วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2016 การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ระหว่างสองตายาย ได้แก่ ตา Donald Trump จากพรรค Republican ซึ่งมีอายุ 70 ปี และยาย Hillary Clinton จากพรรด Democrat ซึ่งมีอายุ 69 ปีบริบูรณ์
นับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งในวันนั้นเป็นต้นไป การเมืองฉากใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่มีผลกระทบต่อประเทศต่างๆทั่วโลก คงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประเด็นที่น่าสนใจคือว่า ผู้นำของชาติอภิมหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลกนั้น เป็นผู้สูงอายุรุ่นปู่รุ่นย่ารุ่นตารุ่นยาย
ถ้าสมมติยึดเอาค่าเฉลี่ยอายุผู้ชายอเมริกันที่เท่ากับ 76 ปีเป็นเกณฑ์ นั่นหมายความว่า ถ้า Trump ได้เป็นประธานาธิบดี 2 สมัย (4+4 = 8 ปี) ไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาจะตายในหน้าที่ในขณะที่ดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2
ถ้าสมมติ Trump เป็นชายไทยที่มีค่าเฉลี่ยอายุเท่ากับ 71 ปี นั่นหมายความว่า เขาจะเสียชีวิตทันทีเมื่อรับตำแหน่งไปได้เพียง 1 ปีเท่านั้น
แต่แน่นอนว่า Trump คงจะมีอายุสูงกว่าค่าเฉลี่ยพอสมควร เพราะทุกครั้งที่เราเห็นเขาออกทีวี เขาดูแข็งแรง ทะมัดทะแมง ความจำเป็นเลิศกว่าตาสีตาสาในวัย 70 ปีทั่วๆไป
สิ่งเหล่านี้กำลังบอกเราใช่ไหมว่า โครงสร้างอายุของประชากรโลกล้วนเคลื่อนเข้าสู่ยุคของผู้สูงวัย โดยเฉพาะเมื่อทุกคนหันมาดูแลสุขภาพ เลือกอาหารการกิน ออกกำลังกาย และเทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น ประชากรโลกก็ย่อมมีอายุที่ยืนยาวขึ้น
ที่น่ากังวลไปมากกว่านั้นคือว่า คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่มักจะนิยมแต่งงานกันหลังอายุ 30 ปี หรือแม้แต่อายุ 40 ปี และนิยมมีลูก 1-2 คน หรือไม่มีเลย โดยอาศัยเหตุผลเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆนาๆ
ขอยกตัวอย่างจากความเป็นจริง ในปลายปี 2559 เพื่อนในรุ่นเดียวกันทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย ที่มีอายุระหว่าง 28-30 ปี จำนวนประมาณ 500 คน จากที่รู้จักและทราบข่าวคราวนั้น มีคนที่ตกลงใจแต่งงานประมาณ 10 คน (ไม่เกิน 20) คิดเป็นเพียงแค่ 2% ของคนทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งคนที่แต่งงานก็ไม่ได้มีลูกทุกคนอีกด้วย
ถ้าเป็นการทำโพล ก็อาจจะอนุมานได้ว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนสภาพสังคมในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับโลกในอดีต 30-40 ปีที่ผ่านมา ที่คนจะแต่งงานเร็วและมีลูกจำนวนมากเป็นโหล เมื่อมีลูกมากพ่อแม่ก็ต้องขยันทำมาหาเลี้ยงครอบครัว หามามากก็ใช้จ่ายออกไปมาก แปรผันตามจำนวนลูก เมื่อลูกเกิดมาก็ต้องขยันแข่งขันกับพี่น้อง พอคนจำนวนมากช่วยกันแข่งกันทำงาน เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนไปได้ดีไปได้เร็ว
ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้คนชรามีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่เด็กที่จะเติบโตมาเป็นวัยแรงงานมีจำนวนน้อยลง และเติบโตไม่ทันคนทำงานเดิมที่เริ่มหมดไฟลง
ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเรานั้น ได้มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีคนแก่คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ โชคดีที่คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย เป็นประเทศพัฒนาแล้ว รายได้ของคนญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ปัญหานี้จะหนักหนาและกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็ใช้กำลังวังชาที่พอมีอยู่เอาตัวรอดไปได้ หรืออาจเรียกอีกอย่างได้ว่า 'อาศัยบุญเก่าที่สะสมมานาน'
การดูแล การอุดหนุน การอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงวัย แม้จะดูเสมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรทำและต้องทำให้ดี ถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรต้องกลับไปดูที่ต้นเหตุที่แท้จริง ทำไมเราถึงขาดแคลนคนวัยแรงงาน และก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว
ปัญหานี้อาจต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลง 20-30 ปี กว่าจะเห็นผล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ก็เป็นผลมาจากอดีต 10-20 ปีก่อน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เริ่มแก้ไขที่ต้นเหตุตั้งแต่ตอนนี้ นับไปอีก 20-30 ปี เมื่อคนไทยอยู่ในสภาวะเดียวกับญี่ปุ่นในวันนี้ ประเทศเราอาจจะบาดเจ็บสาหัสกว่าเขามากทีเดียว
เราคงไม่ได้คาดหวังให้คนสมัยนี้ต้องแต่งงานเร็วเกินไปหรือมีลูกครึ่งทีมฟุตบอลเหมือนในอดีต แต่การค่อยๆปรับเข้าสู่สมดุลโดยอาศัยการนำทางของภาครัฐ น่าจะเป็นคำตอบที่ยั่งยืนมากกว่าสำหรับคนไทยทุกคน
ที่น่ากังวลไปมากกว่านั้นคือว่า คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่มักจะนิยมแต่งงานกันหลังอายุ 30 ปี หรือแม้แต่อายุ 40 ปี และนิยมมีลูก 1-2 คน หรือไม่มีเลย โดยอาศัยเหตุผลเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆนาๆ
ขอยกตัวอย่างจากความเป็นจริง ในปลายปี 2559 เพื่อนในรุ่นเดียวกันทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย ที่มีอายุระหว่าง 28-30 ปี จำนวนประมาณ 500 คน จากที่รู้จักและทราบข่าวคราวนั้น มีคนที่ตกลงใจแต่งงานประมาณ 10 คน (ไม่เกิน 20) คิดเป็นเพียงแค่ 2% ของคนทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งคนที่แต่งงานก็ไม่ได้มีลูกทุกคนอีกด้วย
ถ้าเป็นการทำโพล ก็อาจจะอนุมานได้ว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนสภาพสังคมในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับโลกในอดีต 30-40 ปีที่ผ่านมา ที่คนจะแต่งงานเร็วและมีลูกจำนวนมากเป็นโหล เมื่อมีลูกมากพ่อแม่ก็ต้องขยันทำมาหาเลี้ยงครอบครัว หามามากก็ใช้จ่ายออกไปมาก แปรผันตามจำนวนลูก เมื่อลูกเกิดมาก็ต้องขยันแข่งขันกับพี่น้อง พอคนจำนวนมากช่วยกันแข่งกันทำงาน เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนไปได้ดีไปได้เร็ว
ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้คนชรามีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่เด็กที่จะเติบโตมาเป็นวัยแรงงานมีจำนวนน้อยลง และเติบโตไม่ทันคนทำงานเดิมที่เริ่มหมดไฟลง
ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเรานั้น ได้มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีคนแก่คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ โชคดีที่คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย เป็นประเทศพัฒนาแล้ว รายได้ของคนญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ปัญหานี้จะหนักหนาและกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็ใช้กำลังวังชาที่พอมีอยู่เอาตัวรอดไปได้ หรืออาจเรียกอีกอย่างได้ว่า 'อาศัยบุญเก่าที่สะสมมานาน'
การดูแล การอุดหนุน การอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงวัย แม้จะดูเสมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรทำและต้องทำให้ดี ถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรต้องกลับไปดูที่ต้นเหตุที่แท้จริง ทำไมเราถึงขาดแคลนคนวัยแรงงาน และก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว
ปัญหานี้อาจต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลง 20-30 ปี กว่าจะเห็นผล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ก็เป็นผลมาจากอดีต 10-20 ปีก่อน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เริ่มแก้ไขที่ต้นเหตุตั้งแต่ตอนนี้ นับไปอีก 20-30 ปี เมื่อคนไทยอยู่ในสภาวะเดียวกับญี่ปุ่นในวันนี้ ประเทศเราอาจจะบาดเจ็บสาหัสกว่าเขามากทีเดียว
เราคงไม่ได้คาดหวังให้คนสมัยนี้ต้องแต่งงานเร็วเกินไปหรือมีลูกครึ่งทีมฟุตบอลเหมือนในอดีต แต่การค่อยๆปรับเข้าสู่สมดุลโดยอาศัยการนำทางของภาครัฐ น่าจะเป็นคำตอบที่ยั่งยืนมากกว่าสำหรับคนไทยทุกคน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น