วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2560

ทำไมนักการเมืองต้อง 'โกง'


ที่นักการเมือง 'โกง' เพราะเขาคิดอยู่ตลอดว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ เป็นของประชาชน

ที่คนโกงกัน เพราะคิดว่าคนที่เสียหาย คือคนอื่น ไม่ใช่เรา ไม่ว่าจะอาชีพไหนก็ตาม

ถ้าโกงเงินภาษีประชาชน อาจไม่มีคนเห็น ซ้ำร้ายยังไม่มีคู่กรณีเจ้าของเงินที่จะตามจี้เอาเรื่องอีกด้วย

สำหรับนักการเมืองขี้โกง

ถ้าคิดใหม่ว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ เป็นของตัวเรา

รับรองได้ว่า ไม่มีใครคิดจะโกงเงินตัวเอง แน่นอน

ถ้าเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา ที่ต้องรวบรวมเงินเพื่อนๆเพื่อเป็นกองกลาง ถ้าคนที่ถือเงินคิดได้ว่า เงินทั้งหมดนี้ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเขาเอง เขาคงจะใช้เงินได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และไม่ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แม้จะไม่ได้คอรัปชั่นก็ตาม

สมมติคุณมีเงิน 100 จัดสรรไว้ใช้สร้างบ้านที่คุณรัก คุณไม่มีทางบอกผู้รับเหมาว่าสร้างแค่ 80 ส่วนที่เหลือ 20 เราเอามาแบ่งกัน ตรงกันข้ามคุณจะควบคุมเขาให้งานออกมาดีที่สุด เพราะมันเป็นเงินของคุณเอง

ถ้าคิดได้ว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ เป็นเงินของเรา

รับรองได้ว่า ไม่มีใครที่จะใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย แน่นอน

ถ้าลองไปถามเศรษฐีแต่ละคน ไม่ว่าเขาจะมีเงินมหาศาลเท่าไร แต่เขาใช้จ่ายอย่างประหยัดทุกคน และทุกบาทที่เขาจ่ายออกไปต้องก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ว่าจะใช้ส่วนตัวหรือใช้การกุศล เพราะมันเป็นเงินของเขาเอง

สมมติคุณต้องกินข้าววันละ 3 มื้อ คงไม่มีใครกินข้าวกลางวันสุดหรูมื้อละพัน มื้อละหมื่น มื้อละแสนทุกวัน ถ้าคุณใช้เงินของตัวเอง



การโกงแก้ได้ เพียงแค่พลิกวิธีคิดส่วนตัว ไม่ต้องมัวรอคนอื่นมารณรงค์

ความยากมันอยู่ที่ต้องจินตนาการให้ได้ว่า งบประมาณส่วนรวมนั้น คือเงินจากน้ำพักน้ำแรงของเราเอง

อย่าไปตำหนิเขาเลยครับ นักการเมืองเขาไม่อยากโกงหรอก ถ้าไม่มากพอ

แต่สำหรับชาวบ้านคนดีๆทั่วไป เขาไม่อยากโกงหรอก ถ้าไม่มากพอและไม่จำเป็น

ฉะนั้นคนจะดีหรือไม่ ต้องดูตอนที่เขามีโอกาสโกง แล้วเขาโกงหรือไม่...

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2560

กรุงเทพที่รัก

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

สุดสัปดาห์ก่อน ได้มีโอกาสไปเยือนโรงแรมห้าดาว ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ทุกอย่างถูกจัดสรรให้หรูหรา สมราคา ทั้งการตกแต่ง การบริการ และอาหารการกิน

บังเอิญโรงแรมแห่งนี้มีห้องอาหาร Outdoor ที่แขกสามารถนั่งติดขอบแม่น้ำได้อย่างใกล้ชิด

ชาวต่างชาติส่วนมากจึงขอเลือกซึมซับความสวยงามริมแม่น้ำสายหลักของกรุงเทพมหานคร

บรรยากาศ อาหาร เสียงเพลง ทุกอย่างเป็นไปอย่างเลิศหรูและงดงาม

ยกเว้นเพียงอย่างเดียว คือ เศษขยะ ที่ลอยเกลื่อนในแม่น้ำ มีทั้งเศษอาหาร ขวดน้ำ ถุงพลาสติก ฯลฯ

ทำเอาบรรยากาศ 5 ดาว ของสถานที่ดังกล่าว หม่นหมองลงไปอย่างมาก


ขยะเหล่านี้มักจะถูกกระแสน้ำ ซัดให้เข้ามาอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ

