วันพุธที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ทำไมเราควรได้มากกว่านโยบาย 'ช็อปช่วยชาติ'

ปี 2560 กรุงเทพได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีผู้คนมาเยือนมากที่สุดในโลก แต่ไม่สำคัญเท่าการสำรวจว่า กรุงเทพเป็นเมืองที่มีการจับจ่ายใช้สอยของนักท่องเที่ยวมากที่สุดอีกด้วย

เห็นได้ชัดว่ามรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ให้กับประเทศชาตินั้นล้ำค่าขนาดไหน สามารถดึงดูดให้ผู้คนมาเยือนได้มากที่สุดในโลกอย่างต่อเนื่อง

แสดงว่าประเทศนี่ที่เจ้าของประเทศชอบพูดกันว่าไร้ระเบียบ ไร้วินัย หรือแม้แต่ไร้(การบังคับใช้)กฏหมาย ก็ยังเป็นประเทศที่มีศักยภาพด้านกิจกรรมการท่องเที่ยวไม่แพ้ใครในโลก

นี่ขนาดยังไม่ได้มีการออกมาตรการดึงดูดชาวต่าชาติแบบจริงๆจังๆเหมือนกับประเทศญี่ปุ่น

จะมีก็แต่นโยบายช็อปช่วยชาติของรัฐบาล ที่มอบสิทธิการลดหย่อนภาษี 15,000 บาท ให้กับประชาชนคนชั้นกลางที่เสียภาษีบุคคลธรรมดาก็เท่านั้น

ผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงอีกกลุ่มก็คือ ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งทั่วประเทศ ที่มีระบบการออกบิลอย่างถูกต้อง รวดเร็ว ครบถ้วน ซึ่งล้วนแต่มีเศรษฐีและนายทุนเป็นเจ้าของห้าง

ถ้าสามารถสื่อสารผ่านข้อความไปยังผู้ออกนโยบายของรัฐบาลนี้ได้ จะขอบอกว่าเมื่อเขาได้รับประโยชน์นี้มาแล้วหลายปี

ทำไมไม่ให้เขาช่วยสังคมเล็กๆน้อยๆ ขอความร่วมมือให้ประกาศประชาสัมพันธ์และทำป้ายตั้งอยู่ทุกทางขึ้น-ลงบันใดเลื่อนในห้าง

เริ่มต้นจากการใช้บันใดเลื่อน ให้ยืนฝั่งเดียวกันทั้งหมด จะซ้ายหรือขวาก็เลือกเอาอันใดอันหนึ่งให้เหมือนกันหมดทั้งประเทศ

เว้นว่างอีกฝั่งหนึ่งไว้ให้สิทธิกับคนที่กำลังเร่งรีบ จะได้เดินขึ้นไปได้

เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ซึ่งดูผิวเผินอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ประเทศที่มีปัญหาคอรัปชั่นน้อย ประชาชนเขาต่างก็เลือกยืนบนบันใดเลื่อนฝั่งเดียวกันทั้งนั้น

การลงทุนของห้างสรรพสินค้าเท่านี้ เทียบกันไม่ได้เลยกับกำไรที่เขาได้รับจากนโยบายช่วยชาติของรัฐบาลคุณลุงประยู้ดดด..

ถ้าสามารถเริ่มต้นวินัยง่ายๆแบบนี้ได้แล้ว ผสมรวมกับมกดกทางวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ

เชื่อเหลือเกินว่าไม่เพียงแต่กรุงเทพมหานครเท่านั้น แต่หัวเมืองท่องเที่ยวต่างๆในประเทศไทย ย่อมเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

ทำแบบนี้ได้ สุดท้ายผลประโยชน์ที่ได้รับจะตกอยู่กับคนไทยส่วนใหญ่ไม่ว่าจะรายได้มากหรือรายได้น้อยก็ตามที

