วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ประเทศไทย ในวันที่ไม่มีในหลวง ร.๙


จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

แล้ววันที่ไม่อยากให้มาถึงที่สุดในชีวิต วันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค. 2559 ก็มาถึงเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ เมื่อได้รับทราบคำแถลงอย่างเป็นทางการจากข่าวหน้าจอทีวี มันเป็นค่ำคืนที่คนไทยหัวใจแตกสลาย มันเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหดหู่เศร้าหมอง มันเป็นค่ำคืนที่อึดอั้นต้องข่มตานอน เพราะเรารู้ดีว่านับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ประเทศไทยจะไม่มีในหลวง ร.9 อีกต่อไป

แม้ในหลวงท่านจะมีพระชนมายุ 89 พรรษาแล้ว แต่ผมคิดมาเสมอว่า ด้วยเทคโนโลยีและความสามารถของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในหลวงน่าจะอยู่กับเราได้อีก 5-10 ปีเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้ววันที่ 13 ต.ค.59 จึงมาถึงอย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ

ผมต้องขอสารภาพว่า ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยรู้ซึ้งถึงสิ่งที่ในหลวงทำให้กับประชาชนคนไทยเลย แม้ว่าจะเห็นภาพผ่านทีวี ได้ฟังข่าวทางวิทยุ ได้ดูเพลงสรรเสริญในโรงหนัง ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ได้ผ่านออกไปอย่างไม่มีความหมาย

จนกระทั่งสมัย ม.6 ประมาณปี 2547-2548 เป็นช่วงเวลาของชีวิตที่มีโอกาสได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศอเมริกา ในช่วง 2-3 เดือนแรกที่ใช้ชีวิตต่างแดน ผมยังไม่มีเพื่อน ผมจึงมีเวลาเหลือเฟือหลังเลิกเรียนได้ท่องเน็ต ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ webboard กำลังได้รับความนิยมในหมู่เด็กมัธยม สมัยนั้นไม่มีFacebook ไม่มีLine เวลาจะคุยกันต้องโพสผ่าน webboard ของโรงเรียนหรือเล่น msn  

เมื่อคุยกับเพื่อนจนเบื่อ ผมจึงหันมาหาอ่านกระทู้ตาม webboardต่างๆ ครั้งหนึ่งผมได้อ่านเจอบทความเกี่ยวกับในหลวง และพลันคิดไปเองว่ามันจะมีคนแบบนี้อยู่ในโลกจริงๆหรือ เป็นคนรวยแต่ใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์ เป็นกษัตริย์แต่ทุ่มเททำงานอย่างหนักหนา เป็นราชาแต่ไม่เคยจะอยู่แต่ในพระราชวัง
ผมจึงได้เริ่มศึกษาพระราชกรณียกิจ และโครงการหลวงอย่างลึกซึ้ง ได้ติดตามพระราชดำริ และพระราชจริยวัตรอย่างเอาจริงเอาจัง ผมถึงได้เริ่มไตร่ตรองและตระหนักถึงพระคุณงามความดีของในหลวงผ่านหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่าลมๆแล้งๆ

เพียงถ้อยคำบางประโยคมันยิ่งตอกยิ่งย้ำถึงคุณความดีของในหลวงที่ทรงเป็นแบบอย่างให้กับคนไทย เช่น คำสัมภาษณ์จาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล หรือจากบรรดาแพทย์ศิริราชที่ถวายการรักษาให้ในหลวงที่เล่าว่า ในหลวงทรงงานตลอดเวลา แม้จะนอนอยู่บนเตียงคนป่วยก็ตามที โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เกิดอุทกภัยภายในประเทศ ผมเชื่อว่าบุคคลเหล่านี้ไม่มีเหตุลใดๆเลยที่จะต้องออกมาพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เมื่อดูจากชื่อเสียงและเกียรติประวัติของพวกเขาแล้ว

ครั้งหนึ่งผมเคยมีโอกาสได้รับเสด็จในหลวงที่ รพ.ศิริราช เมื่อตอนเรียนอยู่ที่ม.ธรรมศาสตร์ ช่วงบ่ายวันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากคุณแม่ โทรมาบอกว่าในหลวงท่านกำลังจะเสด็จกลับจากศิริราช ผมไม่รอช้า รีบนั่งเรือข้ามฟากจากท่าพระจันทร์ไปที่ท่าศิริราชเพื่อรอรับเสด็จทันที แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ได้พบในหลวงตัวจริงก็ตาม ถึงผมแอบฝันที่จะได้รับเสด็จรับใช้ในหลวงอีกครั้งในชีวิต แต่นับจากนี้โอกาสนั้นคงไม่มีอีกแล้ว

ในหลวงเคยรับสั่งว่าจะอยู่ถึง 120 ปี นั่นอาจหมายความว่า ท่านคงตระหนักรู้ถึงสภาพร่างกายและจิตใจของท่านเป็นอย่างดีแล้ว แต่จากเหตุการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ผมหาเหตุผลใดมาหักล้างไม่ได้เลยว่า นักการเมือง คือ อาชีพเดียวที่สร้างความทุกข์ให้กับในหลวงมากที่สุด ตรงนี้ยืนยันได้จากคำสัมภาษณ์ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ในรายการของคุณวูดดี้ หรือเพราะสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้พระวรกายและพระทัยของในหลวงทรุดลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

ฉะนั้นแล้ว จากนี้ไปคงเหลือเพียงสิ่งดีๆที่ในหลวงได้ทรงทำไว้เป็นมรดกให้กับคนไทยทุกคน และคนไทยทุกคนคงจะสามารถทำตามคำสอนของในหลวงได้อย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะคำสอนที่ในหลวงทรงกล่าวไว้เมื่อปี 2521 ที่ผมคิดว่าฉลาดและคลาสสิกที่สุด คือ


"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"



You are my hero. 14.10.2559


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น