วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2562

ไปญี่ปุ่นเที่ยวนี้ อย่าลืมของฝากนะ!!

เพราะอะไรคนไทยถึงชอบไปญี่ปุ่น

นอกจากเรื่อง ฟรีวีซ่า ฟรี Tax Refund ที่กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศเขาแล้ว ญี่ปุ่นยังมีสินค้าที่เป็นที่นิยมของชาวไทย ทั้งแบรนด์เครื่องสำอางค์ แบรนด์เครื่องไฟฟ้า ร้านอาหาร สื่อบันเทิง Entertainment ต่างๆ

แต่นอกเหนือจากสิ่งของสินค้าที่จับต้องได้แล้ว วัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่ประทับใจไม่เฉพาะเพียงคนไทย แต่ได้ใจคนทั่วโลก สังเกตดูง่ายๆ ก็คงจะมีอีก 3 ประการ

คนประเทศเขามีระเบียบวินัย ถูกสุขอนามัย ใส่ใจสิทธิและรายละเอียด

1. คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย

เวลาเดินทางไปญี่ปุ่น เราจะรู้สึกปลอดภัย ไม่ค่อยกังวลเรื่องโจรขโมย ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังเวลาไปประเทศแถบตะวันตกหลายประเทศ

เวลาใช้บริการรถสาธารณะที่ประเทศญี่ปุ่น เราจะรู้สึกว่าเขามีมาตรฐาน ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะถูกฟัน เหมือนกับในหลายประเทศ

เราจะสังเกตเห็นคนญี่ปุ่นแม้ในภาวะวิกฤติ จะเข้าคิว เข้าแถวอย่างมีระเบียบ แม้ตนเองจะเดือดร้อนขนาดไหนก็ตาม ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร จะรวยจะจน ถ้ามาก่อนได้ก่อน แต่ถ้ามาช้าต้องรอคิว




2. คนญี่ปุ่นถูกสุขอนามัย

สุขาสาธารณะของประเทศญี่ปุ่นเป็นมาตรฐานที่เราไว้ใจได้ เป็นห้องน้ำสาธารณะที่เข้าแล้วสบายใจที่สุดในโลกก็ว่าได้ นอกจากจะมีเครื่องฉีดน้ำอัตโนมัติ ซึ่งแสดงถึงรายละเอียดที่ประเทศอื่นมองข้าม ความสะอาดของห้องน้ำก็น่าจะนำมาเป็นอันดับ 1 ของโลก

คนญี่ปุ่นน่าจะเป็นคนรักความสะอาด นวัตกรรมในห้องน้ำ อุปกรณ์ช่วยทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค เครื่องมือของใช้เพื่อดูและสุขภาพของเด็ก หลายอย่างก็มีที่มาจากประเทศญี่ปุ่น

ความใส่ใจในสุขอนามัยนั่นเอง ทำให้อาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเสิร์ฟพร้อมอาหารครบ 5 หมู่ คุณภาพของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตนั้น เป็นอะไรที่ค่อนข้างไว้ใจได้ทีเดียว ทำให้รสชาติที่ออกมาแต่ละจาน เป็นที่ถูกปากชาวโลกจำนวนมาก

3. คนญี่ปุ่นใส่ใจสิทธิและรายละเอียด

เพราะคนญี่ปุ่นใส่ใจสิทธิของคนอื่นและตนเอง ทำให้ทั้ง 2 เรื่องแรกเกิดขึ้นได้แบบอัตโนมัติ

เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะไม่ไปทำร้ายใคร
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะไม่ขโมยของใคร
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะเคารพกฎหมาย
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะใช้สมบัติสาธารณะอย่างรับผิดชอบ
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าที่จะส่งมอบให้ลูกค้า

ในโรงแรมหรูของญี่ปุ่น พนักงานจะสนใจทุกรายละเอียด ไม่ว่าเราจะมาจากไหนก็ตาม พนักงานจะโค้งตัวต้อนรับเรา เสมือนหนึ่งเราคือผู้นำประเทศ

ร้านอาหารหลายร้านที่คนยินดียืนรอต่อคิวเป็นชั่วโมง เพื่อได้ลิ้มรสความอร่อยจากฝีมือของพ่อครัวชาวญี่ปุ่น ที่พิถีพิถันและบรรจงใส่รายละเอียดเข้าไปในทุกวัตถุดิบและรสชาติของอาหารในร้านของเขา

ในบางสถานที่ เราจะสังเกตว่า เมื่อเราถอดรองเท้าทิ้งไว้ จะมีพนักงานมาจัดรองเท้าให้ ซึ่งไม่ได้จัดให้แบบปกติธรรมดา แต่เขาจะกลับด้านรองเท้าไว้ให้ เพื่อเวลาที่เดินออกมา เราจะสวมเข้าไปได้เลย เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่แสดงถึงการวางแผนและการมองการณ์ไกลของชาวญี่ปุ่น

ถ้าคุณทำของหล่นตกไว้ในประเทศญี่ปุ่น คุณสบายใจได้เลยว่า มีโอกาสสูงที่เมื่อคุณเดินกลับมาหาในอีก 1 ชม.ถัดไป ของสิ่งนั้นของคุณจะยังอยู่ที่เดิม หรือถูกนำขึ้นไปวางไว้ในที่ที่คุณจะกลับมาเห็นได้ง่ายและปลอดภัยกว่าเดิม





สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พวกเขาปฏิบัติกันมาซ้ำๆจนกลายเป็นนิสัย หรือในทางพระเขาเรียกพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆจนกลายเป็นนิสัยนี้ว่า 'วาสนา' ถ้าพูดแบบฟังดูสวย คือ ประเทศเขามีวาสนา ทำให้คนส่วนมากรักที่จะไปท่องเที่ยว ไปใช้เงินในประเทศเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก

สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าอยากให้เกิดขึ้น แต่มันจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการอบรมสั่งสอน ปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่น คนโตต้องทำให้ตนเล็กดูเป็นต้นแบบ ผู้ใหญ่ต้องเป็นแบบอย่างให้ผู้น้อย พ่อแม่ต้องทำให้ลูกเห็น ทำแล้วทำเล่าให้มันกลายเป็นวาสนาของส่วนรวม

นอกจากได้กินอาหารอร่อยๆแล้ว สิ่งเหล่านี้นี่แหละคือสิ่งที่ผมได้จากการไปประเทศญี่ปุ่น

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

24 มีนา ประชาธิปไตย กินได้..?

