จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าสัว ไม่ใช่มหาเศรษฐี ไม่ใช่ทายาทผู้มากบารมี ไม่ได้ดวงดีขั้นสูงสุดในจักรวาล คุณก็ต้องไปเกิดใหม่เป็น 'พี่ตูน บอดี้แสลม' แล้วทุ่มเทวิ่ง 400 กม. ระยะเวลา 10 วัน คุณก็จะหาเงินได้ 70 ล้านบาท
เงิน 70 ล้านบาทนี้ คนไทยค่อนประเทศ ทุ่มเททำงานทั้งชีวิต อาจจะหาได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
สิ่งที่พี่ตูนได้ทำนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่น่ายกย่อง เพราะเงินทั้งหมดที่ได้มาบริจาคให้กับ รพ.บางสะพาน ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเขามีบ้านอยู่ที่นั่น
สิ่งนี้เองได้แสดงให้เราเห็นถึง 'พลังมหาชน' ซึ่งส่งผลดีต่อชุมชนที่เขาอาศัยอยู่
ผมเข้าใจว่าจำนวนเงินบริจาครายบุคคลส่วนมาก คงเป็นเพียงหลักสิบ ร้อย พัน อาจจะมีหลักหมื่นหลักแสนอยู่บ้าง แต่เมื่อรวมสุทธิแล้วทำให้ได้ยอดเงินที่สูงลิ่ว
มาถึงฤดูของเทศกาลปีใหม่ ก็ลองคิดดูเล่นๆว่า ถ้ารัฐบาลขอความร่วมมือจากโรงเรียนทุกแห่ง ให้ช่วยกันจัดงานปีใหม่ (ปกติก็จัดกันอยู่แล้ว) ให้มีการหยุดเรียน 1 วัน เพื่อทำกิจกรรมภายในโรงเรียน เลี้ยงอาหารฉลอง จับสลากระหว่างเพื่อนร่วมชั้นเรียน ผมว่าคงไม่มีนักเรียนหรือแม้แต่คุณครูคนไหนคัดค้าน
แต่การขอความร่วมมือแบบนี้จะก่อให้เกิด 'พลังมหาชน' เป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องใช้เงิน หรือมาตรการลดหย่อนภาษีใดๆ เพียงแต่ใช้ความขยันเดินสายของท่านรัฐมนตรีเพียงบางคนเท่านั้น
การเลี้ยงอาหารฉลอง ต้องขอให้ช่วยซื้อจากร้านค้าในชุมชน (local shops, local restaurants) แทนการสั่งอาหารมาจากร้านตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านอาหารข้ามชาติ
ถ้าอธิบายให้คุณครูและนักเรียนเห็นประโยชน์ที่ชุมชนของเขาจะได้รับจาก 'พลังมหาชน' เขาไม่น่าจะมีท่าทีต่อต้านใดๆ
การจัดกิจกรรมเพื่อความสามัคคีของนักเรียน หรือ การจับสลากวันปีใหม่ จะต้องใช้กระดาษห่อของขวัญ กล่องบรรจุ ของขวัญที่อยู่ภายในหีบห่อ และความคิดสร้างสรรค์ของทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง
สิ่งเหล่านี้น่าจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ที่ดีและการหมุนเวียนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย
สมมติกำหนดให้มีงบประมาณของขวัญจับสลากอยู่ที่ 300 บาท จำนวนโรงเรียน 25,000 โรง นักเรียน+คุณครู 500 คนต่อโรงเรียน จะมีเงินหมุนเวียนคร่าวๆ 4 พันล้านบาท ภายในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์
ยังไม่นับรวมถึงบริษัทเอกชน ห้างร้าน ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจอีกต่างหาก คงจะได้เป็นหมื่นๆล้านเลยทีเดียว
ถ้าทำแบบนี้ได้จะก่อให้เกิด 'พลังมหาชน' แบบที่พี่ตูนทำได้ 70 ล้าน ภายใน 10 วัน โดยที่รัฐอาจไม่ต้องสูญเสียงบประมาณใดๆในการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงเทศกาลวันหยุดเลย
แต่เราไม่ได้กำลังบอกว่านโยบายที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นั้นไม่ดี.....
อ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไร โปรดแนะนำ
วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ตา Trump กับ ยาย Hillary
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2016 การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ระหว่างสองตายาย ได้แก่ ตา Donald Trump จากพรรค Republican ซึ่งมีอายุ 70 ปี และยาย Hillary Clinton จากพรรด Democrat ซึ่งมีอายุ 69 ปีบริบูรณ์
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2016 การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ระหว่างสองตายาย ได้แก่ ตา Donald Trump จากพรรค Republican ซึ่งมีอายุ 70 ปี และยาย Hillary Clinton จากพรรด Democrat ซึ่งมีอายุ 69 ปีบริบูรณ์
นับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งในวันนั้นเป็นต้นไป การเมืองฉากใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่มีผลกระทบต่อประเทศต่างๆทั่วโลก คงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประเด็นที่น่าสนใจคือว่า ผู้นำของชาติอภิมหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลกนั้น เป็นผู้สูงอายุรุ่นปู่รุ่นย่ารุ่นตารุ่นยาย
ถ้าสมมติยึดเอาค่าเฉลี่ยอายุผู้ชายอเมริกันที่เท่ากับ 76 ปีเป็นเกณฑ์ นั่นหมายความว่า ถ้า Trump ได้เป็นประธานาธิบดี 2 สมัย (4+4 = 8 ปี) ไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาจะตายในหน้าที่ในขณะที่ดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2
ถ้าสมมติ Trump เป็นชายไทยที่มีค่าเฉลี่ยอายุเท่ากับ 71 ปี นั่นหมายความว่า เขาจะเสียชีวิตทันทีเมื่อรับตำแหน่งไปได้เพียง 1 ปีเท่านั้น
แต่แน่นอนว่า Trump คงจะมีอายุสูงกว่าค่าเฉลี่ยพอสมควร เพราะทุกครั้งที่เราเห็นเขาออกทีวี เขาดูแข็งแรง ทะมัดทะแมง ความจำเป็นเลิศกว่าตาสีตาสาในวัย 70 ปีทั่วๆไป
สิ่งเหล่านี้กำลังบอกเราใช่ไหมว่า โครงสร้างอายุของประชากรโลกล้วนเคลื่อนเข้าสู่ยุคของผู้สูงวัย โดยเฉพาะเมื่อทุกคนหันมาดูแลสุขภาพ เลือกอาหารการกิน ออกกำลังกาย และเทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น ประชากรโลกก็ย่อมมีอายุที่ยืนยาวขึ้น
ที่น่ากังวลไปมากกว่านั้นคือว่า คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่มักจะนิยมแต่งงานกันหลังอายุ 30 ปี หรือแม้แต่อายุ 40 ปี และนิยมมีลูก 1-2 คน หรือไม่มีเลย โดยอาศัยเหตุผลเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆนาๆ
ขอยกตัวอย่างจากความเป็นจริง ในปลายปี 2559 เพื่อนในรุ่นเดียวกันทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย ที่มีอายุระหว่าง 28-30 ปี จำนวนประมาณ 500 คน จากที่รู้จักและทราบข่าวคราวนั้น มีคนที่ตกลงใจแต่งงานประมาณ 10 คน (ไม่เกิน 20) คิดเป็นเพียงแค่ 2% ของคนทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งคนที่แต่งงานก็ไม่ได้มีลูกทุกคนอีกด้วย
ถ้าเป็นการทำโพล ก็อาจจะอนุมานได้ว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนสภาพสังคมในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับโลกในอดีต 30-40 ปีที่ผ่านมา ที่คนจะแต่งงานเร็วและมีลูกจำนวนมากเป็นโหล เมื่อมีลูกมากพ่อแม่ก็ต้องขยันทำมาหาเลี้ยงครอบครัว หามามากก็ใช้จ่ายออกไปมาก แปรผันตามจำนวนลูก เมื่อลูกเกิดมาก็ต้องขยันแข่งขันกับพี่น้อง พอคนจำนวนมากช่วยกันแข่งกันทำงาน เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนไปได้ดีไปได้เร็ว
ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้คนชรามีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่เด็กที่จะเติบโตมาเป็นวัยแรงงานมีจำนวนน้อยลง และเติบโตไม่ทันคนทำงานเดิมที่เริ่มหมดไฟลง
ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเรานั้น ได้มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีคนแก่คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ โชคดีที่คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย เป็นประเทศพัฒนาแล้ว รายได้ของคนญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ปัญหานี้จะหนักหนาและกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็ใช้กำลังวังชาที่พอมีอยู่เอาตัวรอดไปได้ หรืออาจเรียกอีกอย่างได้ว่า 'อาศัยบุญเก่าที่สะสมมานาน'
การดูแล การอุดหนุน การอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงวัย แม้จะดูเสมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรทำและต้องทำให้ดี ถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรต้องกลับไปดูที่ต้นเหตุที่แท้จริง ทำไมเราถึงขาดแคลนคนวัยแรงงาน และก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว
ปัญหานี้อาจต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลง 20-30 ปี กว่าจะเห็นผล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ก็เป็นผลมาจากอดีต 10-20 ปีก่อน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เริ่มแก้ไขที่ต้นเหตุตั้งแต่ตอนนี้ นับไปอีก 20-30 ปี เมื่อคนไทยอยู่ในสภาวะเดียวกับญี่ปุ่นในวันนี้ ประเทศเราอาจจะบาดเจ็บสาหัสกว่าเขามากทีเดียว
เราคงไม่ได้คาดหวังให้คนสมัยนี้ต้องแต่งงานเร็วเกินไปหรือมีลูกครึ่งทีมฟุตบอลเหมือนในอดีต แต่การค่อยๆปรับเข้าสู่สมดุลโดยอาศัยการนำทางของภาครัฐ น่าจะเป็นคำตอบที่ยั่งยืนมากกว่าสำหรับคนไทยทุกคน
ที่น่ากังวลไปมากกว่านั้นคือว่า คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่มักจะนิยมแต่งงานกันหลังอายุ 30 ปี หรือแม้แต่อายุ 40 ปี และนิยมมีลูก 1-2 คน หรือไม่มีเลย โดยอาศัยเหตุผลเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆนาๆ
ขอยกตัวอย่างจากความเป็นจริง ในปลายปี 2559 เพื่อนในรุ่นเดียวกันทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย ที่มีอายุระหว่าง 28-30 ปี จำนวนประมาณ 500 คน จากที่รู้จักและทราบข่าวคราวนั้น มีคนที่ตกลงใจแต่งงานประมาณ 10 คน (ไม่เกิน 20) คิดเป็นเพียงแค่ 2% ของคนทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งคนที่แต่งงานก็ไม่ได้มีลูกทุกคนอีกด้วย
ถ้าเป็นการทำโพล ก็อาจจะอนุมานได้ว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนสภาพสังคมในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับโลกในอดีต 30-40 ปีที่ผ่านมา ที่คนจะแต่งงานเร็วและมีลูกจำนวนมากเป็นโหล เมื่อมีลูกมากพ่อแม่ก็ต้องขยันทำมาหาเลี้ยงครอบครัว หามามากก็ใช้จ่ายออกไปมาก แปรผันตามจำนวนลูก เมื่อลูกเกิดมาก็ต้องขยันแข่งขันกับพี่น้อง พอคนจำนวนมากช่วยกันแข่งกันทำงาน เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนไปได้ดีไปได้เร็ว
ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้คนชรามีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่เด็กที่จะเติบโตมาเป็นวัยแรงงานมีจำนวนน้อยลง และเติบโตไม่ทันคนทำงานเดิมที่เริ่มหมดไฟลง
ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเรานั้น ได้มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีคนแก่คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ โชคดีที่คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย เป็นประเทศพัฒนาแล้ว รายได้ของคนญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ปัญหานี้จะหนักหนาและกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็ใช้กำลังวังชาที่พอมีอยู่เอาตัวรอดไปได้ หรืออาจเรียกอีกอย่างได้ว่า 'อาศัยบุญเก่าที่สะสมมานาน'
การดูแล การอุดหนุน การอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงวัย แม้จะดูเสมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรทำและต้องทำให้ดี ถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรต้องกลับไปดูที่ต้นเหตุที่แท้จริง ทำไมเราถึงขาดแคลนคนวัยแรงงาน และก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว
ปัญหานี้อาจต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลง 20-30 ปี กว่าจะเห็นผล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ก็เป็นผลมาจากอดีต 10-20 ปีก่อน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เริ่มแก้ไขที่ต้นเหตุตั้งแต่ตอนนี้ นับไปอีก 20-30 ปี เมื่อคนไทยอยู่ในสภาวะเดียวกับญี่ปุ่นในวันนี้ ประเทศเราอาจจะบาดเจ็บสาหัสกว่าเขามากทีเดียว
เราคงไม่ได้คาดหวังให้คนสมัยนี้ต้องแต่งงานเร็วเกินไปหรือมีลูกครึ่งทีมฟุตบอลเหมือนในอดีต แต่การค่อยๆปรับเข้าสู่สมดุลโดยอาศัยการนำทางของภาครัฐ น่าจะเป็นคำตอบที่ยั่งยืนมากกว่าสำหรับคนไทยทุกคน
วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
From Technology to CSR - Too big too fall
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
ภายในโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของ CPram บริษัทในเครือ CP ที่ทำหน้าที่ผลิตอาหารสำเร็จรูปป้อนให้กับร้าน 7-11 มูลค่าก่อสร้าง 1,700 ล้านบาท
โรงงานที่มีมูลค่าก่อสร้าง 1,700 ล้านบาท แห่งนี้ เติมเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรในการผลิตเกือบ 100% โดยใช้แรงงานมนุษย์ 600 คน แต่กำลังการผลิตสามารถทำได้เทียบเท่าโรงงานที่ใช้พนักงานถึง 6,000 คน
วิธีการลดต้นทุนและเพิ่มกำลังการผลิต ทดแทนแรงงานคนด้วยเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ล้วนเป็นความปรารถนาของเจ้าของธุรกิจทุกคน ซึ่งไม่ต่างจาก เจ้าสัวธนินทร์ เจ้าของ CP อภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย และร่ำรวยเป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย (Forbes, Dec 2015)
ในอีกมุมหนึ่ง Joseph Stiglitz นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เคยได้วิจารณ์เอาไว้ว่า เพราะเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเหล่านี้ ที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยมนุษย์เพื่อนำมาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ ส่งผลให้เพื่อนมนุษย์จำนวนมหาศาลตกงาน และนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหา เกิดวิกฤติในหลายๆครั้งที่ผ่านมาโดยเฉพาะในประเทศของเขาเอง
ถ้ามองในมุมที่บริษัทเอกชนต้องรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว (Corporate Social Responsibility) การลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อใช้ทดแทนแรงงานคนทั้งหมด อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับธุรกิจ
เมื่อธุรกิจที่หวังผลกำไรสูงสุด และถ้าไม่ลงทุนในเทคโนโลยีก็อาจจะพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งได้ ในขณะเดียวกันถ้าลงทุนสุดโต่งเกินไปก็อาจจะส่งผลร้ายต่อสังคมได้ นี่คือความยากยิ่งที่รัฐบาลและผู้เสนอตัวมารับใช้ประชาชนต้องบริหารจัดการให้เกิดความสมดุล
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเครือ CP และอีกหลายๆบริษัทในประเทศไทย ที่มีแผนงาน CSR อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลดของเสียจากโรงงาน การบริจาคเงิน การปลูกป่า การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ ซึ่งเป็นการแบ่งปันให้กับสังคมที่ทุกคนรับรู้รับทราบเป็นอย่างดี
แต่ในยุคแห่งความไม่แน่นอน ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราควรป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะที่ต่างชาติเขาเรียกกันว่า 'Too Big Too Fall' หรือ 'ใหญ่เกินจะล้ม' หมายความว่า บริษัทยักษ์ใหญ่บางบริษัทที่รัฐไม่สามารถปล่อยให้ล้มลงได้เมื่อเกิดวิกฤติ เพราะจะทำให้ประเทศชาติเสียหายหนักและส่งผลกระทบต่อประชาชนวงกว้าง รัฐบาลจึงต้องใช้เงินภาษีของประชาชนเข้าไปช่วยพยุงฐานะของบริษัทนั้นไว้
และนั่นอาจเป็นที่มาของความไม่พอใจของคนจำนวนมากในสหรัฐฯ อาจเป็นที่มาของประธานาธิบดีที่ชื่อว่า Donald J. Trump
แน่นอนว่าคนไทยคงไม่ประสงค์ให้เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้น ดังนั้น แผนงาน CSR ที่สำคัญที่สุดของอภิบริษัทยักษ์ใหญ่ คือ แผนการรองรับเมื่อเกิดวิกฤติหรืออุบัติเหตุทางเศรษฐกิจ แล้วไม่ต้องใช้เงินภาษีประชาชนมาอุดหนุน และลดผลกระทบที่จะมีต่อสังคมให้ได้มากที่สุด
ถ้าทุกคนลองคิดเล่นๆดู ก็พอจะบอกได้ว่ามีกี่บริษัทในประเทศที่อาจจะเข้าข่าย 'Too Big Too Fall' และควรจะเสนอแผนงานนั้นต่อสาธารณะ เพราะนั่นคือที่สุดของความรับผิดชอบต่อสังคม
ถ้ามีบริษัทไหนทำเช่นนั้น ทุกคนก็ควรสนับสนุนซื้อสินค้าและบริการของเขาอย่างเต็มที่ ใช่หรือไม่.....
ภายในโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของ CPram บริษัทในเครือ CP ที่ทำหน้าที่ผลิตอาหารสำเร็จรูปป้อนให้กับร้าน 7-11 มูลค่าก่อสร้าง 1,700 ล้านบาท
โรงงานที่มีมูลค่าก่อสร้าง 1,700 ล้านบาท แห่งนี้ เติมเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรในการผลิตเกือบ 100% โดยใช้แรงงานมนุษย์ 600 คน แต่กำลังการผลิตสามารถทำได้เทียบเท่าโรงงานที่ใช้พนักงานถึง 6,000 คน
วิธีการลดต้นทุนและเพิ่มกำลังการผลิต ทดแทนแรงงานคนด้วยเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ล้วนเป็นความปรารถนาของเจ้าของธุรกิจทุกคน ซึ่งไม่ต่างจาก เจ้าสัวธนินทร์ เจ้าของ CP อภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย และร่ำรวยเป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย (Forbes, Dec 2015)
ในอีกมุมหนึ่ง Joseph Stiglitz นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เคยได้วิจารณ์เอาไว้ว่า เพราะเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเหล่านี้ ที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยมนุษย์เพื่อนำมาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ ส่งผลให้เพื่อนมนุษย์จำนวนมหาศาลตกงาน และนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหา เกิดวิกฤติในหลายๆครั้งที่ผ่านมาโดยเฉพาะในประเทศของเขาเอง
ถ้ามองในมุมที่บริษัทเอกชนต้องรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว (Corporate Social Responsibility) การลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อใช้ทดแทนแรงงานคนทั้งหมด อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับธุรกิจ
เมื่อธุรกิจที่หวังผลกำไรสูงสุด และถ้าไม่ลงทุนในเทคโนโลยีก็อาจจะพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งได้ ในขณะเดียวกันถ้าลงทุนสุดโต่งเกินไปก็อาจจะส่งผลร้ายต่อสังคมได้ นี่คือความยากยิ่งที่รัฐบาลและผู้เสนอตัวมารับใช้ประชาชนต้องบริหารจัดการให้เกิดความสมดุล
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเครือ CP และอีกหลายๆบริษัทในประเทศไทย ที่มีแผนงาน CSR อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลดของเสียจากโรงงาน การบริจาคเงิน การปลูกป่า การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ ซึ่งเป็นการแบ่งปันให้กับสังคมที่ทุกคนรับรู้รับทราบเป็นอย่างดี
แต่ในยุคแห่งความไม่แน่นอน ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราควรป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะที่ต่างชาติเขาเรียกกันว่า 'Too Big Too Fall' หรือ 'ใหญ่เกินจะล้ม' หมายความว่า บริษัทยักษ์ใหญ่บางบริษัทที่รัฐไม่สามารถปล่อยให้ล้มลงได้เมื่อเกิดวิกฤติ เพราะจะทำให้ประเทศชาติเสียหายหนักและส่งผลกระทบต่อประชาชนวงกว้าง รัฐบาลจึงต้องใช้เงินภาษีของประชาชนเข้าไปช่วยพยุงฐานะของบริษัทนั้นไว้
และนั่นอาจเป็นที่มาของความไม่พอใจของคนจำนวนมากในสหรัฐฯ อาจเป็นที่มาของประธานาธิบดีที่ชื่อว่า Donald J. Trump
แน่นอนว่าคนไทยคงไม่ประสงค์ให้เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้น ดังนั้น แผนงาน CSR ที่สำคัญที่สุดของอภิบริษัทยักษ์ใหญ่ คือ แผนการรองรับเมื่อเกิดวิกฤติหรืออุบัติเหตุทางเศรษฐกิจ แล้วไม่ต้องใช้เงินภาษีประชาชนมาอุดหนุน และลดผลกระทบที่จะมีต่อสังคมให้ได้มากที่สุด
ถ้าทุกคนลองคิดเล่นๆดู ก็พอจะบอกได้ว่ามีกี่บริษัทในประเทศที่อาจจะเข้าข่าย 'Too Big Too Fall' และควรจะเสนอแผนงานนั้นต่อสาธารณะ เพราะนั่นคือที่สุดของความรับผิดชอบต่อสังคม
ถ้ามีบริษัทไหนทำเช่นนั้น ทุกคนก็ควรสนับสนุนซื้อสินค้าและบริการของเขาอย่างเต็มที่ ใช่หรือไม่.....
วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559
เกษตรกรรม กับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
คนไทยโชคดีที่มีในหลวง ร.๙ ที่ทรงมีวิสัยทัศน์ ให้ความสำคัญเรื่อง 'ดิน น้ำ การเกษตร' ทำให้คนในประเทศสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า 'ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว' เมื่องไทยเป็น 'อู่ข้าวอู่น้ำ' ถึงขั้นที่จะยกระดับให้ประเทศไทยเป็น 'ครัวโลก' (World Kitchen) สามารถป้อนอาหารให้กับประเทศต่างๆในโลกได้
ถือเป็นความโชคดีของคนไทยอีกเช่นกันที่ในหลวงทรงมีดำริว่า อุตสาหกรรม นั้นมาจากคำว่า 'อุตส่า-หากรรม' โครงการตามพระราชดำริจำนวนมากจึงเน้นที่จะพัฒนาเกษตรกรรม ช่วยให้เกษตรกรไทยมีอาชีพมั่นคง ทำมาหาเลี้ยงตนได้ และทรัพยากรธรรมชาติมีความยั่งยืน
ทั้งเรื่องฝนหลวงและชลประทาน (Water supply) เรื่องปรับปรุงดิน พัฒนาพันธุ์พืชและแปรรูปสินค้าเกษตร (R&D) เรื่องการบำบัดน้ำเสีย (Innovation & CSR) เรื่องการเกษตรบูรณาการ (Holistic approach) ฯลฯ
ถ้าหากเทียบเคียงจากประวัติศาสตร์ ประเทศเวเนซูเอล่า (Venezuela) ในอดีตก็มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์คล้ายคลึงประเทศไทย คนจำนวนมากมีอาชีพเกษตรกรรม แต่เมื่อเขาค้นพบบ่อน้ำมัน ผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์คิดว่า อุตสาหกรรมน้ำมันจะทำให้คนในประเทศร่ำรวย
ผู้คนจึงละทิ้งอาชีพการเกษตร เงินที่หาได้รัฐบาลก็ใช้จ่ายประชานิยมฟุ้งเฟ้อ แจกเงินคนจนฟุ่มเฟือย ผ่านมาไม่กี่สิบปี ปัจจุบันราคาน้ำมันตกต่ำ คนในประเทศอดอยากไม่มีจะกิน ข้าวยากหมากแพง ขาดแคลนสาธารณูปโภค คนรุ่นใหม่ก็ขาดภูมิปัญญาทำการเกษตร เกิดวิกฤติภายในประเทศวุ่นวายไปหมด
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า แม้นประเทศไทยจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ผู้คนตกงาน ย่ำแย่สาหัสเพียงใด แต่คนไทยทุกคนก็ยังโชคดี ไม่มีอดตาย เพราะแผ่นดินไทยอุดมสมบูรณ์ 'มีข้าวอยู่ในนา มีปลาอยู่ในน้ำ'
เพื่อให้ความมั่นคงทางอาหารดำรงอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป คนไทยต้องไม่ละทิ้งอาชีพทำการเกษตร แต่ต้องต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิม
จะทำอย่างนั้นได้ ต้องให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่คิดละทิ้งบ้านในชนบท แล้วเข้าไปหางานในเมืองหลวง ด้วยเหตุผลเดิมๆที่ว่า อาชีพเกษตรกรไม่อาจสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวได้
ดังนั้น เราคนไทยต้องช่วยกันหาทางทำให้เกษตรกรรมเป็นงานที่มีเกียรติ มีรายได้ดี มีความภาคภูมิใจ จูงใจให้คนในสาขาอาชีพอื่น หันมาทำการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว (จะได้คุยกันต่อไปในบทความหน้าๆ)
จริงอยู่ที่การทำการเกษตรมีความไม่แน่นอนสูง เพราะผลผลิตจะขึ้นอยู่กับฤดูกาล ลม ฟ้า อากาศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์นั้นมากมายเหลือเกิน อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้คนในชนบทมักจะพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บูชาและศรัทธาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ มากกว่าคนในเมืองที่ไม่ได้ทำการเกษตร
แม้ฟังดูเป็นเรื่องยาก แต่คงไม่เกินความสามารถหากเราหลายล้านคนร่วมมือกัน เพราะในหลวงทรงทำได้สำเร็จเป็นแบบอย่างแล้ว ทำให้คนเราสามารถบริหารจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดูเสมือนว่าจะอยู่เหนือการควบคุม เพื่อนำมันมาใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็น ดิน ฝน น้ำ ชลประทาน
แต่ 'งานยังไม่เสร็จ' ต้องทำกันต่อไป ดีกว่าไปฝากความหวังไว้กับสิ่งที่คุณก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
คนไทยโชคดีที่มีในหลวง ร.๙ ที่ทรงมีวิสัยทัศน์ ให้ความสำคัญเรื่อง 'ดิน น้ำ การเกษตร' ทำให้คนในประเทศสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า 'ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว' เมื่องไทยเป็น 'อู่ข้าวอู่น้ำ' ถึงขั้นที่จะยกระดับให้ประเทศไทยเป็น 'ครัวโลก' (World Kitchen) สามารถป้อนอาหารให้กับประเทศต่างๆในโลกได้
ถือเป็นความโชคดีของคนไทยอีกเช่นกันที่ในหลวงทรงมีดำริว่า อุตสาหกรรม นั้นมาจากคำว่า 'อุตส่า-หากรรม' โครงการตามพระราชดำริจำนวนมากจึงเน้นที่จะพัฒนาเกษตรกรรม ช่วยให้เกษตรกรไทยมีอาชีพมั่นคง ทำมาหาเลี้ยงตนได้ และทรัพยากรธรรมชาติมีความยั่งยืน
ทั้งเรื่องฝนหลวงและชลประทาน (Water supply) เรื่องปรับปรุงดิน พัฒนาพันธุ์พืชและแปรรูปสินค้าเกษตร (R&D) เรื่องการบำบัดน้ำเสีย (Innovation & CSR) เรื่องการเกษตรบูรณาการ (Holistic approach) ฯลฯ
ผู้คนจึงละทิ้งอาชีพการเกษตร เงินที่หาได้รัฐบาลก็ใช้จ่ายประชานิยมฟุ้งเฟ้อ แจกเงินคนจนฟุ่มเฟือย ผ่านมาไม่กี่สิบปี ปัจจุบันราคาน้ำมันตกต่ำ คนในประเทศอดอยากไม่มีจะกิน ข้าวยากหมากแพง ขาดแคลนสาธารณูปโภค คนรุ่นใหม่ก็ขาดภูมิปัญญาทำการเกษตร เกิดวิกฤติภายในประเทศวุ่นวายไปหมด
มีคนเคยกล่าวไว้ว่า แม้นประเทศไทยจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ผู้คนตกงาน ย่ำแย่สาหัสเพียงใด แต่คนไทยทุกคนก็ยังโชคดี ไม่มีอดตาย เพราะแผ่นดินไทยอุดมสมบูรณ์ 'มีข้าวอยู่ในนา มีปลาอยู่ในน้ำ'
เพื่อให้ความมั่นคงทางอาหารดำรงอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป คนไทยต้องไม่ละทิ้งอาชีพทำการเกษตร แต่ต้องต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิม
จะทำอย่างนั้นได้ ต้องให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่คิดละทิ้งบ้านในชนบท แล้วเข้าไปหางานในเมืองหลวง ด้วยเหตุผลเดิมๆที่ว่า อาชีพเกษตรกรไม่อาจสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวได้
ดังนั้น เราคนไทยต้องช่วยกันหาทางทำให้เกษตรกรรมเป็นงานที่มีเกียรติ มีรายได้ดี มีความภาคภูมิใจ จูงใจให้คนในสาขาอาชีพอื่น หันมาทำการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว (จะได้คุยกันต่อไปในบทความหน้าๆ)
จริงอยู่ที่การทำการเกษตรมีความไม่แน่นอนสูง เพราะผลผลิตจะขึ้นอยู่กับฤดูกาล ลม ฟ้า อากาศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์นั้นมากมายเหลือเกิน อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้คนในชนบทมักจะพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บูชาและศรัทธาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ มากกว่าคนในเมืองที่ไม่ได้ทำการเกษตร
แม้ฟังดูเป็นเรื่องยาก แต่คงไม่เกินความสามารถหากเราหลายล้านคนร่วมมือกัน เพราะในหลวงทรงทำได้สำเร็จเป็นแบบอย่างแล้ว ทำให้คนเราสามารถบริหารจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดูเสมือนว่าจะอยู่เหนือการควบคุม เพื่อนำมันมาใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็น ดิน ฝน น้ำ ชลประทาน
แต่ 'งานยังไม่เสร็จ' ต้องทำกันต่อไป ดีกว่าไปฝากความหวังไว้กับสิ่งที่คุณก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ชีวิตก็เหมือนละคร
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
เดือนตุลาคม พ.ศ.2559 ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เศร้าและหดหู่ที่สุดในช่วงชีวิตของคนไทยหลายล้านคน ท่ามกลางความเศร้าสลดนี้ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงน้ำใจไมตรีของพี่น้องคนไทย นับว่าเป็นบรรยากาศที่ดี ที่แสดงออกถึงความสามัคคี ซึ่งคงช่วยบรรเทาความเศร้าที่มีในใจของใครหลายคนลงได้ คนไทยจำนวนมากปฏิบัติตัวในฐานะลูกที่กตัญญูของพ่อ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงน้ำ เลี้ยงอาหาร และแจกของที่ระลึกให้กับผู้คนที่มาร่วมแสดงความอาลัยแก่พ่อหลวง ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย
เวลาผ่านไปสัปดาห์เศษๆ ภาพมันเริ่มฟ้องว่าความปรารถนาดีเหล่านั้นกลับทำให้คนบางกลุ่มลืมนึกไปว่ากำลังอยู่ในงานศพแห่งการสูญเสีย บางคนตำหนิรุนแรงถึงขั้นที่บอกว่าไม่รู้จัก'กาละเทศะ' โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ตั้งใจไปเพื่อหาของฟรี เพียงแต่ใส่เสื้อดำเพื่อพรางตัวเท่านั้น
ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้มันตกค้างอยู่ในสังคมเรามาช้านาน ถ้าย้อนกลับไปดูตั้งแต่ที่มีการชุมนุมทางการเมืองก็จะมีสภาพคล้ายคลึงกัน กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. คนเร่ร่อน (homeless) อยู่ฟรีกินดี เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน ถือเป็นรางวัลชีวิตไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ
2. คนที่ไปเพื่อหาของฟรี ห่อกลับบ้าน เผื่อลูกเผื่อหลาน และเอากลับไปขายต่อ
3. คนที่ไปรับของมาแล้วไม่เห็นคุณค่า กินทิ้งขว้าง ทำของดีให้กลายเป็นขยะ
จะเห็นได้ว่ากลุ่มคนที่น่าโดนตำหนิอย่างรุนแรงจากสังคมมากที่สุด คือ กลุ่มที่ 2 และ 3 ที่ไม่รู้จักความพอดี ทั้งๆที่เสื้อดำที่กำลังใส่อยู่นั้น ใส่เพื่อแสดงความรำลึกถึงเจ้าของปรัชญาแห่งความพอเพียง
ถือเป็นความโชคดีของคนไทย ที่ในหลวง ร.๙ ทรงมีวิสัยทัศน์ ให้ความสำคัญเรื่อง 'ดิน น้ำ การเกษตร' ทำให้คนในประเทศนี้สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า 'ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว' เมื่องไทยเป็น 'อู่ข้าวอู่น้ำ' ถึงขั้นที่จะยกระดับให้เป็น 'ครัวโลก' (World Kitchen) สามารถป้อนอาหารให้กับประเทศต่างๆในโลกได้
ในความโชคดีของคนไทยที่ไม่ว่าจะยากจนแร้นแค้นขนาดไหนก็ดูจะห่างไกลจากคำว่าอดอยากปากแห้ง ได้แอบแฝงความเลวร้ายในสังคมอย่างไม่รู้ตัว ถ้าสังเกตให้ดีเราจะพบว่าในละครไทยแทบทุกเรื่องที่มีฉากในตลาดสด จะต้องมีการเอาอาหารมาปาใส่กัน เทใส่หน้า ราดหัวแล้วขยี้ ทิ้งลงพื้นแล้วเหยียบ เทกระจาด สารพัด
สำหรับเมืองไทยแล้ว ของที่เสียไปนั้นดูจะไร้ซึ่งความสำคัญต่อความเป็นอยู่ แต่ในประเทศที่ขาดแคลนอาหารเพื่อการดำรงอยู่รอดของชีวิต คงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถให้อภัยได้
ฉากในละครไทย (ที่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีไม่เฉพาะกับคนไทยและเยาวชน แต่ยังแสดงถึงวัฒนธรรมที่ดีงามให้กับชาวต่างชาติได้เห็นด้วย) ก็เป็นเสมือนกระจกสะท้อนวิถีของกลุ่มคนประเภทที่ 3 เท่านั้นเอง
เดือนตุลาคม พ.ศ.2559 ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เศร้าและหดหู่ที่สุดในช่วงชีวิตของคนไทยหลายล้านคน ท่ามกลางความเศร้าสลดนี้ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงน้ำใจไมตรีของพี่น้องคนไทย นับว่าเป็นบรรยากาศที่ดี ที่แสดงออกถึงความสามัคคี ซึ่งคงช่วยบรรเทาความเศร้าที่มีในใจของใครหลายคนลงได้ คนไทยจำนวนมากปฏิบัติตัวในฐานะลูกที่กตัญญูของพ่อ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงน้ำ เลี้ยงอาหาร และแจกของที่ระลึกให้กับผู้คนที่มาร่วมแสดงความอาลัยแก่พ่อหลวง ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย
เวลาผ่านไปสัปดาห์เศษๆ ภาพมันเริ่มฟ้องว่าความปรารถนาดีเหล่านั้นกลับทำให้คนบางกลุ่มลืมนึกไปว่ากำลังอยู่ในงานศพแห่งการสูญเสีย บางคนตำหนิรุนแรงถึงขั้นที่บอกว่าไม่รู้จัก'กาละเทศะ' โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ตั้งใจไปเพื่อหาของฟรี เพียงแต่ใส่เสื้อดำเพื่อพรางตัวเท่านั้น
ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้มันตกค้างอยู่ในสังคมเรามาช้านาน ถ้าย้อนกลับไปดูตั้งแต่ที่มีการชุมนุมทางการเมืองก็จะมีสภาพคล้ายคลึงกัน กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. คนเร่ร่อน (homeless) อยู่ฟรีกินดี เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน ถือเป็นรางวัลชีวิตไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ
2. คนที่ไปเพื่อหาของฟรี ห่อกลับบ้าน เผื่อลูกเผื่อหลาน และเอากลับไปขายต่อ
3. คนที่ไปรับของมาแล้วไม่เห็นคุณค่า กินทิ้งขว้าง ทำของดีให้กลายเป็นขยะ
จะเห็นได้ว่ากลุ่มคนที่น่าโดนตำหนิอย่างรุนแรงจากสังคมมากที่สุด คือ กลุ่มที่ 2 และ 3 ที่ไม่รู้จักความพอดี ทั้งๆที่เสื้อดำที่กำลังใส่อยู่นั้น ใส่เพื่อแสดงความรำลึกถึงเจ้าของปรัชญาแห่งความพอเพียง
ถือเป็นความโชคดีของคนไทย ที่ในหลวง ร.๙ ทรงมีวิสัยทัศน์ ให้ความสำคัญเรื่อง 'ดิน น้ำ การเกษตร' ทำให้คนในประเทศนี้สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า 'ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว' เมื่องไทยเป็น 'อู่ข้าวอู่น้ำ' ถึงขั้นที่จะยกระดับให้เป็น 'ครัวโลก' (World Kitchen) สามารถป้อนอาหารให้กับประเทศต่างๆในโลกได้
ในความโชคดีของคนไทยที่ไม่ว่าจะยากจนแร้นแค้นขนาดไหนก็ดูจะห่างไกลจากคำว่าอดอยากปากแห้ง ได้แอบแฝงความเลวร้ายในสังคมอย่างไม่รู้ตัว ถ้าสังเกตให้ดีเราจะพบว่าในละครไทยแทบทุกเรื่องที่มีฉากในตลาดสด จะต้องมีการเอาอาหารมาปาใส่กัน เทใส่หน้า ราดหัวแล้วขยี้ ทิ้งลงพื้นแล้วเหยียบ เทกระจาด สารพัดสำหรับเมืองไทยแล้ว ของที่เสียไปนั้นดูจะไร้ซึ่งความสำคัญต่อความเป็นอยู่ แต่ในประเทศที่ขาดแคลนอาหารเพื่อการดำรงอยู่รอดของชีวิต คงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถให้อภัยได้
ฉากในละครไทย (ที่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีไม่เฉพาะกับคนไทยและเยาวชน แต่ยังแสดงถึงวัฒนธรรมที่ดีงามให้กับชาวต่างชาติได้เห็นด้วย) ก็เป็นเสมือนกระจกสะท้อนวิถีของกลุ่มคนประเภทที่ 3 เท่านั้นเอง
วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559
Working King
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
Give a Man a Fish, and You Feed Him for a Day.
