วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560

รับมือน้ำท่วม 'เพราะน้ำ คือชีวิต'

เพราะกรุงเทพเป็นเมืองสบายๆ คนไทยหลายคนแซ่หยวน เลยเกิดเป็นปัญหาพอกพูนสะสม ที่เห็นได้ชัดคือ สายโทรศัพท์ สายอินเทอร์เน็ต ที่ห้อยระโยงระยาง ซึ่งไม่แน่ใจว่าถึงครึ่งหนึ่งหรือไม่ที่เป็นสายที่ชำรุด ไม่ได้ใช้งานแล้ว แต่มันก็ถูกม้วนปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นอย่างง่ายๆ

ปัญหาเรื่องน้ำหรือแหล่งน้ำที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนทุกครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยน้ำเสียจากโรงงาน การทิ้งเศษอาหารลงท่อระบายน้ำ การซักผ้าในแม่น้ำลำคลอง ฯลฯ

ในระยะหลัง ดูราวกับปัญหาน้ำท่วมขังจะเป็นปัญหาใหญ่ขึ้นทุกปีๆ

ผลพวงจากการขยายตัว เติบโต และพัฒนาการของเมืองหลวง ทำให้มีการก่อสร้างทั้งคอนโด หมู่บ้าน และสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่อื่นๆ

อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เหล่านี้มีส่วนอย่างมาก ต่อปัญหาน้ำท่วมขัง รอการระบายในกรุงเทพ ไม่ว่าจะเป็นการถมที่ทับที่ลุ่มรับน้ำเดิม การก่อสร้างขวางทางระบายน้ำ เป็นต้น

ในเมื่อเราไม่อาจต้านทานกระแสโลกแห่งการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของเมืองหลวงแห่งนี้ ที่มีประชากรหลั่งใหลเข้ามาเพิ่มขึ้น (Urbanisation & Megacity) เราจึงต้องหาทางออกเพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างผาสุข

ในบางประเทศมีข้อบังคับให้อสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ต้องสร้างบ่อกักเก็บน้ำไว้ใต้ดิน เพื่อรองรับน้ำในฤดูฝน แล้วค่อยๆทยอยระบายออกไปในหน้าแล้ง

ลักษณะเหมือนกับแก้มลิง หรือถ้าจะให้เห็นภาพชัดเจน คงเปรียบได้กับการนำที่จอดรถชั้นใต้ดินของแต่ละอาคารสูง มากักน้ำในหน้าฝน

ข้อบังคับเช่นนี้ดูเข้าท่าเอามากๆ เพราะเมื่อผู้ประกอบการเอกชนได้หาประโยชน์ในเมืองนี้ ฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับชุมชนรอบข้าง เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างผาสุข

ถ้ามีระเบียบแบบนี้เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ปัญหาน้ำท่วมขังในกรุงเทพน่าจะถูกบรรเทาไปได้เกือบ 100%

โครงการขนาดใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามแนวถนนพระราม 4 ของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย สามารถริเริ่มเป็นแนวทางการปฏิรูปกฎหมายของประเทศที่ประชาชนจะแซ่สร้องสรรเสริญ เห็นผลเป็นรูปธรรมได้ทันที เพราะกฎหมายลักษณะนี้บังคับใช้กับผู้มากทรัพย์และบารมี ซึ่งเห็นได้น้อยมากตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมา




ล่าสุดมีนวัตกรรมพื้นถนนทำจากวัสดุพิเศษสามารถซึมซับน้ำได้ แต่ราคาน่าจะสูงลิบลิ่ว จึงอาจไม่เหมาะกับเบี้ยน้อยหอยน้อยแบบบ้านเราเท่าไรนัก

ภาครัฐจึงต้องเร่งสร้างอุโมงค์ยักษ์ใต้ดิน ซึ่งใช้เงินลงทุนมหาศาล แต่ก็คุ้มค่าถ้าสามารถบรรเทาปัญหาน้ำท่วมขังให้กับเมืองหลวงที่เป็นหน้าเป็นตาของประเทศแห่งนี้ได้

ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นสำหรับภาพรวมของประเทศ การกักน้ำไว้ใต้ดินไม่ว่าจะเป็นของเอกชนหรือในอุโมงค์ยักษ์ แล้วเมื่อถึงหน้าร้อนฝนแล้ง ก็สามารถวางแผนจัดการส่งน้ำเหล่านั้น ไปถึงในบึงถึงในบ่อของสถานีจ่ายน้ำตามชนบทที่มักจะประสบภัยแล้งทุกปีๆ

มันน่าแปลกใจไหมว่าบ้านเมืองนี้ พอเข้าหน้าฝนก็น้ำท่วม พอเข้าหน้าร้อนก็น้ำแล้ง เกิดมา 20 กว่าปี มันเป็นอย่างนี้ตลอด ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดในโลกธุรกิจ คือ เจ๊ง เพราะในช่วงที่คนไม่ต้องการซื้อ กลับมีสต็อกสินค้าบานเบอะ แต่พอความต้องการสูงๆ กลับไม่มีของจะขาย นี่มันโดนทั้งขึ้นทั้งร่อง คือเงินจมต้องจ่ายดอกเบี้ย และก็ขาดรายได้




แต่เหตุการณ์ลักษณะนี้มันน่าจะมีวิธีบริหารจัดการได้มิใช่หรือ

ถ้าพื้นที่ไหนที่น้ำท่วมขังสามารถช่วยเก็บกักน้ำได้ปริมาณมากตอนหน้าฝน แล้วหากมีความจำเป็นในการปรับปรุงคุณภาพน้ำนั้นก่อนการกระจายไปสู่ไร่นาในหน้าแล้ง คงมีวิธีที่ผู้เชี่ยวชาญสามารถให้ความรู้ ให้ความร่วมมือได้ไม่ยาก ตราบเท่าที่คุณภาพการใช้ชีวิตของประชาชนทั้งในเมืองและในชนบทได้รับการพัฒนา

บางทีต้องกลับมาคิดเหมือนกันว่า ในขณะที่เอกชนถูกบังคับให้ต้องมีบ่อบำบัดน้ำเสียจากโรงงาน แล้วในฐานะรัฐ หากจะมีสถานีบำบัดน้ำประจำจังหวัดเพื่อให้น้ำกลับมาอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้ ช่วยชาวบ้านให้สามารถทำมาหากินได้ แทนการให้ความช่วยเหลือประปรายตามระบบอุปถัมภ์ มันจะคุ้มค่ากว่าไหม

ประเทศไทยไม่สามารถหลีกพ้นปัญหา 'น้ำท่วมน้ำแล้ง' ตามที่เขาแข่งกันโฆษณาชวนเชื่อมาหลายสิบปีได้เลย ถ้าหากยังทำแบบเดิมๆแต่หวังผลที่แตกต่าง ในขณะที่สภาพแวดล้อมก็เลวร้ายลง

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ภัยใกล้ตัวของชาวกรุงเทพ

เช้าวันที่ 19/06/2560 เกิดเหตุไม่(เกิน)คาดฝัน หญิงท้อง 6 เดือน ตกรางรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์เสียชีวิต ครั้งนี้คงจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย ถ้าผู้มีอำนาจยังไม่เหลียวแล

ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้มีข่าวใหญ่โต เด็กไทยตกรางรถไฟฟ้าที่สิงค์โปร์ จนต้องสูญเสียขาไปตลอดชีวิต

เป็นเรื่องน่าเศร้า ที่เชื่อว่าเราป้องกันได้


การตกลงไปในรางรถไฟมีหลายสาเหตุ 
1.ฆ่าตัวตาย
2.หน้ามืดเป็นลม
3.อุบัติเหตุสะดุดล้ม
4.โดนเบียดและดันจากด้านหลัง
5.เจตนาผลักให้ตก (ฆาตกรรม)

ซึ่งแผงกั้นระหว่างรางรถไฟกับชานชาลาสามารถป้องกันเหตุได้เกือบ 100%

ปัจจุบันมีเพียงบางสถานีที่ทำผนังกระจกกั้นระว่างรางรถไฟกับสถานีเรียบร้อยแล้ว

เพราะเป็นที่รู้กันดีว่า จำนวนคนใช้รถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นๆ ในขณะที่ชานชาลาไม่สามารถขยายให้กว้างออกไปได้

