วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ยกเลิกขนส่งมวลชน คืนถนนให้คนใช้รถยนต์ จริงหรือ??



มีข่าวไม่ค่อยดีออกมาว่า กทม. จะขอยกเลิกรถขนส่งสาธารณะ BRT (Bus/Bangkok Rapid Transit) ที่เชื่อมต่อจากสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ไปฝั่นธนฯ ในเดือนเมษายน 2560

ความคิดดังกล่าว บอกได้ว่าเป็นความโบราณ คร่ำครึ และล้าสมัยมาก ที่จะยกเลิกระบบขนส่งมวลชน เพื่อคืนถนนให้รถยนต์ส่วนบุคคล

BRT จะมีเลนถนนที่ใช้ก้อนปูนกั้นไว้โดยเฉพาะ แยกออกจากเลนรถส่วนบุคคล 

ที่จริงแล้วถ้าใครเคยไปต่างประเทศ เขาไม่จำเป็นต้องกั้นถนนเลย เพียงแค่คนขับรถยนต์รู้ว่าเป็นเลนของรถสาธารณะ คนขับรถทุกคันก็จะไม่ล้ำเส้นไป



ข้อดีของรถBRT คือราคาถูก ระบบจำหน่ายตั๋วสะดวก เชื่อมโยงกับBTS และรถไม่ติด

แต่สำหรับผู้ใช้บริการครั้งแรก รถคันที่ขึ้นไปไม่มีบอกว่าถึงป้ายไหนแล้ว ไม่มีประกาศจากพนักงานขับรถ ต้องอาศัยถามคนข้างๆเพื่อเอาตัวรอด และรู้สึกได้ว่าป้ายน้อยมาก ไม่เหมาะสมกับการกระจายตัวของชุมชนเมือง

เมื่อปีที่แล้วได้ใช้บริการ BRT ราคา 5 บาทตลอดสาย (ไม่ใช่ช่วงโปรโมชั่น) ก็ยังคิดเล่นๆว่าเก็บราคานี้จริงหรือ เหมือนให้ทดลองนั่งฟรี

ไม่แปลกใจเลยที่บอกเหตุผลการยกเลิกว่า แบกภาระขาดทุนวันละ 500,000 บาท

สมมติถ้าขึ้นราคาเป็น 10 บาท ก็จะขาดทุนลดลงครึ่งหนึ่งทันที ซึ่งคงไม่ส่งผลต่อผู้ใช้บริการมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับค่าครองชีพอื่นๆของคน กทม.

แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า อะไรก็ตามถ้า 'รัฐ' เข้ามาบริหารงานเอง นอกจากจะแข่งขันกับเอกชนไม่ได้แล้ว ยังมีโอกาสเกิดทุจริตคอรัปชั่นมากขึ้นไปด้วย

เพราะหน้าที่ของรัฐไม่ใช่มาทำธุรกิจแบบเอกชน แต่รัฐต้องอำนวยความสะดวก สนับสนุน และควบคุม เพื่อให้เอกชนทำธุรกิจได้อย่างราบรื่น และเป็นธรรมกับสังคม

ทางออกของปัญหารถ BRT จึงไม่ได้มีแค่ 1.ทำขาดทุนต่อ หรือ 2.ยกเลิกทั้งหมด

แต่มันมีทางเลือกที่ 3 4 5 เช่น ปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการ ให้สัมปทานเอกชน ทำให้รัฐไม่ขาดทุน และประชาชนไม่เสียประโยชน์

เมืองนอกเขาอาจเรียกแบบนี้ว่า PPP (Public Private Partnership) รัฐลงทุนโครงสร้าง แล้วให้เอกชนบริหารการเดินรถ

การลงทุนของกทม.หรือรัฐ บางทีก็ไม่ต้องคิดคำนวณว่าจะมี ROI ให้สั้นที่สุด หรือมีจุดคุ้มทุนให้เร็วที่สุด

ในทางกลับกัน ประชาชนต้องได้รับความสะดวกสบายเร็วที่สุดและดีที่สุด ในขณะที่รัฐก็ไม่เสียผลประโยชน์เกินจำเป็น

คำถามมีอยู่ว่า ถ้ายกเลิก BRT ไปแล้ว เพราะบอกว่าต้องใช้เงินอุดหนุนการขาดทุนปีละ 200 ล้าน (5 ปี 1,000 ล้าน) แล้วเงินจำนวนนี้จะทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ให้กับคนกรุงเทพฯได้เห็นได้บ้างไหม...???

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น