วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2562

ยุด 4.0

สมัยรัฐบาลนายกฯทักษิณ มีนโยบายแจก Tablet ให้เด็กนักเรียน

บางคนบอกว่าจะทำให้เด็กติดเกมส์ บางคนบอกว่าจะทำให้เด็กเสียการเรียน บางคนบอกว่าจะทำให้สายตาสั้น

ในทางกลับกันก็มีคนบอกว่า จะทำให้เด็กรู้เท่าทันเทคโนโลยี่ สามารถใช้เป็นสื่อการสอนสมัยใหม่ และก้าวหน้าทันอารายะประเทศในอนาคต

จะดีไม่ไดี คงอยู่ที่วิธีคิด วิธีใช้ ความเหมาะสมและพอดี

ผ่านมาไม่กี่ปี เทคโนโลยีต่างๆทั้ง Hardware และ Software ถาโถมเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของเรา แบบรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้าง

ณ ปี 2019 แทบทุกบ้านในประเทศไทย น่าจะมี Smartphone หรือ Tablet กันถ้วนหน้าไม่ต่ำกว่า 95%

เด็กตัวเล็กตัวน้อยตั้งแต่อายุ 1 ขวบขึ้นไป ใช้ smart phone สำหรับดูหนังดูวีดีโอ กันเป็นเรื่องปกติ เด็กจะสามารถปรับตัวกับเทคโนโลยี่สมัยใหม่และสิ่งแวดล้อมต่างๆได้อย่างรวดเร็ว

ผู้ใหญ่ต่างหากที่ปรับตัวช้า และบางครั้งช้าเกินกว่าจะเท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก

การจะเปลี่ยนประเทศจากยุค 2.0 ก้าวข้ามไปเป็นประเทศไทยยุคดิจิทัล 4.0 จึงไม่ใช่เรื่องง่าย (ซึ่งประเทศมหาอำนาจกำลังก้าวไปสู่ยุค 5.0)

วิธีหนึ่งที่จะทำให้สังคมหันมาใส่ใจกับเครื่องไม้เครื่องมือเทคโนโลยี และใช้ประโยชน์จากมัน คือ ต้องหาช่องทางที่เขาใช้มันแล้ว เขาได้เงินด้วย (ไม่ใช่เสียเงินอย่างเดียว)

ถ้าเขาได้เงิน แน่นอนว่าเขาจะต้องศึกษาหาความรู้ มองหาช่องทางที่จะทำเงินจากมันได้มากขึ้น และนั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นสู่สังคมยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

โดยการเริ่มต้นจากเรื่องที่ทุกคนใช้แทบทุกวัน คือ การจราจร หรือ การใช้รถใช้ถนน

กรมขนส่ง / กรมตำรวจ ต้องใช้วิธีคิดแบบ start up

ระดมคนเก่งระดับประเทศ ระดับโลก ร่วมลงทุนพัฒนาแอพพลิเคชั่นให้ประชาชนอัพโหลดรูปผู้กระทำความผิดและป้ายทะเบียนรถ แบบที่ถูกจับปรับความเร็วนั่นแหละ

เริ่มจากความผิดที่มีหลักฐานเห็นได้อย่างชัดเจน เช่น คุยโทรศัพท์ขณะขับรถ ปาดเข้าคอสะพาน รถบรรทุกขับเลนขวา เป็นต้น

คนที่จับได้ก็จะได้เงินเป็นส่วนแบ่ง (สินบนนำจับ) เช่น 10% ของเบี้ยปรับ (500 ก็จะได้ส่วนแบ่ง 50) และสะสมเป็นคะแนนพลเมืองดี เพื่อประโยชน์ในอนาคต

บางคนอาจคิดว่าไปนั่งเฝ้าคอสะพาน อาจหาเงินได้วันละ 2000 บาท ซึ่งแสดงว่าคนที่ทำผิดแบบนั้นประจำและไม่เคยถูกตำรวจจับ ก็จะทำพฤติกรรมแบบเดิมไม่ได้ เพราะจะมีตาวิเศษ(ของจริง)ที่แอบจับจ้องอยู่ทั่วประเทศ วินัยการจราจรของแต่ละคนก็จะสูงขึ้น

ส่วนคนที่ถูกจับก็จะถูกตัดคะแนน มีเบี้ยปรับ(แบบสรรพากร)หากไม่ชำระภายในกำหนด และมีผลต่อการต่อทะเบียนและใบอนุญาตขับขี่

แต่ถ้าส่งข้อมูลเท็จเข้าระบบ ก็จะถูกตัดคะแนน และตัดสิทธิ์การใช้ในอนาคต

ทุกคนก็ต้องเรียนรู้วิธีถ่ายภาพที่หาเงินได้ เรียนรู้วิธีอัพโหลดรูป และวิธีใช้แอพพลิเคชั่น ซึ่งอาจต่อยอดไปสู่การเรียนรู้และพัฒนาสิ่งใหม่ๆในอนาคตได้

ในระยะยาวตำรวจจราจรอาจถูก disrupted การเขียนใบสั่งอาจไม่มีอีกต่อไป ตำรวจสามารถลดขนาดองค์กรของตัวเองลง หรือผันตัวเองไปทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ด้วยระบบนี้ เราอาจไม่จำเป็นต้องมีการจัดซื้อจัดจ้างติดตั้งกล้อง CCTV หลายพันล้าน ไม่ต้องทรมานพี่น้องตำรวจตากแดดตากฝนทุกวี่ทุกวัน ไม่ต้องจ้างจ่าเฉยมายืนเฝ้าสี่แยก

ในอนาคตอาจต้องให้บริษัทรถยนต์ติดตั้งกล้องเป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่งที่มากับรถ เหมือนเข็มขัดนิรภัยก็ได้

การเรียนรู้ซ้ำไปซ้ำมาของเครื่องจักร หรือ Machine Learning จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบนี้ ทำให้ความแม่นยำของข้อมูลและหลักฐานความผิดมีมากขึ้น

ไม่เพียงแต่ประชาชนจะหันมาเรียนรู้วิธีการใช้งานและการทำเงินจากโลกออนไลน์มากขึ้น

ภาครัฐเองก็ต้องปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล มีวิธีคิดแบบกลับทิศ พัฒนาแอพพลิเคชั่นให้ทันสมัย หาเงินเข้ารัฐได้มากขึ้น โดยมีรายจ่ายน้อยลง และกระจายรายได้โดยตรงถึงมือประชาชน

หากมีการเริ่มต้นที่ประสบความสำเร็จ กระแสสังคมที่ตามมาจะกดดันจากล่างขึ้นบน ถ้าประชาชนปรับตัวสู่ยุค 4.0 แล้ว ภาครัฐจะยังล้าหลัง เช้าชามเย็นชามอยู่ก็คงไม่ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น