วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

แก้จน ต้องขายเป็น(1)

ผมจำความได้ว่า ผมเริ่มขายของด้วยตัวเองครั้งแรกตอน ป.6

ที่โรงเรียนประถมย่านอโศกของผม มีการจัดกิจกรรมให้นักเรียนเปิดร้านขายของได้ ถ้าจำไม่ผิดเป็นงานต่อเนื่อง 2 วัน ซึ่งผมได้สิทธิ์ 1 ร้าน โดยคิดว่าผมจะขายของที่เจ๋งที่สุด ใช้แรงไม่มาก ขายคนเดียวก็ได้ เพื่อนๆน้องๆทุกคนในโรงเรียนจะต้องชอบ

ผมเตรียมการล่วงหน้าก่อนงาน 2 อาทิตย์ ผมมองหาแหล่งซื้อของ หาชั้นวางของที่จะขาย และเตรียมอุปกรณ์ในการขายให้พร้อม

ผมมีเหมือนที่ร้านค้าปกติมีทุกอย่าง ผมมีเครื่องให้ทดสอบสินค้า มีชั้นวางของให้เลือกมากมาย มีขายเป็นแพ็คเกจ มีโปรโมชั่นลดราคา ที่โรงเรียนมีทำเลติดแอร์ให้ผม และที่สำคัญผมมีลูกค้าหลายร้อยคนรอซื้ออยู่ในโรงเรียน

แต่การขายครั้งแรก ผมเจ๊งไม่เป็นท่า

วันนั้นผมจำได้ดีเลยว่าผมขายแผ่นเกมส์ (สำหรับเครื่อง Playstation) เพราะผมชอบเล่นเกมส์ ไม่ต่างจากเด็กคนอื่นๆในโรงเรียน ผมจึงเลือกสิ่งที่ชอบไปขาย แล้วหวังว่ามันคงจะขายได้ น่าจะขายดี

ในวันนั้นมีร้านค้าของเพื่อนๆหลายร้าน ร้านของผมมีคนแวะมาดูมากมาย แต่....

....ไม่มีคนซื้อเลย

เวลาผ่านไป ผมเลยนึกย้อนกลับไปทบทวนว่า ตอนนั้นมันเกิดอะไรขึ้น(วะ)




ความผิดพลาดประการแรก คือ วันนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่า แผ่นเกมส์ที่ผมเอาไปขาย คนอื่นจะมีเครื่องเล่นเกมส์แบบผมหรือเปล่า

วันนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่า เพื่อนๆจะต้องการมันหรือเปล่า วันนั้นผมหาสินค้าก่อนหาลูกค้า ผมไม่ได้สอบถามความต้องการลูกค้า ไม่ได้ปรึกษาใครทั้งสิ้น ใช้เพียงความชอบตัวเองล้วนๆ ทั้งๆที่ยังไม่มีประสบการณ์

วันนั้นผมไม่เคยรู้เลยว่า การจะขายของสักอย่างต้องทำอย่างไร เทคนิคการขายที่ดีคืออะไร ไม่ได้ศึกษาและไม่ได้เตรียมตัวให้ดีพอ สิ่งที่ทำวันนั้นมีเพียง เปิดร้านแล้วรอให้คนเดินเข้ามาหา

วันนั้นผมซื้อของจากร้านค้าปลีก เพื่อนำไปขายปลีก(กว่า) เปรียบเหมือนกับซื้อของในห้าง แล้วเอาไปขายที่ตลาดนัด มันจะไม่เจ๊งได้ไง จริงมั้ย??

วันนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่า อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะเป็นช่วงสอบปลายภาค แล้วใครจะมาสนใจหรือหมกมุ่นอยู่กับเรื่องเกมส์ มากกว่าการเตรียมอ่านหนังสือสอบละ

ประการสุดท้ายที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด คือ วันนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่า สิ่งที่ผมขายกับเงินที่เพื่อนได้มาโรงเรียน มันคิดเป็นสัดส่วนเท่าไร

กลับมานั่งคิดก็ตลกดี วันนั้นผมได้เงินไปโรงเรียน 50 บาท (คนที่ได้มากที่สุดน่าจะ 100 บาทต่อวัน) ผมกลับตั้งราคาขายเกมส์แผ่นละ 40 บาท ซึ่งนั้นคิดเป็นเงินเกือบทั้งหมดที่ผมได้ไปโรงเรียนในหนึ่งวัน เท่ากับว่า วันนั้นผมจะไม่ได้ซื้ออะไรกินเลย นอกจากกินอาหารกลางวันของโรงเรียนเท่านั้น และถ้าผมต้องกลับบ้านเอง เท่ากับว่า ผมอาจจะต้องเดินกลับบ้าน เพราะไม่มีเงินเหลือพอสำหรับค่ารถ

ณ ตอนนั้นผมได้สังเกตว่า ร้านค้าของเพื่อน ที่คนซื้อเยอะ คือ ร้านที่ขายของราคาถูก 5-10 บาท ซึ่งน่าจะเหมาะกับเด็กวัยประถม และร้านที่ให้เช่าทรัพย์สิน คือร้านเกมส์ที่ให้เช่าเล่น ตาละ 5 บาท

ช่วงเวลาท้ายของการขาย ผมจึงพยายามอัดโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถม ในราคา50% หรือ ซื้อ 1 แถม 1 เหลือ 20 บาท ยอมขายขาดทุน แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ

วินาทีสุดท้าย ผมจึงปล่อยหมัดเด็ด ด้วยการประกาศแจกฟรี...

...แต่ไม่ทันการ

แม้จะขายได้บ้าง แจกฟรีไปบ้าง แต่มันก็สายเกินไป เพราะเวลานั้นทุกคนต่างทยอยกลับบ้านกันแล้ว เหลือเพียงเพื่อนๆที่กำลังเก็บร้าน เพื่อคืนห้องเรียนให้โรงเรียน

สุดท้ายผมต้องเดินคอตก แบกของที่เหลือกลับบ้านครึ่งต่อครึ่ง

บทเรียนที่สำคัญที่สุดจากครั้งนี้ คือ วันนั้นเงินลงทุนทั้งหมดหลักพัน ผมขอพ่อขอแม่มา ซึ่งเราต่างรู้กันดีว่าไม่ต้องใช้คืน ทำให้ผมบ้าเลือดลงมือทำไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง และไม่ได้ขอคำปรึกษาจากใครใดๆเลย

บทเรียนนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมมักจะนึกถึง เมื่อมองย้อนกลับไปที่โรงเรียนประถม

บทเรียนนี้ได้นำพาผมไปสู่การขายครั้งต่อไป... แต่จะเป็นยังไง To be continue...แก้จน ต้องขายเป็น(ตอนที่2/4)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น