ประชาธิปไตยกินไม่ได้....

คำพูดนี้อาจเป็นจริง สำหรับคนชั้นกลาง คนมีสตางค์ที่ไม่ได้หวังพึ่งพานโยบายของรัฐบาล

ไม่ว่าใครจะมา ใครจะไป จะประชาธิปไตยหรือเผด็จการ เขาก็ต้องก้มหน้าทำงาน หาเงินใส่กระเป๋า จุนเจือตัวเองและใช้ชีวิตต่อไป

แต่สำหรับชาวรากหญ้า เกษตรกร หรือคนรายได้น้อย ซึ่งความมั่นคงในชีวิตและอาชีพอาจอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น มักจะได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลตลอดมา

สำหรับเขา นโยบายของรัฐบาล คือ ความหวัง ส่งผลโดยตรงถึงปากท้องและคุณภาพชีวิต ซึ่งตัวแทนที่อยู่ใกล้ชิด ตัวแทนที่มาจากประชาชนในระบบประชาธิปไตย มักจะสัมผัสถึงความยากลำบาก และตอบสนองได้ตรงความต้องการของเขามากกว่า

ประชาธิปไตยสำหรับเขานั้น 'กินได้'

สำหรับนักลงทุน ซึ่งอาศัยความเชื่อมั่นเป็นพื้นฐานหลักในการตัดสินใจ ระบบประชาธิปไตยที่มีความเป็นสากลและเชื่อถือได้นั้น คือสิ่งที่เขาปรารถนา

เมื่อคนกลุ่มนี้กล้าลงทุนลงแรง คนในระดับล่างลงไป ก็มักจะได้รับผลพลอยได้ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงความกล้าจับจ่ายใช้สอยที่มีมากขึ้น

ทำให้คนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้ประโยชน์ และส่งผลบวกต่อประเทศชาติในระยะยาว

ก่อนตัดสินใจวันที่ 24 มีนา คุณจะกาใคร..?

วางใจเป็นกลางและศึกษาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ

ตลอด 10 ปี ในยุคประชาธิปไตยวุ่นวายตลอดมานั้น ช่วงใดที่สร้างความมั่นใจได้ดีที่สุด

ตัวชี้วัดที่เป็นกลาง ชัดเจน และสะท้อนผลลัพธ์ได้ดีอันหนึ่ง คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET index (ตัวเลขอาจคาดเคลื่อนในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ)

พรรคพลังประชาชน (29 ม.ค. 51 - 2 ธ.ค. 51)
ดัชนีเริ่มที่ 754 ทำจุดสูงสุดที่ 882 และสิ้นสุดที่ 385 สรุป ลดลง 96%

พรรคประชาธิปัตย์ (17 ธ.ค. 51 - 5 ส.ค. 54)
ดัชนีเริ่มที่ 443 ทำจุดสูงสุดที่ 1142 และสิ้นสุดที่ 1120 สรุป เพิ่มขึ้น 153%

พรรคเพื่อไทย (5 ส.ค. 54 - 7 พ.ค. 57)
ดัชนีเริ่มที่ 1120 ทำจุดสูงสุดที่ 1644 และสิ้นสุดที่ 1401 สรุป เพิ่มขึ้น 25%

ยุคลุงตู่ (24 ส.ค. 57 - 21 มี.ค. 62)
ดัชนีเริ่มที่ 1562 ทำจุดสูงสุดที่ 1838 และสิ้นสุดที่ 1634 สรุป เพิ่มขึ้น 4.6%

..แถม..พรรคไทยรักไทย (ก.พ. 44 - ก.ย. 49)
ดัชนีเริ่มที่ 325 และสิ้นสุดที่ 686 สรุป เพิ่มขึ้น 111%

มาถึงบรรทัดนี้หลายคนอาจเปลี่ยนความคิดว่า ที่จริงแล้วประชาธิปไตย 'กินได้' สำหรับทุกคน

ขอให้ประเทศไทยโชคดี

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562

แก้จน ต้องขายเป็น(2)

หลังจากที่ได้รับบทเรียนแรกในประถมวัย

ต้องบอกว่า ผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องการขายของอีกเลยเป็นระยะเวลานานพอสมควร

จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงมัธยม ตอนไปต่างประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ที่นั่นนั้น ได้เปลี่ยนแปลงผมไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

ในฤดูร้อน ผมชอบใส่เสื้อยืดสีเทาบางๆ ที่ซื้อมาจากตลาดนัดจตุจักรไปเรียน

เป็นเสื้อที่ผมเลือกซื้อมาเองกับมือ

มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนต่างชาติเดินเข้ามาหา แล้วบอกว่า... มันชอบมากเลย

ไอ้เราก็งงๆ (มึง)ชอบ(กู)หรอ

พอคุยกันจึงเข้าใจว่าชอบเสื้อยืดที่เราใส่

จังหวะนั้นเอง ผมเริ่มรู้แล้วว่า ผมจะต้องทำอะไรต่อไป

ผมบอกมันทันทีว่า เสื้อตัวนี้ซื้อมาจากไทย ที่นั่นมีเยอะแยะ แต่(มึง)หาซื้อที่นี่ไม่ได้หรอก

วิญญาณนักขายเริ่มเข้าสิงห์

มันถามกลับมาทันทีว่าขอซื้อต่อ ขายเท่าไร???

