คุณคิดว่าหมู่บ้านจัดสรรที่หนึ่ง มีกี่หลังคาเรือน และสร้างขยะให้ชุมชนวันละ เท่าไร?
แล้วคุณคิดว่าชุมชนโดยรอบได้รับประโยชน์อะไรจากหมู่บ้าน บ้างไหม?
ก่อนอื่นลองมาดูกำไรสุทธิ 3 ปีย้อนหลัง ของเจ้าของหมู่บ้านกันก่อน...
ถ้าเทียบเคียงในโรงงาน ก็จะมีข้อกำหนดต่างๆ จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานที่มีพนักงาน 50 คนขึ้นไป กฏหมายบังคับให้ต้องมีห้องพยาบาลภายในโรงงาน เพื่อสวัสดิการของลูกจ้าง
คงจะไม่เกินไปถ้าจะสนับสนุนให้มีกฏว่า ให้เจ้าของหมู่บ้านเจียดพื้นที่ของบ้าน 1 หลัง เพื่อจัดตั้ง 'ธนาคารรีไซเคิล' เพื่อสวัสดิการของชุมชน
(สมมติ) หมู่บ้านจัดสรรตั้งแต่ 50 หลังคาเรือนขึ้นไป ซึ่งโดยส่วนมากจะมีนิติฯ รับผิดชอบงานส่วนรวมอยู่แล้ว
สามารถให้ความรู้ลูกบ้านเกี่ยวกับการแยกขยะที่รีไซเคิลได้ เช่น ซองจดหมาย ลังกระดาษ กล่องขนม ขวดน้ำอัดลม ขวดแก้ว ขยะอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
จากนั้นนิติฯสามารถรับซื้อ แล้วรวบรวมเพื่อจำหน่ายต่อให้กับโรงงานรีไซเคิลที่ถูกกฏหมาย ซึ่งเขาจะมีรถคอยไปรับซื้อสินค้ารีไซเคิลอยู่แล้ว โดยที่หมู่บ้านไม่ได้เสียอะไรเพิ่มเลย
เมื่อรวบรวมสินค้าได้ปริมาณมากจากลูกบ้าน ก็จะยิ่งขายได้ราคาสูงขึ้น นิติฯก็จะมีกำไร สามารถนำกลับไปใช้พัฒนาตัวหมู่บ้านเองได้อีกด้วย
แนวทางแบบนี้ กรรมการหมู่บ้านส่วนใหญ่คงไม่มีใครปฏิเสธ ที่ดีไปกว่านั้นลูกบ้านทุกคนจะได้มีโอกาสที่ดีในการฝึกฝนนิสัยให้กับเด็กๆในบ้าน รู้จักการแยกขยะเหลือใช้ สามารถนำไปขายแล้วแลกเป็นสตางค์ และมีส่วนเล็กๆที่ร่วมรับผิดชอบต่อสังคม
เราคงไม่ได้หวังว่าสิ่งนี้จะแก้ปัญหาขยะล้นเมืองได้ แต่การริเริ่มเป็นโมเดลภายในเขตเมือง โดยเฉพาะหมู่บ้านในกทม. ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ดีกว่าไม่พยายามทำอะไรเลย
ปัญหาของเจ้าของหมู่บ้านจัดสรร คือ ยอดขายและกำไรลดลงไป 1 หลัง/หมู่บ้าน แต่ผลประโยชน์ระยะยาวที่เหนือกว่าจะตกอยู่กับลูกบ้าน
แนวทางแบบนี้คงเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าไม่มีข้อบังคับเป็นตัวบทกฏหมาย
เพราะเจ้าของ อยากขายทำกำไรสูงๆ พอขายหมดก็ไป ไม่มีใครอยู่ในหมู่บ้านตัวเอง
โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น