เพราะฉะนั้น วิธีที่จะค่อยๆเก็บขยะ วันละเล็กน้อย ค่อยๆทำความสะอาดแม่น้ำเบื้องต้น จึงไม่ใช่เรื่องยาก และไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณของหลวงด้วย

ในเขต กทม. ท่านผู้ว่าฯ คงจะเป็นกำลังหลักในการพบปะกับบรรดาผู้ประกอบการเอกชน สถานศึกษา วัดวาอาราม และหน่วยงานราชการ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ใช้ภูมิปัญญา เปลี่ยนตาข่ายจับปลา เอามาดักขยะแทน ยกขึ้นยกลง เก็บขยะขึ้นมาจากแม่น้ำตามเวลาเคารพธงชาติก็ได้

คาดการณ์คร่าวๆว่า คงใช้เงินไม่กี่พันบาท แลกกับภูมิทัศน์ที่สะอาดสะอ้าน งามตา และปรับโฉมหน้าให้กับ กทม. ที่สำคัญผู้ทำก็ได้รับประโยชน์ไปเต็มๆด้วย

แบบนี้คนส่วนใหญ่น่าจะเห็นด้วยนะ

นอกจาก กทม.จะเป็นเมืองสีเขียวแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนให้ กทม. เป็นเมืองปลอดขยะได้ ก็จะยิ่งดี

เหมือนกับเมืองต่างๆของประเทศญี่ปุ่น แม่น้ำลำคลองทุกสายของเขา ใส สะอาด ปราศจากขยะ

เรื่องดีๆแบบนี้ มีตัวอย่างให้ดูได้ ไม่ต้องขอวีซ่า ทำไมเราไม่เลียนแบบเขาบ้างละครับ

กรุงเทพของเราได้ถูกพัฒนาไปมาก มีครบแทบทุกอย่าง ขาดอย่างเดียว คือ ความสะอาดเรียบร้อย

วิธีการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน กทม. ดูเพิ่มได้จากเรื่องเก่าเอามาเล่าใหม่ตามลิงค์นี้ http://thailandtarget.blogspot.com/2016/05/39.html




วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2560

ลุงตู่ต่างจากทักษิณยังไง??

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ถ้าถามว่าใครสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ คนจะตอบว่านายกฯทักษิณ

ถ้าถามว่าใครสร้างรถไฟฟ้าให้ไปฝั่งธนฯ เขาจะตอบว่าผู้ว่าฯอภิรักษ์


ถ้าถามว่านายกลุงตู่ทำอะไร คำตอบคือ ลุงทำเยอะมาก แต่เรา...นึกไม่ออก???

เพราะตามหลักการแล้ว ผู้คนจะจดจำผู้นำได้จากโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่เห็นได้ประจักษ์ ก็เพียงเท่านั้น

คนส่วนมากมักไม่สนใจหรอกว่าขั้นตอนการทำงานเป็นอย่างไร รู้เพียงแต่ว่าใครทำให้มันเกิดขึ้นจริง

จังหวะนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุด ที่จะสามารถสร้างLandmarkแห่งใหม่ ใจกลางกรุงเทพมหานคร โซนสยามแสควร์

เมื่อนายกลุงตู่ใช้มาตรา 44 แต่งตั้ง พล.ต.อ.อัศวิน เป็นผู้ว่าฯกทม.

ลุงตู่ซึ่งมีอำนาจเต็มมือ บวกกับพล.ต.อ.อัศวิน ที่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง มีลูกพี่ลูกน้องในสตช. คงพอจะพูดคุยกับพรรคพวกในนั้นได้อย่างสนิทใจ ตรงไปตรงมา

ทุกครั้งที่รถติดไฟแดงสามแยกเฉลิมเผ่าบนถนนอังรีดูนังต์ ลองมองไปทางขวามือจะมี สตช. ตั้งอยู่อย่างขัดสายตา ไม่กลมกลืนกับบรรยากาศของฝูงชนที่เดินขวักไขว่ไปมาเพื่อชอปปิ้งและใช้เงิน

การที่ สตช.ตั้งอยู่ตรงนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เราคนไทยหรือนักท่องเที่ยวอุ่นใจขึ้นสักเท่าไร

เพราะเมื่อดูเหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้น บ่อยครั้งล้วนอยู่ใกล้เงื้อมมือของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
- ด้านหน้า เผาห้าง เซ็นทรัลเวิลด์ และระเบิดวันส่งป้ายปี 49
- ด้านซ้าย ระเบิดบน BTS สยาม
- ด้านขวา ระเบิดกลางแยกพระพรหม

