้กว้างออกไปได้
สถานีบางแห่ง บางช่วงมีทางเดินกว้างไม่ถึง 2 เมตร ซึ่งในเวลาเร่งด่วนที่มีคนใช้บริการจำนวนมาก จะเกิดความแออัดและอาจเกิดอุบัติเหตุรุนแรงเช่นนี้ได้
จริงอยู่ที่รถไฟฟ้าบริหารงานโดยเอกชน การลงทุนแผงกั้นระหว่างรางกับชานชาลา ไม่ได้สร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับบริษัท พูดอีกนัยหนึ่งคือว่า จะมีหรือไม่มี คนก็ต้องใช้บริการเหมือนเดิม
เพียงแต่อาจจะประหยัดค่าจ้าง รปภ. บนสถานีไปได้ส่วนหนึ่ง
แต่ในมุมมองของรัฐหรือผู้ดูแลบ้านเมือง ที่มีหน้าที่จะต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดีขึ้น ไม่ใช่ผจญภัยอันตรายทุกเช้าเย็นเช่นนี้
เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐจะต้องหาโมเดลในการป้องกัน เพื่อให้การตกลงไปในรางรถไฟวันนี้เป็นเหตุการณ์ครั้งสุดท้าย
อาจจะหารือให้ BTS เร่งสร้าง แล้วหารือผู้เช่าโฆษณาให้ BTS มีรายได้เพิ่มขึ้นจากส่วนนี้
หรือเป็นคนกลางให้บริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ลงทุนสร้างแผงกั้น แล้วให้สิทธิ์ในพื้นที่โฆษณาตามสัดส่วนเวลาที่เหมาะสม เป็นต้น
เหตุการณ์วันนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผู้มีอำนาจมีประสบการณ์ต้องใช้บริการรถไฟฟ้าทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน ที่ประชาชนถูกเปลี่ยนเป็นปลากระป๋องในรถไฟฟ้า
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติในยุคสังคมสูงวัยที่กำลังจะมาถึง
โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น