Teach a Man To Fish, and You Feed Him for a Lifetime.
Teach a man to Grow fish, and you feed him for Generations.
(http://www.matichon.co.th/news/329288)
จากสุภาษิตฝรั่งที่บอกว่า: ถ้าให้ปลาคนกิน เขาจะมีปลากิน 1 วัน. ถ้าสอนให้เขาจับปลา เขาจะมีปลากินตลอดชีวิต. แต่ผมขอเสริมว่า ถ้าสอนให้เขาเลี้ยงปลา เขาจะมีปลากินไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน. ตรงนี้อธิบายถึงสิ่งที่ในหลวงได้ทุ่มเททำงานให้กับลูกๆของท่านได้ดีที่สุด
สำหรับประเทศอื่นที่มีพระมหากษัตริย์ เขาจะเรียกว่า King แต่สำหรับในหลวง ร.๙ ของคนไทยแล้วเราเรียกท่านว่า Working King
สำหรับประเทศอื่นที่มีพระราชวัง ในบริเวณพระราชวังจะมีสวนดอกไม้ สวนหย่อม มีลานน้ำพุ มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามกว้างใหญ่ไพศาล แต่สำหรับพระราชวังสวนจิตรลดา หรือในบริเวณบ้านของในหลวงเต็มไปด้วยอาคารโรงงาน บ่อปลา ไร่นา ห้องทดลอง เพื่อคิดค้นงานสร้างอาชีพให้กับลูกๆของท่าน
(รูปภาพจาก http://oknation.nationtv.tv/blog/nard13/2015/05/21/entry-1)
ดังนั้นแล้ว 10 กว่าวันที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่พ่อจากไปเมื่อ 13 ต.ค.59 จึงเป็นงานศพที่จัดขึ้นท่ามกลางความเศร้าใจของคนทั่วประเทศ และคงจะเป็นงานศพที่จัดขึ้นใหญ่ที่สุดในโลก หลายต่อหลายคนไปงานศพโดยทำตัวเสมือนเป็นเจ้าภาพ คอยจัดรถรับส่งให้แขกที่มาร่วมงานฟรี คอยทำอาหารให้แขกคนอื่นทานฟรี คอยแจกของใช้ ยาดม ร่ม ยาหม่อง ฟรี ความรักทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้นี้คงเป็นเพราะว่า ในหลวงทรงได้สละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวมมายาวนาน 20,000 กว่าวัน
สุดท้ายแล้วพ่อก็คงหวังว่า เมื่อเวลาผ่านไปลูกๆทุกคนสามารถพึ่งพาตนเองและพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ ยิ่งเมื่อพ่อแก่ตัวลง โดยทั่วไปก็คงหวังว่าลูกๆจะสามารถเป็นที่พึ่งของพ่อได้ แต่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา หลายคนทราบดีว่าลูกๆส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่มีอำนาจมีสิทธิ์มีเสียงดังกว่าลูกๆคนอื่น ไม่อาจเป็นที่ไว้วางใจหรือเป็นที่พึ่งของพ่อได้ มิหนำซ้ำยังได้ทำให้พ่อทรุดป่วยมากลงไปอีก ทั้งๆที่ทุกคนรับรู้อยู่แล้วว่าในระยะเวลา 10 ปีหลังนี้ สุขภาพของพ่อไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หรือว่านี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พ่อเลือกจากลูกๆไปในยุคของลุงตู่
"ในหลวง" ตรัส "เขารู้ว่าใครรักเราจริง" หลัง "คุณทองแดง" เลียหน้า "พล.อ.ประยุทธ์" 4 ก.ค.56
วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559
ประเทศไทย ในวันที่ไม่มีในหลวง ร.๙
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
แล้ววันที่ไม่อยากให้มาถึงที่สุดในชีวิต วันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค. 2559 ก็มาถึงเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ เมื่อได้รับทราบคำแถลงอย่างเป็นทางการจากข่าวหน้าจอทีวี มันเป็นค่ำคืนที่คนไทยหัวใจแตกสลาย มันเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหดหู่เศร้าหมอง มันเป็นค่ำคืนที่อึดอั้นต้องข่มตานอน เพราะเรารู้ดีว่านับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ประเทศไทยจะไม่มีในหลวง ร.9 อีกต่อไป
แม้ในหลวงท่านจะมีพระชนมายุ 89 พรรษาแล้ว แต่ผมคิดมาเสมอว่า ด้วยเทคโนโลยีและความสามารถของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในหลวงน่าจะอยู่กับเราได้อีก 5-10 ปีเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้ววันที่ 13 ต.ค.59 จึงมาถึงอย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ
ผมต้องขอสารภาพว่า ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยรู้ซึ้งถึงสิ่งที่ในหลวงทำให้กับประชาชนคนไทยเลย แม้ว่าจะเห็นภาพผ่านทีวี ได้ฟังข่าวทางวิทยุ ได้ดูเพลงสรรเสริญในโรงหนัง ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ได้ผ่านออกไปอย่างไม่มีความหมาย
จนกระทั่งสมัย ม.6 ประมาณปี 2547-2548 เป็นช่วงเวลาของชีวิตที่มีโอกาสได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศอเมริกา ในช่วง 2-3 เดือนแรกที่ใช้ชีวิตต่างแดน ผมยังไม่มีเพื่อน ผมจึงมีเวลาเหลือเฟือหลังเลิกเรียนได้ท่องเน็ต ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ webboard กำลังได้รับความนิยมในหมู่เด็กมัธยม สมัยนั้นไม่มีFacebook ไม่มีLine เวลาจะคุยกันต้องโพสผ่าน webboard ของโรงเรียนหรือเล่น msn
เมื่อคุยกับเพื่อนจนเบื่อ ผมจึงหันมาหาอ่านกระทู้ตาม webboardต่างๆ ครั้งหนึ่งผมได้อ่านเจอบทความเกี่ยวกับในหลวง และพลันคิดไปเองว่ามันจะมีคนแบบนี้อยู่ในโลกจริงๆหรือ เป็นคนรวยแต่ใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์ เป็นกษัตริย์แต่ทุ่มเททำงานอย่างหนักหนา เป็นราชาแต่ไม่เคยจะอยู่แต่ในพระราชวัง
ผมจึงได้เริ่มศึกษาพระราชกรณียกิจ และโครงการหลวงอย่างลึกซึ้ง ได้ติดตามพระราชดำริ และพระราชจริยวัตรอย่างเอาจริงเอาจัง ผมถึงได้เริ่มไตร่ตรองและตระหนักถึงพระคุณงามความดีของในหลวงผ่านหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่าลมๆแล้งๆ
เพียงถ้อยคำบางประโยคมันยิ่งตอกยิ่งย้ำถึงคุณความดีของในหลวงที่ทรงเป็นแบบอย่างให้กับคนไทย เช่น คำสัมภาษณ์จาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล หรือจากบรรดาแพทย์ศิริราชที่ถวายการรักษาให้ในหลวงที่เล่าว่า ในหลวงทรงงานตลอดเวลา แม้จะนอนอยู่บนเตียงคนป่วยก็ตามที โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เกิดอุทกภัยภายในประเทศ ผมเชื่อว่าบุคคลเหล่านี้ไม่มีเหตุลใดๆเลยที่จะต้องออกมาพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เมื่อดูจากชื่อเสียงและเกียรติประวัติของพวกเขาแล้ว
ครั้งหนึ่งผมเคยมีโอกาสได้รับเสด็จในหลวงที่ รพ.ศิริราช เมื่อตอนเรียนอยู่ที่ม.ธรรมศาสตร์ ช่วงบ่ายวันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากคุณแม่ โทรมาบอกว่าในหลวงท่านกำลังจะเสด็จกลับจากศิริราช ผมไม่รอช้า รีบนั่งเรือข้ามฟากจากท่าพระจันทร์ไปที่ท่าศิริราชเพื่อรอรับเสด็จทันที แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ได้พบในหลวงตัวจริงก็ตาม ถึงผมแอบฝันที่จะได้รับเสด็จรับใช้ในหลวงอีกครั้งในชีวิต แต่นับจากนี้โอกาสนั้นคงไม่มีอีกแล้ว
ในหลวงเคยรับสั่งว่าจะอยู่ถึง 120 ปี นั่นอาจหมายความว่า ท่านคงตระหนักรู้ถึงสภาพร่างกายและจิตใจของท่านเป็นอย่างดีแล้ว แต่จากเหตุการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ผมหาเหตุผลใดมาหักล้างไม่ได้เลยว่า นักการเมือง คือ อาชีพเดียวที่สร้างความทุกข์ให้กับในหลวงมากที่สุด ตรงนี้ยืนยันได้จากคำสัมภาษณ์ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ในรายการของคุณวูดดี้ หรือเพราะสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้พระวรกายและพระทัยของในหลวงทรุดลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
ฉะนั้นแล้ว จากนี้ไปคงเหลือเพียงสิ่งดีๆที่ในหลวงได้ทรงทำไว้เป็นมรดกให้กับคนไทยทุกคน และคนไทยทุกคนคงจะสามารถทำตามคำสอนของในหลวงได้อย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะคำสอนที่ในหลวงทรงกล่าวไว้เมื่อปี 2521 ที่ผมคิดว่าฉลาดและคลาสสิกที่สุด คือ
"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"
You are my hero. 14.10.2559
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559
ทำไมถึงควรใช้บัตรเครดิต และวิธีปฏิเสธการชวนสมัครบัตรเครดิต
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
ปัจจุบันคนวัยทำงานแทบทุกคนสามารถมีบัตรเครดิตได้ไม่ยาก เพียงคุณเริ่มทำงาน สมมติเงินเดือน 15,000 บาท ขอแค่มีหลักฐานการรับเงินเดือนจากบริษัท 3-6 เดือน คุณก็สามารถมีบัตรเครดิตวงเงิน 20,000 – 30,000 บาท และในหลายกรณีทางธนาคารจะโทรศัพท์ชักชวนลูกค้าให้เปิดบัตรเครดิตด้วย โดยที่เราไม่ทราบเลยว่าเขาไปเอาเบอร์โทรศัพท์เรามาจากไหน
การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ทำให้เราได้รับคะแนนสะสม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ใช้เงินให้เด้งกลับ เพราะทุกๆการใช้จ่าย อาทิ 25 บาท จะได้รับ 2 คะแนน, ทุกๆ 1000 คะแนน ใช้แทนเงินสดได้ 100 บาท, คิดเป็น 0.8% ของยอดใช้จ่าย บางกรณีสามารถแลกเป็นตั๋วเครื่องบิน อัพเกรดที่นั่ง แลกเป็นของใช้ เปลี่ยนเป็นบัตรกำนัล ได้รับของแถม สามารถผ่อน 0% นาน 10 เดือน แล้วแต่โปรโมชั่นของบัตรนั้นๆ แต่ถ้าเราใช้จ่ายเป็นเงินสด นอกจากการชื่นชมอยู่ในใจของคนขายแล้ว เราไม่ได้อะไรย้อนกลับมาเลย มิหนำซ้ำยังเพิ่มความเสี่ยงในการถูกโจรผู้ร้ายปล้นให้กับร้านค้าที่เก็บเงินสดมากๆอีกด้วย
ปัจจุบันคนวัยทำงานแทบทุกคนสามารถมีบัตรเครดิตได้ไม่ยาก เพียงคุณเริ่มทำงาน สมมติเงินเดือน 15,000 บาท ขอแค่มีหลักฐานการรับเงินเดือนจากบริษัท 3-6 เดือน คุณก็สามารถมีบัตรเครดิตวงเงิน 20,000 – 30,000 บาท และในหลายกรณีทางธนาคารจะโทรศัพท์ชักชวนลูกค้าให้เปิดบัตรเครดิตด้วย โดยที่เราไม่ทราบเลยว่าเขาไปเอาเบอร์โทรศัพท์เรามาจากไหน
บัตรเครดิตเปรียบเสมือนอาวุธ
ถ้าคนถือใช้เป็นและใช้ให้ถูกวิธีก็จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ถ้าคนถือไม่มีความตระหนักรู้แล้ว
บัตรเครดิตอาจทำร้ายเราอย่างสาสม
คนรวยส่วนมากจะนิยมใช้บัตรเครดิตแทนเงินสดในทุกๆกรณีที่เขาสามารถรูดบัตรได้
ไม่ว่าเงินที่จะต้องจ่ายเป็นหลักสิบหรือหลักแสนก็ตาม เพราะการพกเงินสดมีแต่ความเสี่ยง
ถ้าเงินหาย หมายถึงสาบสูญไปเลย แต่ถ้าบัตรหายเราเพียงโทรไปอายัดบัตร
และขอบัตรใบใหม่โดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เพราะยิ่งเราใช้บัตรมาก
ผู้ให้บริการบัตรก็จะได้ประโยชน์ตามปริมาณการใช้ของเรานั่นเองการชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ทำให้เราได้รับคะแนนสะสม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ใช้เงินให้เด้งกลับ เพราะทุกๆการใช้จ่าย อาทิ 25 บาท จะได้รับ 2 คะแนน, ทุกๆ 1000 คะแนน ใช้แทนเงินสดได้ 100 บาท, คิดเป็น 0.8% ของยอดใช้จ่าย บางกรณีสามารถแลกเป็นตั๋วเครื่องบิน อัพเกรดที่นั่ง แลกเป็นของใช้ เปลี่ยนเป็นบัตรกำนัล ได้รับของแถม สามารถผ่อน 0% นาน 10 เดือน แล้วแต่โปรโมชั่นของบัตรนั้นๆ แต่ถ้าเราใช้จ่ายเป็นเงินสด นอกจากการชื่นชมอยู่ในใจของคนขายแล้ว เราไม่ได้อะไรย้อนกลับมาเลย มิหนำซ้ำยังเพิ่มความเสี่ยงในการถูกโจรผู้ร้ายปล้นให้กับร้านค้าที่เก็บเงินสดมากๆอีกด้วย
ถ้าลองสังเกตจะพบว่าการใช้เงินสดจะมีตัวเรา
ร้านค้า และธนาคารที่เราฝากเงินไว้ เป็นตัวละครหลักในระบบนี้
แต่การรูดบัตรจะเพิ่มผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจเข้ามาอีก เช่น ร้านจำหน่ายของกำนัล ร้านค้าที่รับแลกคะแนนจากบัตร
สายการบิน ผู้ให้บริการเครื่องรูดบัตร และรวมถึงพนักงานทวงหนี้บัตรเครดิตด้วย เป็นต้น
การรูดบัตรช่วยให้เกิดธุรกรรมในเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เงินหมุนในระบบมากกว่าการใช้เงินสด
และกระจายออกไปสู่หลากหลายผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการในระบบเศรษฐกิจนี้
โดยที่ทุกฝ่ายยังได้รับประโยชน์ในส่วนของตนเอง
ถ้าวางแผนการใช้เงินให้ดีแล้ว เราอาจไม่ต้องใช้เงินซื้อสิ่งของเครื่องใช้หลายๆอย่างในบ้านเลยก็ได้
บัตรเครดิตบางประเภทยังมีการรับประกันของที่ซื้อผ่านการรูดบัตร
ประกันอุบัติเหตุจากการเดินทาง เป็นต้น บัตรเครดิตที่ดี โดยเฉพาะบัตรตัวท๊อปของแต่ละธนาคาร
ยังให้สิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งส่วนลดร้านค้า ร้านอาหาร ที่จอดรถพิเศษ ห้องรับรองพิเศษ
ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้บางทีเงินสดๆก็ไม่สามารถหาซื้อได้
ที่สำคัญการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต
และชำระตามกำหนดเต็มจำนวนอย่างสม่ำเสมอนั้น จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวเรา
จะไม่มีประวัติเสียของเราในเครดิตบูโร
ส่งผลให้ได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินเมื่อเราต้องทำธุรกรรมต่างๆในอนาคตอีกด้วย
ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างจากคนที่ไม่เคยมีประวัติในเครดิตบูโรเลย เพราะสถาบันการเงินจะไม่มั่นใจ
และต้องตั้งคำถามก่อนว่า เราจะสามารถชำระเงินเงินตามสัญญาที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่
แต่ทุกอย่างในโลกนี้ที่มีข้อดี
ก็มักจะมีข้อเสียตามมาด้วย เพราะการใช้บัตรเครดิต เราจะต้องจดจำให้แม่นว่าครบกำหนดวันชำระเงินวันไหน
ห้ามสาย ห้ามขาด ห้ามเลย และต้องชำระเงินทั้งจำนวนโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น เพราะดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นมหาโหด
และเริ่มคิดดอกจากวันที่เราใช้จ่ายไปแล้ว
ไม่ได้นับจากวันที่ครบกำหนดชำระแต่อย่างใด ความคิดในการชำระขั้นต่ำหรือ 10% ของยอดเงินที่ใช้จ่ายไปแล้ว เป็นเรื่องสิ้นคิดที่สุด
เพราะธนาคารจะคิดดอกเบี้ยมหาโหดและคิดจากยอดใช้จ่ายเต็มทั้งจำนวน
โดยไม่คำนึงว่าเราได้ชำระไปแล้วมากน้อยเท่าไร
จนกว่าเราจะชำระยอดใช้จ่ายนั้นจนครบถ้วน + ดอกเบี้ย
เพราะฉะนั้นหากคุณมีความคิดที่ว่าจะใช้บัตรเครดิตเพื่อชำระเพียง
10% ของยอดเงินที่ใช้นั้น
ชีวิตนี้คุณไม่ควรมีบัตรเครดิตเลย (เพื่อปกป้องตัวเอง)
เพราะโทษนั้นมันมหาศาลมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับชนิดฟ้ากับเหว จากตัวอย่างในอดีตจะเห็นว่าคนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตคิดฆ่าตัวตายก็มี
และมีคนอีกจำนวนมากที่สุดท้ายต้องให้รัฐบาลเข้ามาช่วย
เพราะลำพังตัวเองไม่สามารถชำระหนี้+ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นได้ ทำให้เป็นปัญหาสังคมขึ้นมาทั้งๆที่เป็นปัญหาที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย
ทุกครั้งที่จะรูดบัตรเครดิต
เราต้องตระหนักรู้เสมอว่ามีเงินสดเพียงพอที่จะชำระเต็มจำนวนเมื่อถึงวันที่ครบกำหนดชำระ
และไม่ควรมีบัตรเครดิตเกิน 2-3 ใบ แล้วแต่ความจำเป็นของแต่ละคน เพราะจะทำให้เกิดความยากลำบากเมื่อบัตรหายแล้ว
ยังต้องไม่ลืมที่จะชำระให้ครบทุกบัตรเมื่อถึงรอบบิลในแต่ละเดือนด้วย
อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่มีบัตรเครดิตที่ดีอยู่แล้ว
และมีธนาคารชักชวนให้เปิดบัตรใบใหม่ วิธีปฏิเสธที่ดีที่สุด คือ การยื่นข้อเสนอกลับไปโดยขอบัตรตัวท๊อป
ซึ่งมักจะเป็นบัตรที่ให้สิทธิประโยชน์มากที่สุดแก่ลูกค้าVIP ถ้าเขาสามารถให้ได้ก็เป็นผลประโยชน์ของลูกค้าหรือตัวเรา
แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะได้ไม่มาเซ้าซี้กันอีก
วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559
โชคดีที่กล่องแตก
คนจำนวนไม่น้อยกำลังมีคำถามในใจว่า วันอาทิตย์ที่ 7 ส.ค. 2559 จะตัดสินใจ 'รับ หรือ ไม่รับ' รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2559 และคงอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้ารับหรือไม่รับ ผลที่ได้มันจะแตกต่างกันหรือไม่ มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างไร
ที่น่างุนงงสับสนไปยิ่งกว่านั้นคือ คณะผู้จัดทำร่างกฏหมายสูงสุดของประเทศ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมากด้วยประสบการณ์และความรู้ บอกอยู่เสมอว่ารัฐธรรมนูญนี้เป็นฉบับปราบโกง จึงพูดกันต่อไปว่านักการเมืองขี้โกงจะไม่ยอมรับร่างฉบับนี้ ในอีกมุมหนึ่งกลับมีการออกมาพูดของนักการเมืองที่ไม่เคยมีประวัติการคอรัปชั่นมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว โดยให้เหตุผลหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ตอบโจทย์เรื่องการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และยังทำให้กระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลบางอย่างอ่อนแอลง
ความเป็นจริงแล้วทุกคนในประเทศนี้รู้ดีอยู่ในใจว่า ปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นทั้งหมด แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดกับรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา และรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นปัญหาของชาติที่จะต้องมาคอยแก้ไข เพราะถึงจะแก้อย่างไรก็แก้ปัญหาที่เราเผชิญกันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ต้องมีรัฐธรรมนูญมากถึง 19 ฉบับ นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2475 ถึงปัจจุบัน และกำลังจะก้าวเข้าสู่ฉบับที่ 20 ในวันที่ 7 ส.ค. 2559 ที่จะถึงนี้ เพราะฉะนั้นจากประวัติศาสตร์จึงบอกกับเราว่า "การฉีกและแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ทางออกของปัญหา"