ภัยร้ายที่เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เกิดขึ้นห่างจากสำนักงานใหญ่ของตำรวจ ไม่เกิน 1 กม. ทั้งสิ้น บางครั้งอยู่ห่างออกไปแค่ 100 เมตรเท่านั้น

ถ้าวิ่งเร็วหน่อย ก็จะใช้เวลาเพียง 10 วินาที ไปถึงจุดเกิดเหตุ... แต่ทำไมมันเกิดบ่อยจัง

Landmarkแห่งใหม่ คงไม่ต้องใช้พื้นที่ทั้งหมดของตำรวจ เพียงแค่ด้านหน้าบางส่วน ก็จะเชื่อม shopping street ได้จากยาว MBKไปถึงชิดลมและประตูน้ำ เป็นจุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ดีทีเดียว

ถ้ามีพื้นที่สำหรับพิพิธภัณฑ์ด้วย ก็น่ายินดีมาก

ผมเชื่อว่ารัฐแทบไม่ต้องใช้เงินสักบาท เพียงแค่เอ่ยปากนำร่อง ก็น่าจะมีกลุ่มทุนเอกชนเข้ามาแย่งกันแบ่งเค้กชิ้นงามก้อนนี้

ไปๆมาๆ จะมีเงินโบนัสฟรีๆ เพิ่มให้พี่น้องตำรวจ เจ้าของพื้นที่เดิมอีกด้วย

ผลงาน Mega Project แบบนี้ จะทำให้นายกลุงตู่ถูกจดจำไปตลอดชีวิต เหมือนที่นายกทักษิณยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน

คำถามคือแล้ว สตช. จะย้ายไปอยู่ที่ไหนดีละ

ตรงข้ามสวนสัตว์ดุสิตดีไหม?

วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

ทำไงดี น้ำท่วมทุกปีเลย กทม.

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ภาพประวัติศาสตร์ พ.ศ.2554 ทำให้เข้าใจว่าทำไมคนสมัยก่อนถึงเรียกว่า 'เรือบิน'



10 ปีที่ผ่านมา ทุกคนในประเทศไทยคงได้เห็นอุบัติภัย น้ำท่วมใหญ่เกิดขึ้นแทบทุกปี

เราสับสนอย่างบอกไม่ถูกว่ามันเกิดวิปริตอะไรกับบ้านเมืองนี้ ที่ๆน้ำไม่เคยท่วม-ก็ท่วม ที่ๆไม่ควรท่วม-ก็ท่วม เวลาที่ไม่น่าควรท่วม-ก็ท่วม

หรือมันหมายความว่า 'วิธีบริหารจัดการน้ำ' ที่ทำอยู่ในปัจจุบัน 'ล้มเหลว'

สาเหตุหนึ่ง อาจเกิดจากความแปรปรวนของสภาพอากาศ เนื่องจากสิ่งแวดล้อมที่ถูกทำลาย โดยมนุษย์ ภาษาวิชาการเขาเรียกว่า ภาวะโลกร้อน (Global Warming)

นอกจากการอุดตันของขยะแล้ว อีกหนึ่งสาเหตุใหญ่ๆ คงเกิดจากการกว้านซื้อที่ตาบอด ซึ่งเดิมเป็นทุ่งรับน้ำอย่างดี ไปถมที่เพื่อทำบ้านจัดสรร รวมถึงคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการ ทั่วเขตกรุงเทพและต่างจังหวัด

ความสูญเสียทั้งทรัพย์สินและจิตใจ บวกกับความโกลาหลที่เกิดขึ้นเมื่อประสบภัย เปรียบเทียบกับราคาที่ดินของนักเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ที่จะลดลง สิ่งไหนเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่ากัน ต้องลองชั่งน้ำหนักดู!!


เราคงไม่สามารถก้มหน้ายอมรับอย่างสิ้นหวังว่า บ้านเมืองนี้เป็นที่ลุ่ม เมื่อน้ำมามันก็ต้องท่วม


นอกจากการมีเขื่อนกักเก็บน้ำที่ดีแล้ว นอกจากการมีระบบระบายน้ำที่ดีแล้ว

มันจำเป็นไหมที่จะต้องมีมาตรการคงสภาพ 'ทุ่งรับน้ำ'ให้เป็น'ทุ่งรับน้ำ' เพื่อป้องกันถนนไม่ให้กลายเป็นคลองเหมือนที่ผ่านๆมา