นั่นไง...เข้าทางปืนที่คิดไว้แต่แรก

ผมเลยบอกไปว่า ซื้อมา 10 ดอลล่า ขายต่อ 15 เอาไหมละ (ตอนนั้นค่าเงินบาทอ่อน 1 ดอลล่า เท่ากับ 44 บาท)

มันเริ่มเปิดการเจรจาต่อรอง ซึ่งผมก็คิดไว้ว่าถ้าได้ 10 ดอลล่า ก็ขายแล้ว มีกำไรหลายร้อยเปร์เซ็นต์

สุดท้ายจบกันที่ 12 ดอลล่า

ผมตอบตกลงทันที และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำเงินที่ต่างประเทศของผม

วันต่อไป ผมก็หาชุดใหม่ที่ซื้อจากไทย ใส่ไปให้เพื่อนมันดูอีก แล้วก็ขายได้อีก

บางครั้งเพื่อนมันก็มาทักผมเอง บางคราวผมก็เดินเข้าไปหามันแล้วถามว่าแบบนี้ซื้อไหม

ผมทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง ขายได้หลายตัว ถูกบ้างแพงบ้าง จนวันหนึ่งมานั่งคิดว่า ถ้าขายหมดก็ต้องไปหาซื้อใหม่ ซึ่งราคาขายที่นั่นค่อนข้างสูง ไม่คุ้มกับที่เราทำได้สักเท่าไร โดยเฉพาะเมื่อแปลงค่าเงินกลับมาเป็นเงินบาท

ในที่สุดวิธีการนี้ก็ล้มเลิกไป

ถึงเวลาต้องมองวิธีการหาเงินใหม่ๆ

ผมเห็นเพื่อนหลายคนทำงาน part-time เป็นเรื่องปกติ พอถามว่าเลิกเรียนบ่าย 2 แล้วไปทำอะไร คำตอบที่ได้ยินบ่อย คือ ไปทำงาน

ผมคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็น่าจะทำบ้าง เพราะนอกจากจะได้เงินแล้ว ยังได้ประสบการณ์เป็นของแถมอีกด้วย

ผมตระเวนสมัครงานอยู่ 2-3 งาน แต่เพราะวีซ่านักเรียนเราไม่อนุญาตให้ทำงานได้ จึงไม่มีใครรับ ไม่มีใครกล้าแอบรับแรงงานผิดกฏหมายอย่างเรา

ผมปั่นจักรยานกลับบ้านไปพลางคิดไปว่า แล้วเราจะทำอะไรต่อดี(วะ)เนี่ย

แน่นอนต้องไม่ใช่วิธีที่ผิดกฏหมาย ไม่ใช่ขโมยของไปขายอย่างแน่นอน

ถ้าเราไม่สามารถหารายได้เพิ่ม งั้นเราก็ต้องลดรายจ่าย

ซึ่งมีเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตที่ติดอยู่ในสมองและสองตาผมมาจนถึงทุกวันนี้

ยังจำยุคสมัยที่ Nokia ครองโลกอยู่ได้ไหม รุ่น 3310 ใช้กันทั้งบ้านทั้งเมือง เกมส์งูเป็นเกมส์ที่ฮิตที่สุดในทศวรรษ แต่ผมมั่นใจว่าผมเป็นคนแรกของรุ่นที่ใช้ Nokia 7250 ซึ่งเป็นมือถือรุ่นแรกที่เป็นจอสีและถ่ายรูปได้ สมัยนั้นพวกเราบ้าเพลง บ้าเกมส์ แอบเล่นมือถือใต้โต๊ะอยู่หลังห้อง เหมือนเอามือถือไปอวดกันในกลุ่มเพื่อน

มีอยู่วันหนึ่งในต่างประเทศ ขณะกำลังนั่งรถโรงเรียนกลับบ้าน เพื่อนฝรั่งชาวอเมริกาที่ไปทางเดียวกัน ควักมือถือออกมาคุยเสียงดัง เห้ย.. นั่นมัน Nokia 3310 นิหว่า!!!

วันนั้นผมกลับไปนั่งคิดแล้วคิดอีก สับสนในตัวเองว่า คุณ(มึง)อยู่ในประเทศมหาอำนาจ เป็นผู้นำนวัตกรรม ผู้ผลิตเทคโนโลยีให้โลกใช้ มีรายได้ต่อหัวมากกว่าเรา(กู)กี่เท่าตัว ทำไมยังใช้มือถือตกรุ่น มือถือล้าสมัยกว่าเราอีกวะเนี่ย

หรือเราจะเป็นคนใช้เงินเกินตัว เงินยังหาไม่ได้ งานยังไม่เคยทำ แต่เห่อใช้ของใหม่ของดีของแพง เรียกว่า จนแล้วไม่เจียม (ที่จริงแล้วในตอนนั้น ผมแทบไม่เห็นคนอเมริกันใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆรุ่นแพงๆ เหมือนที่เราใช้เลยแม้แต่คนเดียว)

ณ ตอนนั้นคิดได้มุมเดียวแบบไร้เดียงสา ลืมนึกไปว่าในประเทศรวย ก็ต้องมีคนจน ในประเทศจน ก็ต้องมีคนรวย

ผมอาจเพียงแค่บังเอิญได้ไปอยู่ในเมืองชนบทที่ยากจนของประเทศที่ร่ำรวย แต่ ณ วันนั้นมันได้เปลี่ยนให้คนสุรุ่ยสุร่าย กลายเป็นคนที่กลัวการใช้เงินอย่างไม่มีวันหวนกลับ

เมื่อได้กลับมาประเทศไทย สิ่งแรกที่ขอพ่อแม่หลังจากลงเครื่องบิน นอกจากพาไปกินข้าวหน่อย คือ ขอออกไปหางานทำนะ

แต่คำตอบที่ได้รับ กลับกลายเป็นคำ 'ปฏิเสธ'

สุดท้ายไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความตั้งใจนี้ได้ แล้วผมออกไปทำงานได้ยังไง งานแรกคืออะไร To be continue...แก้จน ต้องขายเป็น(3/4)

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

แก้จน ต้องขายเป็น(1)

ผมจำความได้ว่า ผมเริ่มขายของด้วยตัวเองครั้งแรกตอน ป.6

ที่โรงเรียนประถมย่านอโศกของผม มีการจัดกิจกรรมให้นักเรียนเปิดร้านขายของได้ ถ้าจำไม่ผิดเป็นงานต่อเนื่อง 2 วัน ซึ่งผมได้สิทธิ์ 1 ร้าน โดยคิดว่าผมจะขายของที่เจ๋งที่สุด ใช้แรงไม่มาก ขายคนเดียวก็ได้ เพื่อนๆน้องๆทุกคนในโรงเรียนจะต้องชอบ

ผมเตรียมการล่วงหน้าก่อนงาน 2 อาทิตย์ ผมมองหาแหล่งซื้อของ หาชั้นวางของที่จะขาย และเตรียมอุปกรณ์ในการขายให้พร้อม