สถานีบางแห่ง บางช่วงมีทางเดินกว้างไม่ถึง 2 เมตร ซึ่งในเวลาเร่งด่วนที่มีคนใช้บริการจำนวนมาก จะเกิดความแออัดและอาจเกิดอุบัติเหตุรุนแรงเช่นนี้ได้

จริงอยู่ที่รถไฟฟ้าบริหารงานโดยเอกชน การลงทุนแผงกั้นระหว่างรางกับชานชาลา ไม่ได้สร้างรายได้เพิ่มขึ้นให้กับบริษัท พูดอีกนัยหนึ่งคือว่า จะมีหรือไม่มี คนก็ต้องใช้บริการเหมือนเดิม

เพียงแต่อาจจะประหยัดค่าจ้าง รปภ. บนสถานีไปได้ส่วนหนึ่ง

แต่ในมุมมองของรัฐหรือผู้ดูแลบ้านเมือง ที่มีหน้าที่จะต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดีขึ้น ไม่ใช่ผจญภัยอันตรายทุกเช้าเย็นเช่นนี้

เพราะฉะนั้นจึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐจะต้องหาโมเดลในการป้องกัน เพื่อให้การตกลงไปในรางรถไฟวันนี้เป็นเหตุการณ์ครั้งสุดท้าย

อาจจะหารือให้ BTS เร่งสร้าง แล้วหารือผู้เช่าโฆษณาให้ BTS มีรายได้เพิ่มขึ้นจากส่วนนี้

หรือเป็นคนกลางให้บริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ลงทุนสร้างแผงกั้น แล้วให้สิทธิ์ในพื้นที่โฆษณาตามสัดส่วนเวลาที่เหมาะสม เป็นต้น

เหตุการณ์วันนี้คงไม่เกิดขึ้น ถ้าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผู้มีอำนาจมีประสบการณ์ต้องใช้บริการรถไฟฟ้าทุกวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน ที่ประชาชนถูกเปลี่ยนเป็นปลากระป๋องในรถไฟฟ้า

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นหนุ่มสาว ที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติในยุคสังคมสูงวัยที่กำลังจะมาถึง

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ



วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

ทำไม...'การเมือง'ไทยถึง'ล้มเหลว'

ทุกคนคงเคยได้ยินข่าวบริษัทการบิน ที่ได้ชื่อว่าเป็นที่ของลูกหลานท่านๆ... คงเคยได้ยินข่าวลือผ่านหูว่าจะเข้าไปทำงานที่นั่น ต้องมีเส้นสายไม่น้อยไปกว่าความสามารถ จริงหรือไม่ไม่อาจทราบได้ แต่ผลลัพธ์อาจแสดงออกมาตามตัวเลขผลประกอบการของกิจการ

คงไม่ต่างอะไรนักกับที่ของการเมือง จะเข้าไปทำงานในนั้น ถ้าเป็นลูกเป็นหลานเป็นญาติพี่น้อง ก็เข้าไปมีตำแหน่งอำนาจได้ เสมือนหนึ่งรถไฟความเร็วสูงขึ้นทางด่วน

ทีนี้ลองดูองค์กรชั้นแนวหน้าที่ประสบความสำเร็จกันบ้าง กว่าจะรับคนเข้าทำงานด้วยสักคน จะต้องมีการคัดกรองมาเป็นอย่างดี

1.ต้องดูประวัติ ประสบการณ์ ความสามารถ
2.ต้องสอบข้อเขียน
3.ต้องวัด EQ
4.ต้องสอบสัมภาษณ์ รอบที่ 1
5.ต้องสอบสัมภาษณ์ รอบที่ 2....

และเมื่อผ่านการคัดเลือกแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายจะต้องหาคนมาค้ำประกันเพื่อรับรองว่าคนนี้จะไม่สร้างความเสียหายต่อองค์กรในอนาคต

ที่สำคัญถ้าองค์กรไหนมีงานหลายประเภท เช่น พัฒนาคุณภาพมนุษย์ จัดระบบการการศึกษา บริหารการเงิน ดูแลกฎหมายความยุติธรรม ฯลฯ

คงไม่มีองค์กรประสบความสำเร็จไหน จะรับคนจากสายอาชีพเดียวค่อนบริษัท เพื่อมาดูแลงานเกือบทั้งหมดขององค์กร