วันอังคารที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

ถ้าคุณอยากมีอำนาจ คุณต้องครอบครอง 4 ปัจจัยเหล่านี้

ว่ากันว่ามนุษย์เป็นสัตว์โลกที่อ่อนแอที่สุด

ตั้งแต่เกิดออกมาจากท้องแม่ สัตว์ทุกชนิดจะตะเกียกตะกายดิ้นรนเอาชีวิตรอดได้ด้วยตัวของมันเอง

แต่มนุษย์ เมื่อออกมาจากท้องแม่เป็นทารก ถ้าไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่แล้ว เป็นเรื่องยากที่จะเอาชีวิตรอดและเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ได้

เมื่อเติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ มนุษย์ที่อยู่รอดมาได้ด้วยการเลี้ยงดูเป็นพิเศษ ประกอบกับความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติให้มา ทำให้มนุษย์เกือบจะควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้

เว้นแต่ภัยจากธรรมชาติเสียเอง ที่มนุษย์มิอาจต้านทานได้เท่านั้น

มนุษย์ด้วยกันเองยังแบ่งกลุ่ม แบ่งชนชั้น แบ่งเชื้อชาติ แบ่งพรรค แบ่งพวก

แต่สิ่งที่เหมือนกันของมนุษย์ทั่วโลกตั้งแต่โบราณกาล คือ มนุษย์กลุ่มเล็กๆที่จะสามารถควบคุมมนุษย์อื่นได้นั้น ต้องครอบครองปัจจัยแห่งอำนาจเหล่านี้

ในยุคโรมัน อำนาจที่เบ็ดเสร็จจะขึ้นอยู่กับบุคคลที่ครอบครองปัจจัย 2 ประเภท ได้แก่
1. เงิน (Money)
2. อาวุธ (Weapon)

ในสมัยนี้ อำนาจที่เบ็ดเสร็จจะขึ้นอยู่กับบุคคลที่ครอบครองปัจจัย 3 ประเภท ได้แก่
1. เงิน (Money)
2. อาวุธ (Weapon)
3. ความคิด (Idea)

สำหรับสมัยที่ครอบครัวมีทายาท อำนาจที่เด็ดขาดขึ้นอยู่กับการครอบครองกับปัจจัย 4 ประเภท ได้แก่
1. เงิน (Money)
2. อาวุธ (Weapon)
3. ความคิด (Idea)
4. เสียงทารก (Infant Noise)

ที่ไหนมีเด็กทารกหรือเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถสื่อสารความต้องการของตัวเองให้คนอื่นเข้าใจได้ จะรู้ดีว่าเสียงร้องทารก สามารถทำให้ทุกคนต้องยอมศิโรราบโดยดี

บางทีแล้วในพุทธประเทศที่ยึดศีลธรรมนำทาง หรือในยุคสมัยใหม่ที่เรากำลังเผชิญปัญหาสังคมสูงวัย การครอบครองปัจจัยลำดับที่ 4 อาจทำให้มีพลังอำนาจเหนือกว่าผู้ใหญ่ที่ครอบครอง 3 ปัจจัยแห่งอำนาจข้างต้นก็ว่าได้ เพราะเด็กทารกจะกลายเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุดในอนาคต

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

Japan stories

มีอาจารย์ท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า ใครจะทำธุรกิจอะไร ให้ไปดูงานที่ญี่ปุ่น ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ ให้กลับมาคิดดูใหม่ว่าทำแล้วจะไปรอดไหม

มีอาจารย์อีกท่านหนึ่งบอกว่า ประเทศมีจุดเด่นด้านการให้บริการที่สุดไม่ใช่ไทย แต่เป็นญี่ปุ่น สังเกตได้จากการทักทาย การขอบคุณ ความอ่อนน้อม โค้งแล้วโค้งอีก

ฟังดูแล้วราวกับว่าประเทศญี่ปุ่นดูดีกว่าเมืองไทยแทบจะทุกมิติ

ทุกคนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นจะต้องพบว่า สถานที่แต่ละแห่งเขามักจะสร้างเรื่องราวให้เป็นที่น่าสนใจ (ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ตาม) หรือที่สมัยนี้เรียกกันว่า มีสตอรี่ (story)

