วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

From Technology to CSR - Too big too fall

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ภายในโรงงานผลิตอาหารสำเร็จรูปที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของ CPram บริษัทในเครือ CP ที่ทำหน้าที่ผลิตอาหารสำเร็จรูปป้อนให้กับร้าน 7-11 มูลค่าก่อสร้าง 1,700 ล้านบาท 

โรงงานที่มีมูลค่าก่อสร้าง 1,700 ล้านบาท แห่งนี้ เติมเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรในการผลิตเกือบ 100% โดยใช้แรงงานมนุษย์ 600 คน แต่กำลังการผลิตสามารถทำได้เทียบเท่าโรงงานที่ใช้พนักงานถึง 6,000 คน

วิธีการลดต้นทุนและเพิ่มกำลังการผลิต ทดแทนแรงงานคนด้วยเครื่องจักรและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ล้วนเป็นความปรารถนาของเจ้าของธุรกิจทุกคน ซึ่งไม่ต่างจาก เจ้าสัวธนินทร์ เจ้าของ CP อภิมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย และร่ำรวยเป็นอันดับที่ 4 ของเอเชีย (Forbes, Dec 2015)

ในอีกมุมหนึ่ง Joseph Stiglitz นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา เคยได้วิจารณ์เอาไว้ว่า เพราะเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเหล่านี้ ที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยมนุษย์เพื่อนำมาใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ ส่งผลให้เพื่อนมนุษย์จำนวนมหาศาลตกงาน และนั่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหา เกิดวิกฤติในหลายๆครั้งที่ผ่านมาโดยเฉพาะในประเทศของเขาเอง

ถ้ามองในมุมที่บริษัทเอกชนต้องรับผิดชอบต่อสังคมแล้ว (Corporate Social Responsibility) การลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อใช้ทดแทนแรงงานคนทั้งหมด อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้องที่สุดสำหรับธุรกิจ

เมื่อธุรกิจที่หวังผลกำไรสูงสุด และถ้าไม่ลงทุนในเทคโนโลยีก็อาจจะพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งได้ ในขณะเดียวกันถ้าลงทุนสุดโต่งเกินไปก็อาจจะส่งผลร้ายต่อสังคมได้ นี่คือความยากยิ่งที่รัฐบาลและผู้เสนอตัวมารับใช้ประชาชนต้องบริหารจัดการให้เกิดความสมดุล

ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างเครือ CP และอีกหลายๆบริษัทในประเทศไทย ที่มีแผนงาน CSR อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลดของเสียจากโรงงาน การบริจาคเงิน การปลูกป่า การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ ซึ่งเป็นการแบ่งปันให้กับสังคมที่ทุกคนรับรู้รับทราบเป็นอย่างดี

แต่ในยุคแห่งความไม่แน่นอน ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราควรป้องกันไม่ให้เกิดสภาวะที่ต่างชาติเขาเรียกกันว่า 'Too Big Too Fall' หรือ 'ใหญ่เกินจะล้ม' หมายความว่า บริษัทยักษ์ใหญ่บางบริษัทที่รัฐไม่สามารถปล่อยให้ล้มลงได้เมื่อเกิดวิกฤติ เพราะจะทำให้ประเทศชาติเสียหายหนักและส่งผลกระทบต่อประชาชนวงกว้าง รัฐบาลจึงต้องใช้เงินภาษีของประชาชนเข้าไปช่วยพยุงฐานะของบริษัทนั้นไว้

และนั่นอาจเป็นที่มาของความไม่พอใจของคนจำนวนมากในสหรัฐฯ อาจเป็นที่มาของประธานาธิบดีที่ชื่อว่า Donald J. Trump

แน่นอนว่าคนไทยคงไม่ประสงค์ให้เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้น ดังนั้น แผนงาน CSR ที่สำคัญที่สุดของอภิบริษัทยักษ์ใหญ่ คือ แผนการรองรับเมื่อเกิดวิกฤติหรืออุบัติเหตุทางเศรษฐกิจ แล้วไม่ต้องใช้เงินภาษีประชาชนมาอุดหนุน และลดผลกระทบที่จะมีต่อสังคมให้ได้มากที่สุด

ถ้าทุกคนลองคิดเล่นๆดู ก็พอจะบอกได้ว่ามีกี่บริษัทในประเทศที่อาจจะเข้าข่าย 'Too Big Too Fall' และควรจะเสนอแผนงานนั้นต่อสาธารณะ เพราะนั่นคือที่สุดของความรับผิดชอบต่อสังคม

ถ้ามีบริษัทไหนทำเช่นนั้น ทุกคนก็ควรสนับสนุนซื้อสินค้าและบริการของเขาอย่างเต็มที่ ใช่หรือไม่.....

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น