ผมมีเหมือนที่ร้านค้าปกติมีทุกอย่าง ผมมีเครื่องให้ทดสอบสินค้า มีชั้นวางของให้เลือกมากมาย มีขายเป็นแพ็คเกจ มีโปรโมชั่นลดราคา ที่โรงเรียนมีทำเลติดแอร์ให้ผม และที่สำคัญผมมีลูกค้าหลายร้อยคนรอซื้ออยู่ในโรงเรียน

แต่การขายครั้งแรก ผมเจ๊งไม่เป็นท่า

วันนั้นผมจำได้ดีเลยว่าผมขายแผ่นเกมส์ (สำหรับเครื่อง Playstation) เพราะผมชอบเล่นเกมส์ ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆในโรงเรียน ผมจึงเลือกสิ่งที่ชอบไปขาย แล้วหวังว่ามันคงจะขายได้ น่าจะขายดี

ในวันนั้นมีร้านค้าของเพื่อนๆหลายร้าน ร้านของผมมีคนแวะมาดูมากมาย แต่....

....ไม่มีคนซื้อเลย

เวลาผ่านไป ผมเลยนึกย้อนกลับไปทบทวนว่า ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น(วะ)




ความผิดพลาดประการแรก คือ วันนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่า แผ่นเกมส์ที่ผมเอาไปขาย คนอื่นจะมีเครื่องเล่นเกมส์แบบผมหรือเปล่า

วันนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่า เพื่อนๆจะต้องการมันหรือเปล่า วันนั้นผมหาสินค้าก่อนหาลูกค้า ผมไม่ได้สอบถามความต้องการลูกค้า ไม่ได้ปรึกษาใครทั้งสิ้น ใช้เพียงความชอบตัวเองล้วนๆ ทั้งๆที่ยังไม่มีประสบการณ์

วันนั้นผมไม่เคยรู้เลยว่า การจะขายของสักอย่างต้องทำอย่างไร เทคนิคการขายที่ดีคืออะไร ไม่ได้ศึกษาและไม่ได้เตรียมตัวให้ดีพอ สิ่งที่ทำวันนั้นมีเพียง เปิดร้านแล้วรอให้คนเดินเข้ามาหา

วันนั้นผมซื้อของจากร้านค้าปลีก เพื่อนำไปขายปลีก(กว่า) เปรียบเหมือนกับซื้อของในห้าง แล้วเอาไปขายที่ตลาดนัด มันจะไม่เจ๊งได้ไง จริงมั้ย??

วันนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่า อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเป็นช่วงสอบปลายภาค แล้วใครจะมาสนใจหรือหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเกมส์ มากกว่าการเตรียมอ่านหนังสือสอบละ

ประการสุดท้ายที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด คือ วันนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่า สิ่งที่ผมขายกับเงินที่เพื่อนได้มาโรงเรียน มันคิดเป็นสัดส่วนเท่าไร

กลับมานั่งคิดก็ตลกดี วันนั้นผมได้เงินไปโรงเรียน 50 บาท (คนที่ได้มากที่สุดน่าจะ 100 บาทต่อวัน) ผมกลับตั้งราคาขายเกมส์แผ่นละ 40 บาท ซึ่งนั้นคิดเป็นเงินเกือบทั้งหมดที่ผมได้ไปโรงเรียนในหนึ่งวัน เท่ากับว่า วันนั้นผมจะไม่ได้ซื้ออะไรกินเลย นอกจากกินอาหารกลางวันของโรงเรียนเท่านั้น และถ้าผมต้องกลับบ้านเอง เท่ากับว่า ผมอาจจะต้องเดินกลับบ้าน เพราะไม่มีเงินเหลือพอสำหรับค่ารถ

ณ ตอนนั้นผมได้สังเกตว่า ร้านค้าของเพื่อน ที่คนซื้อเยอะ คือ ร้านที่ขายของราคาถูก 5-10 บาท ซึ่งน่าจะเหมาะกับเด็กวัยประถม และร้านที่ให้เช่าทรัพย์สิน คือร้านเกมส์ที่ให้เช่าเล่น ตาละ 5 บาท

ช่วงเวลาท้ายของการขาย ผมจึงพยายามอัดโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม ในราคา50% หรือ ซื้อ 1 แถม 1 เหลือ 20 บาท ยอมขายขาดทุน แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

วินาทีสุดท้าย ผมจึงปล่อยหมัดเด็ด ด้วยการประกาศแจกฟรี...

...แต่ไม่ทันการ

แม้จะขายได้บ้าง แจกฟรีไปบ้าง แต่มันก็สายเกินไป เพราะเวลานั้นทุกคนต่างทยอยกลับบ้านกันแล้ว เหลือเพียงเพื่อนๆที่กำลังเก็บร้าน เพื่อคืนห้องเรียนให้โรงเรียน

สุดท้ายผมต้องเดินคอตก แบกของที่เหลือกลับบ้านครึ่งต่อครึ่ง

บทเรียนที่สำคัญที่สุดจากครั้งนี้ คือ วันนั้นเงินลงทุนทั้งหมดหลักพัน ผมขอพ่อขอแม่มา ซึ่งเราต่างรู้กันดีว่าไม่ต้องใช้คืน ทำให้ผมบ้าเลือดลงมือทำไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง และไม่ได้ขอคำปรึกษาจากใครใดๆเลย

บทเรียนนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมมักจะนึกถึง เมื่อมองย้อนกลับไปที่โรงเรียนประถม

บทเรียนนี้ได้นำพาผมไปสู่การขายครั้งต่อไป... แต่จะเป็นยังไง To be continue...แก้จน ต้องขายเป็น(ตอนที่2/4)

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เลือกตั้ง 62... จะเลือกใครดี

(ถ้ามี)เลือกตั้ง 62... จะเลือกใครดี

เน้นไปที่ 4 พรรคเด่น คือ พปชร. อคม. พท. ปชป.