ในทางตรงกันข้าม คงจะต้องใช้คนให้ถูกกับงาน และเลื่อนขั้นกันตามความสามารถ มิใช่ความสัมพันธ์เสมอไป

แต่การเมืองมีความสลับซับซ้อน ต่างคนต่างมีศักดิ์มีศรี มีอำนาจ มากบารมี ความสำเร็จอาจต้องวัดกันด้วยความนิยม ใช่ความสามารถไม่

'ปฏิรูปการเมือง แล้วการเมืองจะปฏิรูปทุกอย่างเอง'

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันพฤหัสบดีที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2560

การชุมนุม ในอุดมคติ (Ideal Movement)

หลังจากที่นายกลุงตู่ ตั้งคำถาม 4 ข้อใหญ่ๆ ให้กับสังคมได้คิด เกี่ยวกับการเมืองหลังยุคปฏิวัติ คสช.

ถ้าคุณเป็นคนไทย คงอดสังหรณ์ใจไม่ได้ว่า ทุกอย่างจะวนกลับสู่วงจรอุบาทว์ เหมือนเคย

วงจรที่ว่า คือความชุลมุนในบ้านเมืองจากการชุมนุมของทุกพรรคทุกสี สลับกันไปสลับกันมา

ทุกครั้งที่มีการชุมนุมจะมีกิจกรรมให้เราได้ประหลาดใจอยู่เสมอ เช่น 'มีอาหารดี ดนตรีไพเราะ' มีการใช้อุปกรณ์มือตบ ตีนตบ มีเพลงปลุกใจประจำสี ต่างๆนาๆ

การชุมนุมที่ดูจะใหญ่โตที่สุด ก็มาในยุคหลังสุดของ กปปส. แต่นอกจากการเป่านกหวีดแล้ว การเคลื่อนไหวก็ไม่ได้ creative ต่างจากครั้งอื่นๆมากสักเท่าไร




ผมกังวลเหลือเกินว่าการชุมนุมในอนาคต จะมีใครไหม?? สร้างสรรค์วิธีการสร้างความวุ่นวาย ที่พอจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม เช่น

แทนที่จะเป็นการปราศรัยทั่วไป  ทำไมแกนนำไม่รณรงค์ให้คนไทยแสดงออก ด้วยการปิดไฟประท้วง ทุกวันเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แต่เปิดทีวีดูการถ่ายทอดจากเวที

แทนที่จะเป็นการปราศรัยทั่วไป  ทำไมแกนนำไม่ประท้วงโดยการเชิญชวนให้พ่อค้าแม่ค้าร่วมจัดนิทรรศการขายของลดราคาให้ประชาชน และเชื้อเชิญให้ชาวบ้านมาอุดหนุน ช้อปปิ้งของถูกไปฟังปราศรัยไปเพลินๆดี

แทนที่จะเป็นการปราศรัยทั่วไป  ทำไมแกนนำไม่เสนอให้มีการปลูกต้นไม้ประท้วงให้ครบ 1 ล้านต้น แทนที่จะเอาน้ำมันมาคนละ 1 ลิตร เปลี่ยนเป็นเมล็ดพันธ์คนละ 1 ชนิด ดีกว่าไหม

แทนที่จะเป็นการปราศรัยทั่วไป  ทำไมแกนนำไม่ริเริ่มให้ทำการบริจาคเลือดประท้วง หรือจะผลัดกันเดินขบวนไปที่สภากาชาติเพื่อบริจาคโลหิตทุกวัน ดีกว่าการเดินไปสาดโลหิต ที่มีแต่จะสร้างความเดือดร้อนและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมใดๆเลย

และแทนที่จะถือเพียงนกหวีด  ทำไมแกนนำไม่จัดให้แต่ละคนมีไม้กวาด บุ้งกี๋และถุงดำ ติดไม้ติดมือไปด้วย ถนนทุกสาย คูคลองทุกแห่งที่เดินผ่าน จะได้ถูกปฏิรูปด้วยมือของประชาชนอย่างแท้จริง

แต่ทางที่ดีที่สุดของประเทศ คือการไม่ต้องมาคิดหาวิธีการประท้วงที่สร้างสรรค์ เพราะคนไทยได้พิสูจน์มานับ 10 ปีแล้วว่า การชุมนุมไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนของส่วนรวม

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