วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ภาษีห้าง ภาษีคอนโด ภาษีคนเมือง

พี่น้องชาวกรุงเทพควรจะดีใจดีไหมที่มีโอกาสได้อยู่อาศัยในเมืองที่มีสภาพการจราจรหนาแน่น เพราะนั่นแสดงถึงศักยภาพของเมืองหลวง 

มันคือผลลัพธ์ของความเจริญรุ่งเรือง ความมีชีวิตชีวาของสังคมและการเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ 

แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งกลับพบว่าถนนของเมืองหลวงว่างเปล่าไร้รถยนต์ ทุกเช้าตื่นมาไม่ต้องผจญกับเมืองที่เต็มไปด้วยความสับสน นั่นอาจหมายถึงจุดเริ่มต้นความเสื่อมสภาพของเมืองหลวงที่พวกเราอาศัยอยู่ ใช่ไหม...?

ทุกท่านคงทราบดีว่า ในเมืองหลวงของประเทศต่างๆก็จะมีสภาพการจราจรที่หนาแน่นติดขัดเป็นปกติวิสัยของมหานครในโลกนี้ กรุงเทพของเราได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหานครที่รถติดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากเม็กซิโก ซิตี้ เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโกที่ครองแชมป์ไปสำหรับปี2558 ส่วนเมืองที่การจราจรแออัดเป็นลำดับที่ 3 ของโลกได้แก่ อิสตันบูล เมืองหลวงของประเทศตุรกี

การจราจรที่ติดขัดนอกจากจะสร้างมลพิษ เผาผลาญและสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมแล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่สูญเปล่าไม่มีประสิทธิผลสำหรับใครอีกหลายคนด้วย 

ปัจจุบันโชคดีที่โลกเรามีอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ ทำให้เราสามารถทำงาน คุยงาน สั่งงานในระหว่างเวลาที่นั่งรอรถติดได้ 

ถ้าหากเราสามารถเปลี่ยนหรือลดเวลาที่สูญเปล่านี้ ให้เป็นกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพ กิจกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ทั้งในมิติของสังคมและมิติเศรษฐกิจ กรุงเทพของเราจะสามารถพัฒนาให้ก้าวหน้ามีความน่าอยู่ได้แค่ไหน คนกรุงเทพจะมีจิตใจที่มีความสุขมากขึ้นเพียงใด

ที่ผ่านมาจึงมีท่านผู้นำหลายคน หลายยุค ที่ประกาศนโยบายจะยุติการจราจรที่แออัดคับคั่งในเขตกรุงเทพมหานคร เราทุกคนได้เห็นความพยายามและมาตรการหลากลหายวิธี แต่สงสัยไหมว่าทำไมสถานการณ์กลับไม่ได้ดีขึ้น 

เมื่อวันที่รถไฟฟ้าเปิดให้บริการแก่พี่น้องประชาชนครั้งแรกในวันที่ 5 ธ.ค. 2542 หลายคนฝากความหวังไว้ว่าระบบขนส่งมวลชนที่สะอาด สะดวก สบาย จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรของคนกรุงที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษได้

นับจากวันนั้นจนบัดนี้ก็ผ่านมาใกล้ 20 ปีแล้ว มาวันนี้หลายคนมีความหวังอีกครั้งเมื่อรถไฟฟ้าได้เพิ่มส่วนต่อขยายอีกหลายเส้นทาง

เราเคยมีความหวังกับหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น หลายคนหวังว่ารถจะไม่ติด หลายคนหวังว่ารถเมล์และคนขับรถสาธารณะจะมีมาตรฐานและคุณภาพที่ดีขึ้น หลายคนเลิกพูดถึงสิ่งเหล่านี้มาหลายปีแล้ว