หลายคนอาจเข้าใจว่าถ้าพปชร. ชนะเลือกตั้ง จะยุติความขัดแย้งที่ผ่านมากว่า 10 ปีได้ เพราะ พปชร.วางตัวเป็นกลาง ไม่เป็นคู่ขัดแย้งและไม่ประสงค์จะขัดแย้งกับใคร

ดูไปดูมาชักจะไม่แน่ ทุกพรรคโดยเฉพาะซีก พท. และ อคม. มักโจมตีเรื่องการสืบทอดอำนาจเผด็จการ กติกาที่เอาเปรียบ และอาจเลยเถิดไปถึงการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม เพราะฉะนั้น หากพปชร.ชนะ อาจถูกกล่าวหาได้ว่า ใช้อำนาจโดยทุจริต ซึ่งอาจนำไปสู่การไม่ยอมรับและการประท้วงเหมือนในอดีต

อคม. ตามกระแสได้รับความนิยมจากคนรุ่นใหม่และในโซเชี่ยลมีเดียค่อนข้างมาก ผู้นำพรรคเอาจริงเอาจัง มีความพยายามท้าทายโครงสร้างอำนาจเดิม มีความสุดโต่ง คำก็ชนชั้นปกครอง คำก็อภิสิทธิ์ชน คำก็ทุนผูกขาด ท่าทีคล้ายคำปราศรัยของแกนนำนปช. ดูแนวโน้มแล้วมีโอกาสสร้างความขัดแย้งระลอกใหม่ ซึ่งอาจจะรุนแรงกว่าเก่า

พท. แม้จะได้รับความนิยมมากที่สุดตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่หลังจากการรัฐประหารปี 49 เป้าหมายสุดท้ายของการเป็นรัฐบาลของพท. คือ การคืนทรัพย์สินและนิรโทษกรรมสุดซอยให้อดีตนายกทักษิณ ซึ่งได้พิสูจน์มาเกิน 10 ปีแล้วว่า นอกจากจะทำไม่ได้แล้ว ยังจะนำไปสู่ความวุ่นวาย มีแนวโน้มว่าหากพท.ชนะเลือกตั้ง ก็ต้องหาหนทางทำสิ่งเดิมในรูปแบบที่ต่างไปอีก

ปชป. ที่เคยถูกมองว่าเป็นคู่ขัดแย้งกับพท.มาตลอด เพราะเป็นฝ่ายค้านในสภาและไม่ยอมรับการนิรโทษกรรมแกนนำที่ทำผิด แต่ในการเลือกตั้งคราวนี้ต่างมีจุดร่วมเดียวกับพท. คือคิดว่าถูกพปชร.เอาเปรียบบ้าง กติกาไม่เป็นธรรมบ้าง หากปชป.ชนะเลือกตั้ง น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะไม่นำบ้านเมืองกลับสู่วงจรแห่งความขัดแย้ง ถ้าที่สุดแล้วไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและไม่มีการทุจริตคอรัปชั่น

คนอยากเลือกตั้งอดทนรอคอยมา 5 ปี ประเทศไทยต้องไม่เดินซ้ำรอยเดิม เราจะไม่ไปเลือกโดยใช้เพียงอคติหรือความชอบส่วนตัว แต่เลือกโดยคิดถึงผลประโยชน์และอนาคตของประเทศ

วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

เมื่ออำนาจทหาร..กำลังถูกท้าทาย

ถ้าทหารไม่ทำรัฐประหาร ถ้าทหารไม่แทรกแซงการเมือง จะมีใครตั้งคำถามถึงขนาดกองทัพหรือไม่...?

กองทัพไทยใหญ่ไม่ใหญ่ มีอำนาจมากไม่มาก ต้องดูตารางเปรียบเทียบประเทศที่มีจำนวนทหารมากที่สุดในโลก

1.จีน                    2,183,000 คน        (คิดเป็น 0.15% ของจำนวนประชากร)
2.อินเดีย              1,395,100 คน        (คิดเป็น 0.10% ของจำนวนประชากร)
3.สหรัฐฯ              1,347,300 คน        (คิดเป็น 0.41% ของจำนวนประชากร)
4.เกาหลีเหนือ      1,190,000 คน        (คิดเป็น 21.62% ของจำนวนประชากร)
5.รัสเซีย               831,000 คน           (คิดเป็น 0.56% ของจำนวนประชากร)
6.ปากีสถาน          653,800 คน           (คิดเป็น 0.32% ของจำนวนประชากร)
7.เกาหลีใต้           630,000 คน           (คิดเป็น 1.22% ของจำนวนประชากร)
8.อิหร่าน               523,000 คน           (คิดเป็น 0.64% ของจำนวนประชากร)
9.เวียดนาม           482,000 คน           (คิดเป็น 0.51% ของจำนวนประชากร)
10.อียิปต์              438,500 คน            (คิดเป็น 0.45% ของจำนวนประชากร)
11.เมียนม่า           406,000 คน            (คิดเป็น 0.75% ของจำนวนประชากร)
12.อินโดฯ             395,500 คน           (คิดเป็น 0.15% ของจำนวนประชากร)
13.ไทย                 360,850 คน           (คิดเป็น 0.54% ของจำนวนประชากร)

สำหรับจำนวนนายทหารที่มากที่สุด 3 ลำดับแรก คือ จีน อินเดีย และสหรัฐฯ ซึ่งล้วนเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล และมีจำนวนประชากรมากที่สุดของโลก 

โดยเฉพาะจีน ซึ่งกำลังย่างก้าวขึ้นมาท้าทายมหาอำนาจของโลกเดิม คือ สหรัฐฯ ซึ่งมีฉายานามว่าตำรวจโลก ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่ง จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมพวกเขาถึงมีขนาดกองทัพที่ใหญ่ที่สุดของโลก

ถ้าเปรียบเทียบนายทหารต่อจำนวนประชากร เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ และเมียนม่า จะมีสัดส่วนมากที่สุด ซึ่งแต่ละประเทศนั้น มีสถานการณ์เฉพาะที่ไม่ปกติ

แล้วประเทศไทย มีขนาดกองทัพที่เหมาะสมดีแล้วหรือยัง..?

