วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตก็เหมือนละคร

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

เดือนตุลาคม พ.ศ.2559 ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เศร้าและหดหู่ที่สุดในช่วงชีวิตของคนไทยหลายล้านคน ท่ามกลางความเศร้าสลดนี้ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงน้ำใจไมตรีของพี่น้องคนไทย นับว่าเป็นบรรยากาศที่ดี ที่แสดงออกถึงความสามัคคี ซึ่งคงช่วยบรรเทาความเศร้าที่มีในใจของใครหลายคนลงได้ คนไทยจำนวนมากปฏิบัติตัวในฐานะลูกที่กตัญญูของพ่อ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงน้ำ เลี้ยงอาหาร และแจกของที่ระลึกให้กับผู้คนที่มาร่วมแสดงความอาลัยแก่พ่อหลวง ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย

เวลาผ่านไปสัปดาห์เศษๆ ภาพมันเริ่มฟ้องว่าความปรารถนาดีเหล่านั้นกลับทำให้คนบางกลุ่มลืมนึกไปว่ากำลังอยู่ในงานศพแห่งการสูญเสีย บางคนตำหนิรุนแรงถึงขั้นที่บอกว่าไม่รู้จัก'กาละเทศะ' โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ตั้งใจไปเพื่อหาของฟรี เพียงแต่ใส่เสื้อดำเพื่อพรางตัวเท่านั้น

ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้มันตกค้างอยู่ในสังคมเรามาช้านาน ถ้าย้อนกลับไปดูตั้งแต่ที่มีการชุมนุมทางการเมืองก็จะมีสภาพคล้ายคลึงกัน กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. คนเร่ร่อน (homeless) อยู่ฟรีกินดี เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน ถือเป็นรางวัลชีวิตไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ
2. คนที่ไปเพื่อหาของฟรี ห่อกลับบ้าน เผื่อลูกเผื่อหลาน และเอากลับไปขายต่อ
3. คนที่ไปรับของมาแล้วไม่เห็นคุณค่า กินทิ้งขว้าง ทำของดีให้กลายเป็นขยะ

จะเห็นได้ว่ากลุ่มคนที่น่าโดนตำหนิอย่างรุนแรงจากสังคมมากที่สุด คือ กลุ่มที่ 2 และ 3 ที่ไม่รู้จักความพอดี ทั้งๆที่เสื้อดำที่กำลังใส่อยู่นั้น ใส่เพื่อแสดงความรำลึกถึงเจ้าของปรัชญาแห่งความพอเพียง

ถือเป็นความโชคดีของคนไทย ที่ในหลวง ร.๙ ทรงมีวิสัยทัศน์ ให้ความสำคัญเรื่อง 'ดิน น้ำ การเกษตร' ทำให้คนในประเทศนี้สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า 'ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว' เมื่องไทยเป็น 'อู่ข้าวอู่น้ำ' ถึงขั้นที่จะยกระดับให้เป็น 'ครัวโลก' (World Kitchen) สามารถป้อนอาหารให้กับประเทศต่างๆในโลกได้

ในความโชคดีของคนไทยที่ไม่ว่าจะยากจนแร้นแค้นขนาดไหนก็ดูจะห่างไกลจากคำว่าอดอยากปากแห้ง ได้แอบแฝงความเลวร้ายในสังคมอย่างไม่รู้ตัว ถ้าสังเกตให้ดีเราจะพบว่าในละครไทยแทบทุกเรื่องที่มีฉากในตลาดสด จะต้องมีการเอาอาหารมาปาใส่กัน เทใส่หน้า ราดหัวแล้วขยี้ ทิ้งลงพื้นแล้วเหยียบ เทกระจาด สารพัด

สำหรับเมืองไทยแล้ว ของที่เสียไปนั้นดูจะไร้ซึ่งความสำคัญต่อความเป็นอยู่ แต่ในประเทศที่ขาดแคลนอาหารเพื่อการดำรงอยู่รอดของชีวิต คงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถให้อภัยได้


ฉากในละครไทย (ที่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีไม่เฉพาะกับคนไทยและเยาวชน แต่ยังแสดงถึงวัฒนธรรมที่ดีงามให้กับชาวต่างชาติได้เห็นด้วย) ก็เป็นเสมือนกระจกสะท้อนวิถีของกลุ่มคนประเภทที่ 3 เท่านั้นเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น