ระบบขนส่งมวลชน รถสาธารณะที่ไม่สร้างมลภาวะเป็นทางเลือกหนึ่งของการเดินทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อำนวยความสะดวกเอื้อความสบายให้ผู้คนได้จำนวนมาก การพัฒนาโครงข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่อย่างทั่วถึงนั้นมีความจำเป็นและสำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าของเมืองหลวงแห่งประเทศไทย 

แต่อาจจะไม่ใช่คำตอบบรรทัดสุดท้ายของการแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัด เนื่องจากเหตุผลหลักๆ 3 ข้อดังนี้

1. การกระจายตัวของบ้านพักอาศัยในกรุงเทพ ทำให้การเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนไม่สะดวกนัก
2. สภาพภูมิอากาศร้อนชื้นฝนชุก ทำให้การเดินทางไปถึงระบบขนส่งมวลชนไม่เอื้ออำนวยนัก
3. ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนในสังคม ทำให้บางคนไม่สามารถใช้บริการระบบขนส่งมวลชนที่มีราคาสูง และสำหรับบางคนคงมีค่านิยมที่ไม่อยากใช้บริการขนส่งมวลชนบางประเภท

อย่างไรก็ดี การเดินทางเป็นปัจจัยหนึ่งของการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นภาพในปัจจุบัน คือ ใครที่นั่งรถเมล์ก็นั่งรถเมล์(ฟรี)เหมือนเดิม ใครที่มีรถยนต์ก็ขับรถเหมือนเดิม ใครที่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ขี่เหมือนเดิม ส่วนวัยรุ่นหนุ่มสาวที่(ยัง)ไม่มีรถก็ใช้บริการรถไฟฟ้ารถใต้ดินต่อไป

คนหนุ่มสาวพอทำงานได้ระยะหนึ่งก็หันไปออกรถยนต์กัน เพราะมีความสะดวกสบาย โอ่อ่า และราคาที่ต้องจ่ายก็ไม่สูงเกินกำลังที่จะหาได้ ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหรือคอนโดตามแนวรถไฟฟ้ารถใต้ดินก็ตามที

การที่พี่น้องคนไทยมีกำลังความสามารถในการซื้อรถยนต์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด กลับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะนั่นหมายถึงเขามีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีรายได้ที่มั่นคง สามารถจัดหาสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้กับชีวิต เป็นความภาคภูมิใจส่วนบุคคล และบางคนก็ยังสามารถใช้รถยนต์นั้นสร้างรายได้เพิ่มได้อีกด้วย 

แต่หน้าที่ของรัฐต้องพยายามดูแลควบคุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อส่วนรวม ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และมีผลกระทบในด้านลบต่อสังคมน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องกว่า

ในอดีตเคยพูดถึงการงดเว้นพื้นที่จอดรถในคอนโดมิเนียมที่มีรัศมี 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทได้สะดวกรวดเร็วที่สุด โดยจะส่งผลให้คอนโดมีพื้นที่ขายมากขึ้น ต้นทุนค่าก่อสร้างลดลงและราคาต่อห้องก็จะถูกลง แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไปเพราะฟังดูราวกับว่าผู้ประกอบการจะได้ประโยชน์มากกว่าและผู้บริโภคไม่เห็นด้วย

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีนั้นอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขบรรเทาปัญหาการจราจรของหลายประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพมหานครแล้ว เราอาจจะต้องลองย้อนกลับมาคิดพิจารณาให้มากขึ้นอีกรอบหนึ่ง

วิธีการเพิ่มความยากลำบากหรือบั่นทอนความสะดวกสบายสำหรับคนที่ไม่ใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรที่หนาแน่นในเมืองหลวงได้ดี เช่น การเก็บค่าจอดรถริมถนนในบริเวณใจกลางกรุงเทพมหานคร การจำกัดความเร็วของรถในเขตเมือง หรือการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนนในเวลาเร่งด่วน เป็นต้น 

สิ่งเหล่านี้อาจเป็นคำตอบที่ยั่งยืนและสามารถทำให้เป็นจริงได้ทันทีที่รถไฟฟ้าและรถใต้ดินมีโครงข่ายที่ครอบคลุมพร้อมให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง 