ประเทศที่มีขนาดการพัฒนาใกล้เคียงกับไทยในอดีต เช่น ใต้หวัน มีกำลังพล 215,000 นาย

ส่วนประเทศอื่น อาทิ ญี่ปุ่นมีกำลังพล 247,150 นาย ฝรั่งเศส 202,950 นาย เยอรมัน 176,800 นาย

ถ้าจะคิดแบบไม่มีกรอบ แต่อย่างน้อยก็ต้องคำนึงถึงความมั่นคงของชาติ ภัยคุกคามและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ประเทศไทยอาจลดกำลังพลได้ 100,000 นาย ลดขนาดกองทัพลงเหลือประมาณ 250,000 คน

ซึ่งจำนวนคนที่ค่อยๆหายไป ต้องมีกระบวนการฝึกให้มีทักษะพิเศษและป้อนเข้าสู่ภาคธุรกิจบริการ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ในขณะเดียวกันอาจหมายความว่า กองทัพต้องมียุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยมากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับกำลังพลที่คงอยู่

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญกว่า คือ กำลังพลที่อยู่ในกองทัพ ควรเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่หรือไม่และอย่างไร




มีคำกล่าวโบราณว่า 'เลี้ยงทหาร 1000 วัน ใช้งานวันเดียว' แต่สมัยนี้ไม่ใช่แล้ว

ถ้าทหารมีไว้เฉพาะเพื่อสู้รบกับข้าศึกศัตรู บางทีผ่านไป 1500 วัน ยังไม่ได้ใช้งานอะไรเลย เพราะสงครามยุคใหม่ไม่ได้เดินทัพจับปืนเหมือนในอดีตอีกต่อไป

ที่ผ่านมาเราจึงเห็นภาพของทหารส่งกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนหลังจากประสบภัยธรรมชาติ หรือแม้แต่การสู้รบกับภัยยาเสพติด ซึ่งนั่นอาจทำให้ภาพลักษณ์ของทหารดูดีขึ้นในสายตาของประชาชน

คิดไม่มีกรอบ จะบอกว่า กองทัพซึ่งมีพร้อมทั้งสรรพกำลัง งบประมาณ และระเบียบวินัยตามขั้นบังคับบัญชา ควรเสนอตัวเป็นทางหลัก ไม่ใช่ทางเลือก ในการรับมือกับภัยคุกคามที่จะสร้างความเสียหายมากที่สุดในอนาคต คือ ภัยธรรมชาติ




กำลังพลหลักหมื่นนายคงเพียงพอที่จะเข้ามาดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ วางแผน ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มียุทธศาสตร์ในการฝึกซ้อมรับมือภัยธรรมชาติ การเข้าช่วยเหลือผู้ประสบภัย การฟื้นฟูภายหลังภัยสงบ การบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติ หรือแม้แต่การป้องกัน ก่อนที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น ซึ่งไม่แตกต่างจากการซ้อมรบ เพื่อต่อสู่กับภัยคุกคามจากข้าศึกศัตรู ที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไรและรูปแบบใด

กองทัพ 200,000 คน จะยังจำเป็นต่อความมั่นคงทางการทหาร ส่วนที่เหลืออีก 50,000 คน อาจใช้สำหรับภารกิจใหม่ในการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบอื่น

จากในอดีตที่ส่งทหารไปช่วยรบในศึกสงครามต่างแดน ต่อไปกองทัพของประเทศไทยจะพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือมิตรประเทศที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งนอกจากจะเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีแล้ว ยังส่งเสริมในเรื่องของการเติมเต็มทางจิตใจให้ทั้งเจ้าหน้าที่แถวหน้า และประชาชนชาวไทยทุกคน




เงินภาษีจากประชาชนที่ถูกตั้งเป็นงบประมาณของกองทัพทุกปีจะถูกจัดสรรปันส่วนใหม่ อย่างมีนัยสำคัญที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยไม่ถูกติฉินนินทาในวงสังคม

งบเรือดำน้ำ ปันไปซื้อเรือยาง

งบรถถัง ปันไปซื้อรถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก

งบกระสุน ปันไปซื้อของเครื่องใช้ อาหารแห้ง

งบซ้อมรบทางทหาร ปันไปซ้อมรับมือกับภัยธรรมชาติ

ทั้งหมดนี้เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับภัยธรรมชาติในอนาคต ซึ่งมีโอกาสจะเข้ามาคุกคามชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน ด้วยความถี่ที่บ่อยขึ้นและความรุนแรงที่มากขึ้น

แน่นอนว่าอาวุธที่กองทัพมีอาจลดจำนวนลงบ้าง แต่เทคโนโลยีใหม่จะทำให้มันมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

แม้บางสถานการณ์ อาจหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธสู้รบกันไม่ได้ก็จริง แต่วิธีการป้องกันภัยคุกคามที่ดีที่สุด คือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประเทศ

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ปรากฏการณ์ ทูลกระหม่อมฯ

คุณแปลกใจไหม? ทำไมทูลกระหม่อมฯ เสนอตัวเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมือง
คุณแปลกใจไหม? แล้วทำไมลุงตู่ ต้องรอตอบรับการเสนอชื่อนายกฯในเวลาพร้อมๆกัน

คำตอบ คือ เพราะการเดินหมากหลายชั้นในคราวนี้ ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

1. เมื่อทูลกระหม่อมฯ ทรงรับเสนอตัวเป็นนายกของพรรคทษช. ซึ่งรู้กันดีว่าเป็นพรรคของอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกว่า 10 ปี ที่ผ่านมา พรรคของเขาถูกกลุ่มคนที่ต้องการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์(ตามที่ปรากฏสู่สาธารณะชน) ใช้เป็นเครื่องมือในการบรรลุจุดมุ่งหมาย เมื่อทูลกระหม่อมฯ ตอบรับเข้ามาเป็นหัวหน้าคณะ คงจะสยบกลุ่มคนเหล่านั้นได้

2. เมื่อทูลกระหม่อมฯ ทรงเข้าไปเป็นหัวหน้า จะสามารถกำราบข่าวคราวเกี่ยวกับการทุจริตคอรัปชั่นที่เป็นรากเหง้าของปัญหาการเมืองไทยที่บ่อนทำลายความเจริญของประเทศมาอย่างช้านาน

3. เมื่อทูลกระหม่อมฯ ทรงมีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องกับประชาชนชาวไทยโดยตรง คงไม่มีใครที่จะทำเรื่องที่ข้ามหน้าข้ามตา โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของพระองค์และเหล่ากุนซือ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อความมั่นคงและความรุ่งเรืองของชาติ