หลายคนจึงพูดกันว่า จะรับหรือไม่รับ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากการกากบาทคนละช่องเท่านั้น แล้วยังวิเคราะห์กันต่อไปถึงอนาคตอีกด้วยว่า ปัญหาความขัดแย้งก็จะวนเวียนกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อนักการเมืองคนเดิมๆเข้ามามีตำแหน่งมีอำนาจ
ในเมื่อความรู้สึกของคนจำนวนมากบอกว่าไม่มีอะไรแตกต่างระหว่างรับหรือไม่รับ และรัฐธรรมนูญไม่ใช่สาเหตุของปัญหาความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมจึงอยากขอให้ทุกคนออกไป กากบาท "รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ด้วยเหตุผลดังนี้ (โดยไม่คำนึงถึงเนื้อหาอย่างมีนัยสำคัญ)
1. ที่เราจำเป็นต้องกากบาท เพราะเราไม่สามารถกาเครื่องหมายถูกได้ ซึ่งจะทำให้เป็นบัตรเสีย ด้วยตรรกะที่ว่า เดิมทีการออกเสียงเลือกตั้งสามารถกาเครื่องหมายใดก็ได้ในช่องที่กำหนดไว้ จึงมีนักการเมืองหัวหมอบอกกับพี่น้องประชาชนว่า ถ้าท่านเห็นว่าผมเป็นคนดี ให้ไปกาเครื่องหมายถูกที่ช่องของผม แต่ถ้าท่านเห็นว่าผมเป็นคนเลว ให้ไปกาเครื่องหมายผิดที่ช่องของผม สรุปนักการเมืองหัวหมอได้รับชัยชนะจากการออกเสียงดังกล่าว แล้วอนาคตประเทศจะเป็นอย่างไรก็คงทราบกันดี
2. "รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อความมีเสถียรภาพของประเทศ เพื่อการกำหนดเป้าหมายของประเทศที่ชัดเจนขึ้น เพราะการ 'ไม่รับ' จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าอนาคตไม่มีความแน่นอน ไม่รู้ทิศทางประเทศจะเดินต่อไปทางไหน
3. ตลาดหุ้นกลัวความไม่แน่นอน นอกจากสภาวะเศรษฐกิจแล้ว "การ 2 การ" ที่ส่งผลร้ายต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรง คือ การเมือง และ การก่อการร้าย เมื่อใดที่เกิดการก่อการร้าย ดัชนีตลาดหุ้นจะตกทันที และเมื่อใดที่เกิดความเสี่ยงทางการเมือง ตลาดหุ้นก็จะตกทันทีเช่นกัน โดยเฉพาะการถอนเงินออกของนักลงทุนต่างชาติ เพราะฉะนั้นคนที่ถือหุ้นอยู่ในมือและหวังให้หุ้นขึ้นต่อไปอีก ยิ่งต้องรีบออกไปกากบาท "รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ
4. สำหรับใครที่กำลังชั่งใจว่าจะไม่ออกไปใช้สิทธิ์ แล้วผลออกมาว่า 'ไม่รับ' เราจะต้องเสียงบประมาณจากภาษีอากร ค่าร่างฉบับใหม่ (ครั้งที่ 3) ค่าเบี้ยประชุม ค่าเบี้ยเดินทาง หรือค่าจัดการลงประชามติอีกเท่าไร โดยที่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะดีกว่าเดิม และปัญหาในอดีตจะหมดไป
โชคดีที่วันก่อน อ.สมชัย กกต. โยนกล่องหย่อนบัตรเลือกตั้งโชว์ความทนทานต่อนักข่าว แต่กล่องดันแตกจนเป็นข่าวบันเทิงดัง ทำให้คนไทยรู้สึกตัวว่าใกล้ถึงวันออกเสียงประชามติแล้ว และทำให้เจ้าหน้าที่รู้ตัวว่าวันจริง 7 ส.ค. 59 ห้ามโยนกล่องโดยเด็ดขาด เพราะกล่องมันไม่ได้ทำมาไว้สำหรับโยน
ที่น่างุนงงสับสนไปยิ่งกว่านั้นคือ คณะผู้จัดทำร่างกฏหมายสูงสุดของประเทศ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมากด้วยประสบการณ์และความรู้ บอกอยู่เสมอว่ารัฐธรรมนูญนี้เป็นฉบับปราบโกง จึงพูดกันต่อไปว่านักการเมืองขี้โกงจะไม่ยอมรับร่างฉบับนี้ ในอีกมุมหนึ่งกลับมีการออกมาพูดของนักการเมืองที่ไม่เคยมีประวัติการคอรัปชั่นมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว โดยให้เหตุผลหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ตอบโจทย์เรื่องการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และยังทำให้กระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลบางอย่างอ่อนแอลง
ความเป็นจริงแล้วทุกคนในประเทศนี้รู้ดีอยู่ในใจว่า ปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นทั้งหมด แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดกับรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา และรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นปัญหาของชาติที่จะต้องมาคอยแก้ไข เพราะถึงจะแก้อย่างไรก็แก้ปัญหาที่เราเผชิญกันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ต้องมีรัฐธรรมนูญมากถึง 19 ฉบับ นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2475 ถึงปัจจุบัน และกำลังจะก้าวเข้าสู่ฉบับที่ 20 ในวันที่ 7 ส.ค. 2559 ที่จะถึงนี้ เพราะฉะนั้นจากประวัติศาสตร์จึงบอกกับเราว่า "การฉีกและแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ทางออกของปัญหา"
หลายคนจึงพูดกันว่า จะรับหรือไม่รับ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากการกากบาทคนละช่องเท่านั้น แล้วยังวิเคราะห์กันต่อไปถึงอนาคตอีกด้วยว่า ปัญหาความขัดแย้งก็จะวนเวียนกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อนักการเมืองคนเดิมๆเข้ามามีตำแหน่งมีอำนาจ
ในเมื่อความรู้สึกของคนจำนวนมากบอกว่าไม่มีอะไรแตกต่างระหว่างรับหรือไม่รับ และรัฐธรรมนูญไม่ใช่สาเหตุของปัญหาความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมจึงอยากขอให้ทุกคนออกไป กากบาท "รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ด้วยเหตุผลดังนี้ (โดยไม่คำนึงถึงเนื้อหาอย่างมีนัยสำคัญ)
1. ที่เราจำเป็นต้องกากบาท เพราะเราไม่สามารถกาเครื่องหมายถูกได้ ซึ่งจะทำให้เป็นบัตรเสีย ด้วยตรรกะที่ว่า เดิมทีการออกเสียงเลือกตั้งสามารถกาเครื่องหมายใดก็ได้ในช่องที่กำหนดไว้ จึงมีนักการเมืองหัวหมอบอกกับพี่น้องประชาชนว่า ถ้าท่านเห็นว่าผมเป็นคนดี ให้ไปกาเครื่องหมายถูกที่ช่องของผม แต่ถ้าท่านเห็นว่าผมเป็นคนเลว ให้ไปกาเครื่องหมายผิดที่ช่องของผม สรุปนักการเมืองหัวหมอได้รับชัยชนะจากการออกเสียงดังกล่าว แล้วอนาคตประเทศจะเป็นอย่างไรก็คงทราบกันดี
2. "รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อความมีเสถียรภาพของประเทศ เพื่อการกำหนดเป้าหมายของประเทศที่ชัดเจนขึ้น เพราะการ 'ไม่รับ' จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าอนาคตไม่มีความแน่นอน ไม่รู้ทิศทางประเทศจะเดินต่อไปทางไหน
3. ตลาดหุ้นกลัวความไม่แน่นอน นอกจากสภาวะเศรษฐกิจแล้ว "การ 2 การ" ที่ส่งผลร้ายต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรง คือ การเมือง และ การก่อการร้าย เมื่อใดที่เกิดการก่อการร้าย ดัชนีตลาดหุ้นจะตกทันที และเมื่อใดที่เกิดความเสี่ยงทางการเมือง ตลาดหุ้นก็จะตกทันทีเช่นกัน โดยเฉพาะการถอนเงินออกของนักลงทุนต่างชาติ เพราะฉะนั้นคนที่ถือหุ้นอยู่ในมือและหวังให้หุ้นขึ้นต่อไปอีก ยิ่งต้องรีบออกไปกากบาท "รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ
4. สำหรับใครที่กำลังชั่งใจว่าจะไม่ออกไปใช้สิทธิ์ แล้วผลออกมาว่า 'ไม่รับ' เราจะต้องเสียงบประมาณจากภาษีอากร ค่าร่างฉบับใหม่ (ครั้งที่ 3) ค่าเบี้ยประชุม ค่าเบี้ยเดินทาง หรือค่าจัดการลงประชามติอีกเท่าไร โดยที่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะดีกว่าเดิม และปัญหาในอดีตจะหมดไป
โชคดีที่วันก่อน อ.สมชัย กกต. โยนกล่องหย่อนบัตรเลือกตั้งโชว์ความทนทานต่อนักข่าว แต่กล่องดันแตกจนเป็นข่าวบันเทิงดัง ทำให้คนไทยรู้สึกตัวว่าใกล้ถึงวันออกเสียงประชามติแล้ว และทำให้เจ้าหน้าที่รู้ตัวว่าวันจริง 7 ส.ค. 59 ห้ามโยนกล่องโดยเด็ดขาด เพราะกล่องมันไม่ได้ทำมาไว้สำหรับโยน
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
ความสะดวก - ความปลอดภัย อะไรสำคัญกว่า
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
ทำไมสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทยจึงสูงมากเป็น ลำดับดับที่ 2 ของโลก เป็นรองประเทศสาธารณะรัฐโดมินิกันเพียงประเทศเดียว และจากสถิติ 20 อันดับแรกของประเทศที่มีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด ไม่มีแม้แต่ประเทศเดียวที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว วันนี้อาจถึงเวลาที่จะต้องตั้งคำถามหรือไม่ว่า ความสะดวกสบาย กับ ความปลอดภัยของชีวิต อะไรสำคัญกว่ากัน
คนจำนวนไม่น้อยในสังคมกำลังเรียกร้องหาความสะดวกสบาย โดยลืมคำนึงถึงความปลอดภัยที่อาจลดน้อยลง ภัยอันตรายของคนใช้รถใช้ถนนปัจจุบันเป็นอย่างไร น่าจะยืนยันได้จากจำนวนรถที่ติดตั้งกล้องบันทึกเหตุการณ์ขณะขับขี่เพื่อใช้เป็นหลักฐานเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น หรือจะนับจากปริมาณข่าวสารที่ถูกนำเสนอผ่านคลิปวีดีโอที่ได้มาจากกล้องติดหน้ารถนั้นก็มีมาให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน
บางคนบอกว่าการสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของคนขับ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ หรือรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งที่ผ่านมาหลายสิบปีหน่วยงานต่างๆก็ได้ใช้มาตรการร้อยแปดพันเก้าจากเบาไป หาหนัก จากปรับจับขังคุกไปจนถึงขั้นที่ต้องยึดรถ แต่ปริมาณอุบัติเหตุและการสูญเสียก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการกระทำแบบเดิมๆในสภาพแวดล้อมเดิมๆ แต่หวังผลที่แตกต่างนั้นมีทีท่าว่าจะเป็นไปไม่ได้
ลองย้อนกลับมาดูที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมและค่อยๆปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ให้ได้คุณภาพ มีมาตรฐาน ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิตของคนไทยเหนือสิ่งอื่นใด ถนนใหญ่หรือถนนสายหลักที่ดีนั้นควรจะมีไหล่ทางทั้งด้านซ้ายและขวาสุด ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าถนนสายหลักหลายสายของประเทศไทยซึ่งล้วนเป็นถนนที่รถใช้ความเร็วสูงนั้น มักจะไม่มีไหล่ทางและตีเส้นถนนติดกับขอบฟุตบาทเกาะกลางถนน ซึ่งจะไม่ปราณีให้กับความผิดพลาดของคนขับรถเลย ยิ่งถ้ามีการหักหลบสิ่งกีดขวางบน หรือสภาพชำรุดของผิวถนนด้วยแล้วจะยิ่งเพิ่มความอันตรายต่อผู้ร่วมใช้ถนนคนอื่นด้วย
ในปัจจุบันถนนหลายแห่งรวมถึงสะพานกลับรถและสะพานข้ามแยก มักจะชอบตีช่องจราจรให้มีขนาดเล็กลงเพื่อเพิ่มช่องจราจร เช่น จาก 3 เลน เป็น 4 เลน เป็นต้น และเปลี่ยนไหล่ทางให้กลายเป็นช่องรถวิ่งได้อีกช่องทางหนึ่ง เพื่อรองรับปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าจำนวนถนนที่สามารถรองรับได้ และอาจจะเพื่อป้องกันการถูกต่อว่าร้องเรียนจากคนใช้รถใช้ถนนว่ารถติดสาหัส แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาดูแลอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชน ตัวอย่างเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการอำนวยความสะดวกที่ละเลยการคำนึงถึงความ ปลอดภัยที่ลดน้อยลงของประชาชนคนใช้ถนน โดยเฉพาะเมื่อรถที่มีขนาดใหญ่ขับค่อมเลนหรือเลยช่องของตนเองออกมา จึงทำให้เกิดการอุบัติเหตุเฉี่ยวชนจนเลยเถิดไปถึงการเบียดแย่งเลน การปาดหน้าเอาคืนและชกต่อยทะเลาะวิวาทในที่สุด ซึ่งจุดเริ่มต้นนั้นอาจเกิดขึ้นเพียงจากความไม่ตั้งใจที่ไร้ทางเลือกเท่านั้น
เกาะกลางถนนที่มีลักษณะเป็นฟุตบาทและปลูกต้นไม้ หรือพุ่มไม้เตี้ยๆที่มิดสายตาคนขับรถไว้ นอกจากจะมีภาระต้องคอยขับรถมาเพื่อรดน้ำแล้ว ยังบดบังทัศนวิสัยของคนใช้ถนนอีกด้วย เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ารถในด้านตรงกันข้ามอาจกำลังเกิดอุบัติเหตุและ พุ่งข้ามพุ่มไม้มายังถนนฝั่งตรงกันข้ามที่รถกำลังแล่นสวนมาด้วยความเร็วสูง โดยที่ไม่มีโอกาสได้ชะลอความเร็วหรือหักหลบเลย ซึ่งจะทำให้รถชนกันแบบประสานงาซึ่งนับว่าเป็นอุบัติเหตุที่มีความรุนแรงมากที่สุดรูปแบบหนึ่ง ถนนที่มีลักษณะนี้ อาทิ ถนนบรมราชชนนี ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเป็นถนนที่คนขับรถมักจะใช้ความเร็วสูง มีช่องจราจรแคบ และผิวถนนบางจุดชำรุด
ที่จริงแล้วถนนแทบทุกสายของเมืองไทยจะมีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อ คอสะพานชำรุดทรุดโทรม ไม่เว้นแม้แต่ในใจกลางกรุงเทพมหานครหรือถนนการทางพิเศษที่คนใช้รถต้องชำระค่าผ่านทาง จะด้วยการบรรทุกเกินน้ำหนักที่กฏหมายกำหนดหรือการก่อสร้างผิดเสปคก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนทั้งสิ้น ความไม่มีมาตรฐานนี้ทำให้รถที่ขับช้ามักจะชอบแช่ขวาเพราะเป็นช่องทางที่ถนน เสียหายน้อยที่สุดหรือเป็นช่องที่ราบเรียบที่สุด ส่วนรถที่ขับเร็วจึงต้องพยายามแซงซ้ายแล้วตีกลับเข้าช่องทางขวาหาพื้นผิวถนนที่ดีที่สุดโดยเร็วเช่นกัน โดยธรรมชาติของรถยนต์ที่พวงมาลัยอยู่ด้านขวา การแซงซ้ายจะทำให้คนขับไม่มีทัศนวิสัยที่ดีเพียงพอจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง
ในกรณีล่าสุดจากคลิปเหตุการณ์ที่รถยนต์โตโยต้ารุ่นเก่าขับพุ่งชนรั้วเหล็กด้วยความเร็วต่ำเข้าไปในศาลท้าวมหาพรหม หรือที่รู้จักกันว่าพระพรหมเอราวัณบริเวณสี่แยกราชประสงค์ แสดงให้เห็นว่ารั้วกั้นสีเขียวบริเวณแยกไฟแดงทั้งหลายนั้นไร้ซึ่งความทนทาน ไม่สามารถป้องกันความอันตรายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่จะมีต่อคนเดินเท้าได้เลย ในอีกมุมหนึ่งแสดงให้เห็นว่ารั้วกั้นริมฟุตบาทนั้นใช้เพื่อป้องกันคนเดินเท้าไม่ให้เผลอก้าวลงมาก่อกวนคนใช้รถใช้ถนนซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนได้ จากเหตุการณ์นี้ทำให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ความกว้าง(คุณภาพ)ของฟุตบาทแสดงถึงความเจริญของประเทศ เคราะห์ดีที่รถแล่นมาด้วยความเร็วต่ำทำให้ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สุด วิสัยนี้
จริงอยู่ที่บางคนบอกว่ากรณีเหล่านี้ล้วน เป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่อุบัติเหตุหรือเหตุสุดวิสัยบางอย่างเราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ หรือลดอัตราการสูญเสียที่อาจตามมาได้ จะโดยการออกแบบวางแผนให้ได้มาตรฐาน จะโดยการฝึกฝนให้ชำนาญก่อนปฏิบัติจริง จะโดยการซักซ้อมการรับมืออุบัติเหตุในรูปแบบต่างๆ หรือจะโดยการคืนกลับสู่สามัญ back to basic เช่น ไม่ปรับเปลี่ยนช่องจราจรให้มีขนาดเล็กลงจากเดิมที่ผู้ก่อสร้างได้ออกแบบไว้ ดีแล้ว แต่ให้ตีเส้นจราจรให้เด่นชัดขึ้นและคงมีไหล่ทางเอาไว้ โดยเฉพาะถนนหลักที่รถใช้ความเร็วสูง เปลี่ยนใช้แท่งปูนที่เรียกว่า barrier ที่แข็งแรงเพียงพอยึดติดกับพื้นถนนป้องกันรถพุ่งข้ามฝั่งถนน แทนเกาะกลางถนนเตี้ยๆที่ปลูกเป็นพุ่มไม้ซึ่งไม่ได้ช่วยป้องกันอุบัติเหตุ แต่ยังสิ้นเปลืองกว่าในระยะยาว แท่งปูนที่ว่านี้ยังสามารถป้องกันเหตุรถพุ่งขึ้นฟุตบาทไปชนคนเดินเท้าตามสี่แยกตามแหล่งชุมชนคนหนาแน่นได้ดีกว่า สำหรับวิธีการลดจำนวนรถบนท้องถนนอ่านต่อได้ที่บทความเรื่อง 'ปัญหาประจำวันของคนกรุงเทพ'
ทุกท่านคิดเห็นอย่างไร สามารถแสดงความเห็นได้ที่ช่องด้านล่าง ขอบคุณครับ
ทำไมสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนของประเทศไทยจึงสูงมากเป็น ลำดับดับที่ 2 ของโลก เป็นรองประเทศสาธารณะรัฐโดมินิกันเพียงประเทศเดียว และจากสถิติ 20 อันดับแรกของประเทศที่มีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนสูงสุด ไม่มีแม้แต่ประเทศเดียวที่ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว วันนี้อาจถึงเวลาที่จะต้องตั้งคำถามหรือไม่ว่า ความสะดวกสบาย กับ ความปลอดภัยของชีวิต อะไรสำคัญกว่ากัน
คนจำนวนไม่น้อยในสังคมกำลังเรียกร้องหาความสะดวกสบาย โดยลืมคำนึงถึงความปลอดภัยที่อาจลดน้อยลง ภัยอันตรายของคนใช้รถใช้ถนนปัจจุบันเป็นอย่างไร น่าจะยืนยันได้จากจำนวนรถที่ติดตั้งกล้องบันทึกเหตุการณ์ขณะขับขี่เพื่อใช้เป็นหลักฐานเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น หรือจะนับจากปริมาณข่าวสารที่ถูกนำเสนอผ่านคลิปวีดีโอที่ได้มาจากกล้องติดหน้ารถนั้นก็มีมาให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน
บางคนบอกว่าการสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของคนขับ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ หรือรถโดยสารสาธารณะ ซึ่งที่ผ่านมาหลายสิบปีหน่วยงานต่างๆก็ได้ใช้มาตรการร้อยแปดพันเก้าจากเบาไป หาหนัก จากปรับจับขังคุกไปจนถึงขั้นที่ต้องยึดรถ แต่ปริมาณอุบัติเหตุและการสูญเสียก็ไม่มีทีท่าว่าจะลดลงแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการกระทำแบบเดิมๆในสภาพแวดล้อมเดิมๆ แต่หวังผลที่แตกต่างนั้นมีทีท่าว่าจะเป็นไปไม่ได้
ลองย้อนกลับมาดูที่ระบบโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมและค่อยๆปรับปรุงสิ่งเหล่านี้ให้ได้คุณภาพ มีมาตรฐาน ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในชีวิตของคนไทยเหนือสิ่งอื่นใด ถนนใหญ่หรือถนนสายหลักที่ดีนั้นควรจะมีไหล่ทางทั้งด้านซ้ายและขวาสุด ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่าถนนสายหลักหลายสายของประเทศไทยซึ่งล้วนเป็นถนนที่รถใช้ความเร็วสูงนั้น มักจะไม่มีไหล่ทางและตีเส้นถนนติดกับขอบฟุตบาทเกาะกลางถนน ซึ่งจะไม่ปราณีให้กับความผิดพลาดของคนขับรถเลย ยิ่งถ้ามีการหักหลบสิ่งกีดขวางบน หรือสภาพชำรุดของผิวถนนด้วยแล้วจะยิ่งเพิ่มความอันตรายต่อผู้ร่วมใช้ถนนคนอื่นด้วย