ซึ่งจำนวนเงินที่จัดเก็บได้จากคนที่ใช้รถใช้ถนนและมีความสามารถในการจ่ายค่าธรรมเนียมตรงนี้นั้น ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับเรื่องอื่นๆ เช่น การจัดการสิ่งแวดล้อม การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน หรือแม้แต่การนำไปช่วยชดเชยค่าบริการให้กับผู้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อจูงใจให้ผู้คนหันมาใช้บริการขนส่งมวลชนมากขึ้น

ในกรณีของกรุงเทพที่เป็นเมืองร้อนชื้นนั้น วิถีชีวิตของคนส่วนมากจึงนิยมใช้บริการห้างสรรพสินค้าที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำทั้งวัน ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งจึงต้องเตรียมที่จอดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไว้บริการลูกค้าเป็นจำนวนมาก อาจเรียกได้ว่าที่จอดรถยนต์ที่สะดวกและฟรี เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ให้บริการใช้ในการดึงดูดลูกค้า 

ตามหลักคิดแล้ว เรามีกฏหมายภาษีอากรที่จัดเก็บจากสินค้าที่เป็นภัยต่อสังคม เราพูดถึงภาษีน้ำหวานที่เป็นพิษต่อชีวิตประชาชน 

ถ้าเราเห็นว่าคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียเป็นภัยต่อส่วนรวม การริเริ่มให้มีการจัดเก็บภาษีจากที่จอดรถยนต์ในห้างสรรพสินค้า จากผู้ประกอบการคอนโดมิเนียม จากผู้ให้บริการอาคารสำนักงานให้เช่า จากโรงแรม หรืออาคารขนาดใหญ่ที่จัดให้มีพื้นที่จอดรถจำนวนมาก เช่น 50-100 คันขึ้นไป เป็นต้น โดยมีที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นใน ภายใต้รัศมีของสถานีรถขนส่งมวลชนที่กำหนดก็น่าจะสอดคล้องตามหลักการดังกล่า

การลดหรือจำกัดจำนวนที่จอดรถคงไมใช่คำตอบที่ถูก เพราะจะทำให้ความสะดวกสบายที่ผู้ให้บริการสามารถมอบให้แก่ผู้บริโภคลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงขีดความสามารถในการดำเนินงานและผลประกอบการของภาคธุรกิจเอกชน 

แต่การจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งโดยส่วนมากก็จะเก็บค่าบริการที่จอดรถจากผู้ใช้บริการอยู่แล้ว คงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของผู้ให้บริการเอกชนอย่างมีสาระสำคัญ หรือ

ถ้าผู้ประกอบการจะคิดในอีกมุมหนึ่ง คือเป็นเสมือนการรับผิดชอบต่อส่วนรวม (CSR) และคืนกำไรให้กับสังคมอีกทางหนึ่ง รายได้จากส่วนนี้จะสามารถนำไปช่วยสนับสนุนให้รัฐพัฒนาและดึงผู้ใช้เข้าสู่ระบบขนส่งมวลชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งผลดีจะตกอยู่กับสังคม สิ่งแวดล้อมและส่วนรวม

อีกทั้งยังเป็นการนำรายได้บางส่วนจากคนที่มีกำลังมากกว่าในสังคมเพื่อไปช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสหรือคนที่ไม่มีโอกาสนั่งรถส่วนบุคคลได้อีกด้วย 

ทว่าในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว คนที่มีกำลังมากในสังคมก็มักจะมีสิทธิ์มีเสียงดังกว่า มักเป็นกลุ่มคนที่มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดทิศทางวางกฎเกณฑ์ของบ้านเมือง ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียขัดแย้งกับหลักการลดความเหลื่อมล้ำและการขจัดช่องว่างขอสังคมทั่วโลก

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น