4. เมื่อทูลกระหม่อมฯ ทรงมีอำนาจอยู่เหนือพรรคการเมืองของอดีตนายกฯ ฝ่ายตรงข้ามที่ได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายเทิดทูนสถาบัน คงไม่ต้องเดินเกมการเมืองบนท้องถนน ประท้วงจนเกิดความโกลาหล และนำไปสู่การรัฐประหารเหมือนที่ผ่านมา เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงทำ จะเป็นประโยชน์เพื่อประชาชนส่วนรวม มิใช่เพื่อพวกพ้อง

5. เมื่อทูลกระหม่อมฯ ทรงตัดสินใจเข้ามาสู่การเมือง ทุกฝ่ายที่เคยขัดแย้งกัน คงจะประนีประนอมและหันหน้าพูดคุยกัน ร่วมกันหาทางออกให้ประเทศมากกว่าที่จะทำสงครามแตกหัก และจะยุติขบวนการรัฐประหารของแม่ทัพนายกองได้ ไม่ต้องถกเถียงกันว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยหรือนิยมเผด็จการ ประเทศเกิดความสงบสุข การพัฒนามีความต่อเนื่อง สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนและชาวต่างชาติ ตามยุทธศาสตร์ที่วางไว้แล้ว 5 ปี มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน

หากไม่เป็นเช่นนั้น ทำไมทุนใหญ่ถึงกล้าลงทุนในโครงการยักษ์ใหญ่พร้อมๆกันหลายแสนล้านบาท ดังที่เห็นกันตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น Icon Siam, สามย่านมิตรทาวน์, One Bangkok, The PARQ, ดุสิตธานี+CPN, Bangkok mall และรถไฟความเร็วสูงที่กำลังจะเกิดขึ้น

ลุงตู่ของพี่น้องจะทราบเรื่องนี้มาก่อนหน้าหรือไม่ มิอาจล่วงรู้ แต่องคมนตรีกุนซือหัวกะทิต่างก็เป็นทั้งน้องรักและลูกน้องเก่าของลุงตู่หลายท่าน ขอคารวะ 

การเดินหมากเกมนี้บอกได้คำเดียวว่า High Risk High Return



วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

ยุด 4.0

สมัยรัฐบาลนายกฯทักษิณ มีนโยบายแจก Tablet ให้เด็กนักเรียน

บางคนบอกว่าจะทำให้เด็กติดเกมส์ บางคนบอกว่าจะทำให้เด็กเสียการเรียน บางคนบอกว่าจะทำให้สายตาสั้น

ในทางกลับกันก็มีคนบอกว่า จะทำให้เด็กรู้เท่าทันเทคโนโลยี่ สามารถใช้เป็นสื่อการสอนสมัยใหม่ และก้าวหน้าทันอารายะประเทศในอนาคต

จะดีไม่ไดี คงอยู่ที่วิธีคิด วิธีใช้ ความเหมาะสมและพอดี

ผ่านมาไม่กี่ปี เทคโนโลยีต่างๆทั้ง Hardware และ Software ถาโถมเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเรา แบบรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง

ณ ปี 2019 แทบทุกบ้านในประเทศไทย น่าจะมี Smartphone หรือ Tablet กันถ้วนหน้าไม่ต่ำกว่า 95%

เด็กตัวเล็กตัวน้อยตั้งแต่อายุ 1 ขวบขึ้นไป ใช้ smart phone สำหรับดูหนังดูวีดีโอ กันเป็นเรื่องปกติ เด็กจะสามารถปรับตัวกับเทคโนโลยี่สมัยใหม่และสิ่งแวดล้อมต่างๆได้อย่างรวดเร็ว

ผู้ใหญ่ต่างหากที่ปรับตัวช้า และบางครั้งช้าเกินกว่าจะเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก

การจะเปลี่ยนประเทศจากยุค 2.0 ก้าวข้ามไปเป็นประเทศไทยยุคดิจิทัล 4.0 จึงไม่ใช่เรื่องง่าย (ซึ่งประเทศมหาอำนาจกำลังก้าวไปสู่ยุค 5.0)

วิธีหนึ่งที่จะทำให้สังคมหันมาใส่ใจกับเครื่องไม้เครื่องมือเทคโนโลยี และใช้ประโยชน์จากมัน คือ ต้องหาช่องทางที่เขาใช้มันแล้ว เขาได้เงินด้วย (ไม่ใช่เสียเงินอย่างเดียว)

ถ้าเขาได้เงิน แน่นอนว่าเขาจะต้องศึกษาหาความรู้ มองหาช่องทางที่จะทำเงินจากมันได้มากขึ้น และนั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสู่สังคมยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

โดยการเริ่มต้นจากเรื่องที่ทุกคนใช้แทบทุกวัน คือ การจราจร หรือ การใช้รถใช้ถนน

กรมขนส่ง / กรมตำรวจ ต้องใช้วิธีคิดแบบ start up

ระดมคนเก่งระดับประเทศ ระดับโลก ร่วมลงทุนพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้ประชาชนอัพโหลดรูปผู้กระทำความผิดและป้ายทะเบียนรถ แบบที่ถูกจับปรับความเร็วนั่นแหละ

เริ่มจากความผิดที่มีหลักฐานเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น คุยโทรศัพท์ขณะขับรถ ปาดเข้าคอสะพาน รถบรรทุกขับเลนขวา เป็นต้น

คนที่จับได้ก็จะได้เงินเป็นส่วนแบ่ง (สินบนนำจับ) เช่น 10% ของเบี้ยปรับ (500 ก็จะได้ส่วนแบ่ง 50) และสะสมเป็นคะแนนพลเมืองดี เพื่อประโยชน์ในอนาคต

บางคนอาจคิดว่าไปนั่งเฝ้าคอสะพาน อาจหาเงินได้วันละ 2000 บาท ซึ่งแสดงว่าคนที่ทำผิดแบบนั้นประจำและไม่เคยถูกตำรวจจับ ก็จะทำพฤติกรรมแบบเดิมไม่ได้ เพราะจะมีตาวิเศษ(ของจริง)ที่แอบจับจ้องอยู่ทั่วประเทศ วินัยการจราจรของแต่ละคนก็จะสูงขึ้น

ส่วนคนที่ถูกจับก็จะถูกตัดคะแนน มีเบี้ยปรับ(แบบสรรพากร)หากไม่ชำระภายในกำหนด และมีผลต่อการต่อทะเบียนและใบอนุญาตขับขี่