ถ้าถามท่านผู้ว่าฯกทม.ปัจจุบัน มันอาจจำเป็น เพราะเสียงบ่น ก่นด่าของชาวบ้านที่น้ำท่วม 2 ปีที่ผ่านมา คงเป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้ได้เข้าสู่ตำแหน่ง

ถ้าถามท่านผู้ว่าฯกทม.คนก่อน มันคงจำเป็นที่สุด เพราะใช้งบมหาศาล แต่น้ำยังต้องรอระบาย ส่วนท่านผู้ว่าฯรอถูกเด้งอย่างเดียว

วันศุกร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2560

รถติด ยิ่งแก้ กรุงเทพ ยิ่งแย่

กรุงเทพครองแชมป์ รถติดที่สุดในโลก ประจำปี 2560

ทั้งๆที่หลายสิบปีที่ผ่านมา นายกฯแทบทุกสมัยเคยพยายามแก้ปัญหามาแล้ว แต่ยิ่งแก้ กลับยิ่งแย่

พ่อค้าขายรถ ก็อยากขาย อยากทำยอด แต่ถนนมันมีเท่าเดิม

รัฐบาลต้องการแก้ปัญหาให้รถเลิกติด แต่ประชาชนก็อยากออกรถคันใหม่

วงจรปัญหามันวนเวียน วิธีการเดิมๆ แต่หวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง คงเป็นไปไม่ได้

รถไฟฟ้าสร้างมาแล้วหลายสาย แต่ถนนสายไหนที่มีรถไฟฟ้า รถก็ยังไม่เลิกติด

เพราะเมืองไทยไม่เหมือนเมืองนอก พฤติกรรมคนไทยไม่เหมือนต่างชาติ
1. ร้อนชื่น ฝนชุก ฝุ่นเยอะ
2. บ้านกระจายตัวอยู่ในซอยลึก
3. คนรวยไม่อยากนั่ง(รถสาธารณะ) คนจนไม่มีตังค์จะนั่ง

รถที่ติดกันมากอาจเป็นเพราะปัญหา เช่น
1. รถเมล์ แท็กซี่จอดกันขวักไขว่ริมถนน
2. ทางแยก ทางกลับรถ มีมากเกินพอดี
3. อาคาร ห้าง ตึกขนาดใหญ่ เป็นศูนย์รวมคนและที่จอดรถยนต์

รัฐคงไม่อาจมาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนในสังคมได้ แต่รัฐอาจแก้ปัญหาได้ ดังเช่น

1. เก็บภาษี พื้นที่จอดรถในห้างสรรพสินค้าและอาคารขนาดใหญ่ (เช่น จอดรถได้มากกว่า 50 หรือ 100 คันขึ้นไป) จะบรรเทาปัญหาได้หรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยก็นำเงินส่วนนี้ไปสร้างขนส่งมวลชนให้แก่ส่วนรวมได้

2. ปิดทางแยกขนาดเล็ก และทางกลับรถที่มีมากเกินไป

3. กฏหมายควรบังคับให้อาคารขนาดใหญ่ เว้นพื้นที่ด้านหน้าอาคารเข้าไปมากเพียงพอที่จะให้รถเมล์ taxi และรถที่จอดรับส่งคน เบี่ยงเข้าไปได้ ทำให้รถในทาง(หลวง)หลักไม่ติด

เพื่อแก้ปัญหานี้ กฏหมายนี้ต้องใช้ ม.44 ให้มีผลย้อนหลังสำหรับทุกห้าง ทุกอาคารในเขต กทม. และจะรู้ได้ทันทีว่าอาคารไหนมีที่จอดรถกี่คัน

ถ้านึกภาพไม่ออกว่ามันจะดีขึ้นได้อย่างไร ลองนึกภาพหน้าห้างชื่อย่อC ห้างS ห้างE ห้างT ว่าปัจจุบันมันติดขนาดไหน 

เงินลงทุนปรับปรุงส่วนนี้อาจยกเว้นภาษีหรืออะไรก็แล้วแต่ รัฐอาจเสียรายได้บ้างในระยะสั้น แต่คนส่วนมากน่าจะได้ประโยชน์ในระยะยาว

แต่ทุกคนคงเข้าใจว่าเรื่องแบบนี้ทำไม่ง่าย เพราะเจ้าของตึกสูงระฟ้านั้นคงจะอยู่เหนือคนถืออำนาจในรัฐบาลไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ถึงเวลาแล้วที่ คสช.ต้องทำอะไรสักอย่าง ขอความร่วมมือให้ google map เปลี่ยนจากแดงเป็นเขียวสักที

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ


ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 'ปัญหาของคนกรุงเทพ'