ที่วัดดังในกรุงโตเกียว จะมีกระถางธูปที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่าถ้ากวักควันจากกระถางนั้นเข้าหาตัวแล้ว จะมีโชคลาภเข้ามา จะถูกจะผิด จะเชื่อไม่เชื่อ ไม่ทราบได้ แต่คนส่วนมากมักจะต้องไปที่วัดนี้ แม้ฝูงชนจะเบียดเสียดแค่ไหน ต้องเดินเข้าไปให้ถึงกระถางธูปและทำตามนั้น

ที่ภูเขาแห่งหนึ่ง มีไข่ดำที่เกิดจากกำมะถัน เชื่อกันว่าใครได้กินไข่ 1 ฟอง จะมีอายุยืนขึ้น 7 ปี จะถูกจะผิด จะเชื่อไม่เชื่อ ไม่ทราบได้ แต่คนส่วนใหญ่จะต้องไปที่นั่น และกินไข่ดำที่ราคาสูงกว่าท้องตลาดหลายร้อยเปอร์เซนต์

ที่พักในต่างจังหวัด จะมีที่พักแบบวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เรียกว่า 'เรียวกัง' และมีบ่อน้ำแร่ร้อน 'ออนเซ็น' ให้แช่ตัว โดยส่วนมากจะมีบริการระดับ 5 ดาว พนักงานอ่อนน้อมตามแบบฉบับชาวญี่ปุ่นโบราณ บริการพร้อมอาหารสุดหรู และแน่นอนราคาแพงกว่าที่พักทั่วไปหลายร้อยเปอร์เซนต์

ที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งคือ ไข่ลวกของไทยๆ ราคา 10-20 บาท/ฟอง แต่ถ้าพลิกมุมนิดเดียว เป็นไข่(ลวก)ออนเซนแบบญี่ปุ่น ราคาจะแพงขึ้นมาทันที 3-4 เท่าตัว

เนื้อวัวในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นเนื้อที่มีความอร่อยระดับโลก ความนุ่มระดับละลายในปาก มีวิธีการเลี้ยงแบบพิเศษ โดยทั่วไปเนื้อวัวจะเป็น 'เนื้อติดมัน' แต่ที่ญี่ปุ่นเขาเลี้ยงด้วยวิธีพิเศษให้เป็นเนื้อแบบ 'มันติดเนื้อ' และแน่นอนราคาแพงกว่าตลาดทั่วไปหลายร้อยเปอร์เซนต์

ที่กล่าวมาทั้งหมดนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยอมจ่ายราคาสุดแพงโดยดุษฎี

เพราะมันคือเสน่ห์ของ STORY และเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของธุรกิจท่องเที่ยว

จากประสบการณ์ส่วนตัว คงจะบอกได้ว่าร้านอาหารที่อร่อยในญี่ปุ่น จะเป็นร้านที่เล็กๆแคบๆ เจ้าของร้านทำกันเอง และมักจะไม่ใช่ร้านแฟรนไชส์

บางร้านคนยืนต่อคิวเพื่อรอที่นั่งออกมานอกร้าน ตั้งแต่ร้านเปิด 10.30 น. จนเดินผ่านไปอีกที 14.30 น. ตลอด 4-5 ชั่วโมง ก็ยังมีคิวยืนรอยาวเหยียดทั้งๆที่ฝนก็ตกโปรยปราย




ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะร้านแคบ ที่นั่งน้อย หรือลูกค้าอาจมาเกินปริมาณที่ร้านสามารถรองรับได้

ถ้าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นกับนักธุรกิจ แน่นอนว่าจะต้องคิดถึงการขยายร้านเพื่อให้บริการลูกค้าที่มีความต้องการมากขึ้น