ในปัจจุบันถนนหลายแห่งรวมถึงสะพานกลับรถและสะพานข้ามแยก มักจะชอบตีช่องจราจรให้มีขนาดเล็กลงเพื่อเพิ่มช่องจราจร เช่น จาก 3 เลน เป็น 4 เลน เป็นต้น และเปลี่ยนไหล่ทางให้กลายเป็นช่องรถวิ่งได้อีกช่องทางหนึ่ง เพื่อรองรับปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นเกินกว่าจำนวนถนนที่สามารถรองรับได้ และอาจจะเพื่อป้องกันการถูกต่อว่าร้องเรียนจากคนใช้รถใช้ถนนว่ารถติดสาหัส แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่มาดูแลอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชน ตัวอย่างเหล่านี้ล้วนแต่เป็นการอำนวยความสะดวกที่ละเลยการคำนึงถึงความ ปลอดภัยที่ลดน้อยลงของประชาชนคนใช้ถนน โดยเฉพาะเมื่อรถที่มีขนาดใหญ่ขับค่อมเลนหรือเลยช่องของตนเองออกมา จึงทำให้เกิดการอุบัติเหตุเฉี่ยวชนจนเลยเถิดไปถึงการเบียดแย่งเลน การปาดหน้าเอาคืนและชกต่อยทะเลาะวิวาทในที่สุด ซึ่งจุดเริ่มต้นนั้นอาจเกิดขึ้นเพียงจากความไม่ตั้งใจที่ไร้ทางเลือกเท่านั้น
เกาะกลางถนนที่มีลักษณะเป็นฟุตบาทและปลูกต้นไม้ หรือพุ่มไม้เตี้ยๆที่มิดสายตาคนขับรถไว้ นอกจากจะมีภาระต้องคอยขับรถมาเพื่อรดน้ำแล้ว ยังบดบังทัศนวิสัยของคนใช้ถนนอีกด้วย เราจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่ารถในด้านตรงกันข้ามอาจกำลังเกิดอุบัติเหตุและ พุ่งข้ามพุ่มไม้มายังถนนฝั่งตรงกันข้ามที่รถกำลังแล่นสวนมาด้วยความเร็วสูง โดยที่ไม่มีโอกาสได้ชะลอความเร็วหรือหักหลบเลย ซึ่งจะทำให้รถชนกันแบบประสานงาซึ่งนับว่าเป็นอุบัติเหตุที่มีความรุนแรงมากที่สุดรูปแบบหนึ่ง ถนนที่มีลักษณะนี้ อาทิ ถนนบรมราชชนนี ซ้ำร้ายไปกว่านั้นเป็นถนนที่คนขับรถมักจะใช้ความเร็วสูง มีช่องจราจรแคบ และผิวถนนบางจุดชำรุด
ที่จริงแล้วถนนแทบทุกสายของเมืองไทยจะมีลักษณะเป็นหลุมเป็นบ่อ คอสะพานชำรุดทรุดโทรม ไม่เว้นแม้แต่ในใจกลางกรุงเทพมหานครหรือถนนการทางพิเศษที่คนใช้รถต้องชำระค่าผ่านทาง จะด้วยการบรรทุกเกินน้ำหนักที่กฏหมายกำหนดหรือการก่อสร้างผิดเสปคก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนทั้งสิ้น ความไม่มีมาตรฐานนี้ทำให้รถที่ขับช้ามักจะชอบแช่ขวาเพราะเป็นช่องทางที่ถนน เสียหายน้อยที่สุดหรือเป็นช่องที่ราบเรียบที่สุด ส่วนรถที่ขับเร็วจึงต้องพยายามแซงซ้ายแล้วตีกลับเข้าช่องทางขวาหาพื้นผิวถนนที่ดีที่สุดโดยเร็วเช่นกัน โดยธรรมชาติของรถยนต์ที่พวงมาลัยอยู่ด้านขวา การแซงซ้ายจะทำให้คนขับไม่มีทัศนวิสัยที่ดีเพียงพอจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้ง
ในกรณีล่าสุดจากคลิปเหตุการณ์ที่รถยนต์โตโยต้ารุ่นเก่าขับพุ่งชนรั้วเหล็กด้วยความเร็วต่ำเข้าไปในศาลท้าวมหาพรหม หรือที่รู้จักกันว่าพระพรหมเอราวัณบริเวณสี่แยกราชประสงค์ แสดงให้เห็นว่ารั้วกั้นสีเขียวบริเวณแยกไฟแดงทั้งหลายนั้นไร้ซึ่งความทนทาน ไม่สามารถป้องกันความอันตรายจากอุบัติเหตุบนท้องถนนที่จะมีต่อคนเดินเท้าได้เลย ในอีกมุมหนึ่งแสดงให้เห็นว่ารั้วกั้นริมฟุตบาทนั้นใช้เพื่อป้องกันคนเดินเท้าไม่ให้เผลอก้าวลงมาก่อกวนคนใช้รถใช้ถนนซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชนได้ จากเหตุการณ์นี้ทำให้นึกถึงคำกล่าวที่ว่า ความกว้าง(คุณภาพ)ของฟุตบาทแสดงถึงความเจริญของประเทศ เคราะห์ดีที่รถแล่นมาด้วยความเร็วต่ำทำให้ไม่มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สุด วิสัยนี้
จริงอยู่ที่บางคนบอกว่ากรณีเหล่านี้ล้วน เป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่อุบัติเหตุหรือเหตุสุดวิสัยบางอย่างเราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้ หรือลดอัตราการสูญเสียที่อาจตามมาได้ จะโดยการออกแบบวางแผนให้ได้มาตรฐาน จะโดยการฝึกฝนให้ชำนาญก่อนปฏิบัติจริง จะโดยการซักซ้อมการรับมืออุบัติเหตุในรูปแบบต่างๆ หรือจะโดยการคืนกลับสู่สามัญ back to basic เช่น ไม่ปรับเปลี่ยนช่องจราจรให้มีขนาดเล็กลงจากเดิมที่ผู้ก่อสร้างได้ออกแบบไว้ ดีแล้ว แต่ให้ตีเส้นจราจรให้เด่นชัดขึ้นและคงมีไหล่ทางเอาไว้ โดยเฉพาะถนนหลักที่รถใช้ความเร็วสูง เปลี่ยนใช้แท่งปูนที่เรียกว่า barrier ที่แข็งแรงเพียงพอยึดติดกับพื้นถนนป้องกันรถพุ่งข้ามฝั่งถนน แทนเกาะกลางถนนเตี้ยๆที่ปลูกเป็นพุ่มไม้ซึ่งไม่ได้ช่วยป้องกันอุบัติเหตุ แต่ยังสิ้นเปลืองกว่าในระยะยาว แท่งปูนที่ว่านี้ยังสามารถป้องกันเหตุรถพุ่งขึ้นฟุตบาทไปชนคนเดินเท้าตามสี่แยกตามแหล่งชุมชนคนหนาแน่นได้ดีกว่า สำหรับวิธีการลดจำนวนรถบนท้องถนนอ่านต่อได้ที่บทความเรื่อง 'ปัญหาประจำวันของคนกรุงเทพ'
ทุกท่านคิดเห็นอย่างไร สามารถแสดงความเห็นได้ที่ช่องด้านล่าง ขอบคุณครับ
วันพุธที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2559
เที่ยวอย่างไรให้ได้เงินคืน
ทุกท่านคงทราบดีว่า ปี 2559 การจองโรงแรมที่พักเพื่อการท่องเที่ยวภายในประเทศ
สามารถใช้ลดหย่อนภาษีบุคคลธรรมดาได้ถ้ามีใบเสร็จรับเงินเต็มรูปแบบจากโรงแรม(นิติบุคคลในประเทศไทย)ที่ถูกต้อง
ซึ่งเป็นไปตามนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนใช้จ่ายเงินและเศรษฐกิจหมุนเวียนไปสู่ผู้ประกอบการในภูมิภาคต่างๆทั่วประเทศ
ปัจจุบันการจองที่พักสามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น จองกับโรงแรมโดยตรง
จองผ่านบริษัททัวร์ จองผ่านเว็บไซต์ แต่วิธีไหนที่จะได้รับสิทธิ์นำไปลดหย่อนภาษีได้และเป็นวิธีที่ได้รับส่วนลดหรือมีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด
ปัจจุบันการจองโรงแรมที่พักผ่านทางเว็บไซต์ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาก
มีเว็บไซต์จำนวนมากให้บริการจองโรงแรมที่พัก โดยที่ไม่ได้มีห้องพักเป็นของตัวเอง
เพียงทำหน้าที่เป็นตัวกลางเพื่อการค้นหาที่สะดวกรวดเร็วเท่านั้นและจะได้รับค่าคอมมิชชั่นจากทางเจ้าของโรงแรม
(เป็นเสมือนsalesmanบนโลกออนไลน์) ซึ่งเป็นข้อดีของตลาดเสรี free market เพราะผู้บริโภคจะมีข้อมูลครบถ้วนเพื่อใช้สำหรับการตัดสินใจที่ดีที่สุดของแต่ละบุคคล ในที่นี้จะขอกล่าวถึง 2 เว็บไซต์ ที่มีฐานข้อมูลและมีผู้ใช้บริการจำนวนมาก
คือ booking.com
และ agoda ซึ่งราคาในแต่ละเว็บไซต์จะมีส่วนลดแตกต่างกัน
ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาได้ มีข้อมูลโรงแรมที่พักครบถ้วน ใช้งานง่ายมีความสะดวกสบาย
และส่วนมากราคาจะถูกกว่าการจองตรงกับโรงแรม
แต่มีข้อจำกัดคือ ผู้ใช้จำเป็นต้องมีบัตรเครดิตเพื่อใช้เป็นการประกันการจองที่พักเท่านั้น
และผู้ใช้ควรดูรายละเอียดราคาปลีกย่อย เช่น ภาษีและอาหารเช้าว่าได้รวมในราคาแล้วหรือไม่
เพื่อเปรียบเทียบราคาและผู้ใช้บริการจะได้รับประโยชน์สูงสุด
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
1. เพื่อให้ท่านได้รับสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีเงินได้สำหรับปี
2559 ควรจองที่พักผ่านทางbooking.com เพราะเป็นการจองตรงกับโรงแรมและชำระเงินที่โรงแรมเมื่อเข้าพัก
หรือกรณีที่ใช้บัตรเครดิตโรงแรมจะตัดเงินจากบัญชีของผู้ใช้บริการโดยตรง ลักษณะนี้โรงแรมจะสามารถออกใบเสร็จรับเงินให้เราได้
โดยbooking.com
ทำหน้าที่เป็นเพียงเป็นคนกลางและรับค่าคอมมิชชั่นจากโรงแรมเท่านั้น
2. การจองผ่านagodaจะเป็นการจองที่พักผ่านทางเว็บไซต์ของต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจะจ่ายเงินให้กับagodaโดยตรง ส่วนผู้ประกอบการโรงแรมจะได้รับเงินจากagodaหลังหักค่าคอมมิชชั่นอีกต่อหนึ่ง ลักษณะนี้ลูกค้าของโรงแรมคือเว็บไซต์agoda
ส่วนผู้ใช้บริการจะเป็นลูกค้าของagodaอีกทีหนึ่ง ฉะนั้นโรงแรมจะไม่สามารถออกใบเสร็จรับเงินให้กับผู้ใช้บริการได้ และagodaไม่ใช่นิติบุคคลของประเทศไทย
ถ้าท่านจองโรงแรมที่พักผ่านช่องทางนี้สำหรับปี2559 ก็จะไม่ได้รับสิทธิ์จากนโยบายรัฐบาลเพื่อลดหย่อนภาษี
ทั้ง
booking.com
และ agoda ทำหน้าที่เป็นตัวกลางที่รวบรวมข้อมูลโรงแรมที่พักทั่วโลกให้ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาได้ในที่เดียว
แตกต่างกันที่วิธีการรับรู้รายได้ revenue model ซึ่งโดยทั่วไปแล้วไม่ได้มีผลกระทบต่อผู้ใช้บริการชาวไทยเลย
แต่สำหรับปีพ.ศ.2559 เพื่อให้ได้รับสิทธิ์หลังจากที่ท่านได้ไปช่วยชาติกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว
จึงน่าจะต้องพิจารณาให้ดีอีกครั้งว่าวิธีการแบบไหนเหมาะสมคุ้มค่ากับท่านมากที่สุด
หรือลองชั่งใจดูว่าท่านต้องการได้รับสิทธิ์ลดหย่อนภาษีหรือท่านปรารถนาให้รัฐนำเงินในส่วนที่ท่านไม่ขอคืนนั้นไปช่วยเหลือคนยากคนจนและพัฒนาบ้านเมืองต่อไป
ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรโปรดช่วยแนะนำในช่องด้านล่าง...
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)