แต่ถ้าส่งข้อมูลเท็จเข้าระบบ ก็จะถูกตัดคะแนน และตัดสิทธิ์การใช้ในอนาคต

ทุกคนก็ต้องเรียนรู้วิธีถ่ายภาพที่หาเงินได้ เรียนรู้วิธีอัพโหลดรูป และวิธีใช้แอพพลิเคชั่น ซึ่งอาจต่อยอดไปสู่การเรียนรู้และพัฒนาสิ่งใหม่ๆในอนาคตได้

ในระยะยาวตำรวจจราจรอาจถูก disrupted การเขียนใบสั่งอาจไม่มีอีกต่อไป ตำรวจสามารถลดขนาดองค์กรของตัวเองลง หรือผันตัวเองไปทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้วยระบบนี้ เราอาจไม่จำเป็นต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างติดตั้งกล้อง CCTV หลายพันล้าน ไม่ต้องทรมานพี่น้องตำรวจตากแดดตากฝนทุกวี่ทุกวัน ไม่ต้องจ้างจ่าเฉยมายืนเฝ้าสี่แยก

ในอนาคตอาจต้องให้บริษัทรถยนต์ติดตั้งกล้องเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่มากับรถ เหมือนเข็มขัดนิรภัยก็ได้

การเรียนรู้ซ้ำไปซ้ำมาของเครื่องจักร หรือ Machine Learning จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบนี้ ทำให้ความแม่นยำของข้อมูลและหลักฐานความผิดมีมากขึ้น

ไม่เพียงแต่ประชาชนจะหันมาเรียนรู้วิธีการใช้งานและการทำเงินจากโลกออนไลน์มากขึ้น

ภาครัฐเองก็ต้องปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล มีวิธีคิดแบบกลับทิศ พัฒนาแอพพลิเคชั่นให้ทันสมัย หาเงินเข้ารัฐได้มากขึ้น โดยมีรายจ่ายน้อยลง และกระจายรายได้โดยตรงถึงมือประชาชน

หากมีการเริ่มต้นที่ประสบความสำเร็จ กระแสสังคมที่ตามมาจะกดดันจากล่างขึ้นบน ถ้าประชาชนปรับตัวสู่ยุค 4.0 แล้ว ภาครัฐจะยังล้าหลัง เช้าชามเย็นชามอยู่ก็คงไม่ได้

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

ใครบอกว่าเวลา...ซื้อไม่ได้

เคยได้ยินหรือไม่ว่า หลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ มีเงินมากเท่าไรก็ซื้อไม่ได้

สิ่งหนึ่งในนั้นคือ เวลา

จึงมีวลีที่ว่า 'เงินซื้อนาฬิกาได้ แต่ซื้อเวลาไม่ได้'

ซึ่งเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว

คือ ไม่มีใครสามารถซื้อวันเวลาที่ผ่านมาแล้วกลับมาได้ แม้วันนั้นจะมีฤกษ์งามยามดีแค่ไหนก็ตาม

แต่... คุณสามารถซื้อเวลา ในอนาคต ได้

แน่นอนมันไม่ใช่คุณจะซื้อเวลาให้มีมากกว่า 24 ชั่วโมงในหนึ่งวันได้

แต่เป็นการซื้อเวลาที่อาจจะเสียเปล่า เพื่อใช้สำหรับความจำเป็น หรือเพื่อความสุขได้

มิติที่หนึ่งเป็นการซื้อเวลาที่ใช้เงินน้อยมาก

สำหรับคนที่อยากมีเวลาชีวิตมากกว่าคนอื่น คือ การดูแลสุขภาพตั้งแต่วัยรุ่น เลือกทานอาหารที่ดีต่อร่างกาย เลือกวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้สุขภาพดีและแข็งแรงกว่าคนอื่นทั่วไป

บางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด คนเราควรทำในเวลาที่ยังไม่จำเป็นต้องทำ

ถ้าอายุไขเฉลี่ยของคนทั่วไปคือ 75 ปี แต่คุณอายุยืนได้ถึง 90 ปี นั่นเท่ากับว่าคุณจะมีเวลามากกว่าคนอื่น 15 ปี

คุณจะมีเวลาเพื่ออยู่กับคนที่ชอบ มีเวลาทำประโยชน์ให้สังคม ได้อยู่เห็นลูกหลานเจริญเติบโต ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง เป็นต้น

ในอีกมิติหนึ่ง ถ้าคุณมีเงินมากพอและมีการวางแผนที่ดี คุณก็สามารถซื้อเวลาได้

คุณเคยเห็นคนต่อคิวซื้อตั๋วรถไฟฟ้าหรือไม่

คุณเคยเห็นรถต่อคิวจ่ายค่าทางด่วนหรือไม่

บางครั้งกินเวลานานกว่า 10-20 นาที !!!

สำหรับบางคนมันเป็นเวลาที่อ่านหนังสือได้กว่าครึ่งเล่ม บางคนวิ่งออกกำลังกายได้หลายกิโล บางคนสามารถหาเงินได้หลายหมื่นบาท บางคนได้ใช้เวลานั้นเล่นกับลูกน้อยอย่างมีความสุข

แต่สำหรับบางคน มันกลับเป็นเพียงช่วงเวลาระหว่างวันที่เสียเปล่า..

..เสียเปล่าทั้งเวลา เสียทั้งอารมณ์ และอาจเสียเงิน อย่างไม่มีจุดหมาย

ในเมื่อเทคโนโลยี่ เข้ามาตอบโจทย์ชีวิตสมัยใหม่ เพิ่มทางเลือกให้คนเรามากขึ้น ทำไมบางคนยังไม่ใช้มัน เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น

Google map เป็นตัวอย่างหนึ่ง ที่ทุกคนสามารถใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงถนนที่มีการจราจรติดขัดได้

สำหรับอนาคตทุกคนคงอยากเห็น คนใช้รถเมล์ ที่ไม่ต้องออกมายืนชะเง้อริมถนน รอรถเมล์ที่ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่

เพราะการประหยัดเวลาที่เสียไปได้นั้น มันอาจหมายถึงคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของครอบครัว สุขภาพจิตที่ดีขึ้นของเด็กๆ และความสุขที่เพิ่มขึ้นของประชาชน