เราไม่รู้ว่าชาวญี่ปุ่นคิดแบบเดียวกันหรือไม่ อาจเป็นเพราะข้อจำกัดบางประการทำให้เขาไม่สามารถทำแบบนั้นได้ หรือที่จริงแล้วเขาเพียงแค่ต้องการทำสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีที่สุดอย่างใส่ใจทุกรายละเอียด

นี่คงเป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้คนไทยจำนวนมากชอบเที่ยวญี่ปุ่น

ร้านค้าของชาวญี่ปุ่น จะมีสินค้าวางเรียงรายกันเต็มชั้น ฉลากสินค้ามีรูปและตัวหนังสือใหญ่ๆ สีสันสดใสดูลายตาไปหมด ที่สำคัญร้านค้าจะเปิดไฟสว่างมากทุกดวง เสมือนฟรีค่าไฟ แม้ในตอนกลางวันก็เปิดไฟสว่างมากกว่าคนไทยเปิดไฟในตอนกลางคืน




ยิ่งมีนโยบายดึงดูดนักช้อปต่างชาติ tax-free shop ที่กำหนดการใช้จ่ายขั้นต่ำต่อใบเสร็จที่ 1,500 บาทด้วยแล้ว ยิ่งทำให้สินค้าภายในร้านเป็นที่นิยมของทั้งชาวไทยและชาวจีน

ด้วยนโยบาย กลยุทธ์ คุณภาพผลิตภัณฑ์ เอกลักษณ์ ประเพณี และความใส่ใจทุกรายละเอียดของชาวญี่ปุ่น ส่งผลให้ธุรกิจการค้าของคนญี่ปุ่นได้ประโยชน์ไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมา ไม่มีอะไรที่อยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ที่คนไทยจะทำบ้างไม่ได้

ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเราเสริมนโยบายที่ให้สิทธิพิเศษและความมั่นใจกับนักท่องเที่ยวด้วยแล้ว คงยากที่ประเทศไทยจะไม่เป็นอันดับหนึ่งในจุดหมายปลายทางของชาวต่างชาติทั่วโลก โดยเฉพาะลูกค้าระดับคุณภาพที่เรากำลังหมายปอง

เปรียบเทียบ การท่องเที่ยวไทย vs. ญี่ปุ่น

ประเทศญี่ปุ่น ถือว่าเป็นสถานที่ยอดฮิตอันดับต้นๆของคนไทย หลังจากที่รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศยกเลิกการขอวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย เพื่อเป็นปัจจัยหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่น ที่มีแนวโน้มซบเซาต่อเนื่องมาระยะหนึ่ง

ประกอบกับธุรกิจสายการบินมีการแข่งขันสูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของ low-cost airline ทำให้ค่าโดยสารโดยเฉลี่ยต่ำลง คนจำนวนมากสามารถเข้าถึงบริการได้ไม่ยากนัก

ในปี 2016 คนไทยที่ไปญี่ปุ่นประมาณ 1,000,000 คน ถ้าคิดคร่าวๆขั้นต่ำว่า ค่าใช้จ่ายต่อคน เท่ากับ 40,000 บาท ประเทศซามูไรจะได้รับเงินจากคนไทย ปีละประมาณ 40,000 ล้านบาท

ไม่นับรวมประเทศจีน เกาหลี ใต้หวัน อเมริกา ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปแดนอาทิตย์อุทัยมากกว่าคนไทยหลายเท่าตัว

ด้วยเหตุนี้ ใครที่ได้เดินทางไปญี่ปุ่นจะพบว่า ธุรกิจการค้าของเขาดูคึกคัก โรงแรมใกล้สถานีรถไฟจะถูกจองเต็มล่วงหน้าหลายเดือน ผู้คนดูหนาแน่นไปทุกหนทุกแห่ง ร้านค้าจะต้องมีป้ายกำกับหลากหลายภาษา ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น จีน ฝรั่ง รวมถึงภาษาไทย

ข้อมูลของ JTB tourism research ปี 2016 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศญี่ปุ่น 24 ล้านคน ส่วนประเทศไทยในปีเดียวกัน มีชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในแผ่นดินประมาณ 32 ล้านคน

ส่วนต่างนักท่องเที่ยวของทั้งสองประเทศคิดเป็นร้อยละ 25 โดยที่แผ่นดินไทยมีพื้นที่ 513,000 ตร.กม. ซึ่งกว้างใหญ่กว่าแผ่นดินญี่ปุ่นที่มีพื้นที่เพียง 377,000 ตร.กม. คิดเป็นประมาณร้อยละ 26.5 ซึ่งเปรียบเทียบระหว่างข้อมูลทั้ง 2 แล้วใกล้เคียงและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ส่วนประมาณการณ์รายได้ที่ประเทศและคนไทยจะได้รับจากนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยอยู่ที่ 1.6 ล้านล้านบาท ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นจะมีรายได้ดังกล่าวประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท เทียบเป็นส่วนต่างโดยประมาณร้อยละ 31 แสดงว่าการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวในประเทศไทยนั้นดีกว่าญี่ปุ่นเล็กน้อย

*ข้อมูลโดยประมาณ2016
ไทย
ญี่ปุ่น
ส่วนต่าง ร้อยละ (%)
พื้นที่ (ตร.กม.)
513,000
377,000
26.5%
จำนวนนักท่องเที่ยว (ล้านคน)
32
24
25%
รายได้จากนักท่องเที่ยว (ล้านล้านบาท)
1.6
1.1
31%
การใช้จ่ายต่อหัว (บาท)
50,000
45,800
8.4%

จากข้อมูลดิบข้างต้นจะเห็นได้ว่า ในแง่ของปริมาณและคุณภาพของนักท่องเที่ยวแล้ว ประเทศไทยทำได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่าประเทศญี่ปุ่นในทุกด้าน ทั้งๆที่โครงสร้างพื้นฐานของเรายังตามหลังเขาอยู่มากหลายสิบปี

ทางการและผู้มากข้อมูลมักจะบอกว่า ประเทศไทยไม่สามารถรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากกว่านี้ได้ แต่จะต้องเน้นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น คือ นักท่องเที่ยวรายได้สูงและพร้อมที่จะใช้จ่ายสูง ไม่ใช่จะเข้ามาใช้ประโยชน์จากทรัพยากรของประเทศเพียงอย่างเดียว

ตรงนี้ต้องบอกว่าเห็นด้วยส่วนหนึ่ง ในขณะที่อีกด้านหนึ่งคงไม่ง่ายที่จะหานักท่องเที่ยวคุณภาพได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในเมื่อเขาเหล่านั้นมีทางเลือกอีกร้อยกว่าทาง และเราไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่จะเป็นจุดดึงดูดให้เขารู้สึกว่าพลาดไม่ได้

เพราะฉะนั้น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคให้ได้ใกล้เคียงกับประเทศญี่ปุ่นเมื่อไร ด้วยวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติศาสตร์ ความสะดวก และราคาสบายกระเป๋า ประเทศไทยจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้น และสามารถสร้างรายได้หมุนเวียนให้กับธุรกิจของชาวไทยได้อีกมาก

ในมุมของเอกชน เขาน่าจะปรับตัวล่วงหน้าพร้อมต้อนรับลูกค้าของเขาไปพอสมควรแล้ว หวังแต่เพียงภาครัฐที่หยุดชะงักมานับ 10 ปี จะได้เร่งพัฒนาโครงสร้างสาธารณะอย่างต่อเนื่อง ไม่เป็นเหมือนทศวรรษที่สูญหายไปดังที่ผ่านมา

ทั้งนี้รวมถึงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ระบบการขนส่งโดยสาร ระบบการดูแลความสงบเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ และการสร้างสตอรี่ (story) ให้นักท่องเที่ยวหลงใหลในการเดินทางมาเยือนประเทศไทย (ซึ่งจะได้เขียนในตอนต่อไป)