วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ภาษีห้าง ภาษีคอนโด ภาษีคนเมือง

พี่น้องชาวกรุงเทพควรจะดีใจดีไหมที่มีโอกาสได้อยู่อาศัยในเมืองที่มีสภาพการจราจรหนาแน่น เพราะนั่นแสดงถึงศักยภาพของเมืองหลวง 

มันคือผลลัพธ์ของความเจริญรุ่งเรือง ความมีชีวิตชีวาของสังคมและการเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ 

แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งกลับพบว่าถนนของเมืองหลวงว่างเปล่าไร้รถยนต์ ทุกเช้าตื่นมาไม่ต้องผจญกับเมืองที่เต็มไปด้วยความสับสน นั่นอาจหมายถึงจุดเริ่มต้นความเสื่อมสภาพของเมืองหลวงที่พวกเราอาศัยอยู่ ใช่ไหม...?

ทุกท่านคงทราบดีว่า ในเมืองหลวงของประเทศต่างๆก็จะมีสภาพการจราจรที่หนาแน่นติดขัดเป็นปกติวิสัยของมหานครในโลกนี้ กรุงเทพของเราได้รับการจัดอันดับให้เป็นมหานครที่รถติดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจากเม็กซิโก ซิตี้ เมืองหลวงของประเทศเม็กซิโกที่ครองแชมป์ไปสำหรับปี2558 ส่วนเมืองที่การจราจรแออัดเป็นลำดับที่ 3 ของโลกได้แก่ อิสตันบูล เมืองหลวงของประเทศตุรกี

การจราจรที่ติดขัดนอกจากจะสร้างมลพิษ เผาผลาญและสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมแล้ว ยังเป็นกิจกรรมที่สูญเปล่าไม่มีประสิทธิผลสำหรับใครอีกหลายคนด้วย 

ปัจจุบันโชคดีที่โลกเรามีอินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ ทำให้เราสามารถทำงาน คุยงาน สั่งงานในระหว่างเวลาที่นั่งรอรถติดได้ 

ถ้าหากเราสามารถเปลี่ยนหรือลดเวลาที่สูญเปล่านี้ ให้เป็นกิจกรรมที่มีประสิทธิภาพ กิจกรรมที่สร้างมูลค่าเพิ่มได้ทั้งในมิติของสังคมและมิติเศรษฐกิจ กรุงเทพของเราจะสามารถพัฒนาให้ก้าวหน้ามีความน่าอยู่ได้แค่ไหน คนกรุงเทพจะมีจิตใจที่มีความสุขมากขึ้นเพียงใด

ที่ผ่านมาจึงมีท่านผู้นำหลายคน หลายยุค ที่ประกาศนโยบายจะยุติการจราจรที่แออัดคับคั่งในเขตกรุงเทพมหานคร เราทุกคนได้เห็นความพยายามและมาตรการหลากลหายวิธี แต่สงสัยไหมว่าทำไมสถานการณ์กลับไม่ได้ดีขึ้น 

เมื่อวันที่รถไฟฟ้าเปิดให้บริการแก่พี่น้องประชาชนครั้งแรกในวันที่ 5 ธ.ค. 2542 หลายคนฝากความหวังไว้ว่าระบบขนส่งมวลชนที่สะอาด สะดวก สบาย จะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรของคนกรุงที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษได้

นับจากวันนั้นจนบัดนี้ก็ผ่านมาใกล้ 20 ปีแล้ว มาวันนี้หลายคนมีความหวังอีกครั้งเมื่อรถไฟฟ้าได้เพิ่มส่วนต่อขยายอีกหลายเส้นทาง

เราเคยมีความหวังกับหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น หลายคนหวังว่ารถจะไม่ติด หลายคนหวังว่ารถเมล์และคนขับรถสาธารณะจะมีมาตรฐานและคุณภาพที่ดีขึ้น หลายคนเลิกพูดถึงสิ่งเหล่านี้มาหลายปีแล้ว

ระบบขนส่งมวลชน รถสาธารณะที่ไม่สร้างมลภาวะเป็นทางเลือกหนึ่งของการเดินทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด อำนวยความสะดวกเอื้อความสบายให้ผู้คนได้จำนวนมาก การพัฒนาโครงข่ายให้ครอบคลุมพื้นที่อย่างทั่วถึงนั้นมีความจำเป็นและสำคัญต่อความเจริญก้าวหน้าของเมืองหลวงแห่งประเทศไทย 

แต่อาจจะไม่ใช่คำตอบบรรทัดสุดท้ายของการแก้ปัญหาการจราจรที่ติดขัด เนื่องจากเหตุผลหลักๆ 3 ข้อดังนี้

1. การกระจายตัวของบ้านพักอาศัยในกรุงเทพ ทำให้การเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนไม่สะดวกนัก
2. สภาพภูมิอากาศร้อนชื้นฝนชุก ทำให้การเดินทางไปถึงระบบขนส่งมวลชนไม่เอื้ออำนวยนัก
3. ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ของคนในสังคม ทำให้บางคนไม่สามารถใช้บริการระบบขนส่งมวลชนที่มีราคาสูง และสำหรับบางคนคงมีค่านิยมที่ไม่อยากใช้บริการขนส่งมวลชนบางประเภท

อย่างไรก็ดี การเดินทางเป็นปัจจัยหนึ่งของการใช้ชีวิตและการทำงานอย่างปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นภาพในปัจจุบัน คือ ใครที่นั่งรถเมล์ก็นั่งรถเมล์(ฟรี)เหมือนเดิม ใครที่มีรถยนต์ก็ขับรถเหมือนเดิม ใครที่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ขี่เหมือนเดิม ส่วนวัยรุ่นหนุ่มสาวที่(ยัง)ไม่มีรถก็ใช้บริการรถไฟฟ้ารถใต้ดินต่อไป

คนหนุ่มสาวพอทำงานได้ระยะหนึ่งก็หันไปออกรถยนต์กัน เพราะมีความสะดวกสบาย โอ่อ่า และราคาที่ต้องจ่ายก็ไม่สูงเกินกำลังที่จะหาได้ ถึงแม้จะใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหรือคอนโดตามแนวรถไฟฟ้ารถใต้ดินก็ตามที

การที่พี่น้องคนไทยมีกำลังความสามารถในการซื้อรถยนต์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ผิด กลับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเพราะนั่นหมายถึงเขามีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีรายได้ที่มั่นคง สามารถจัดหาสิ่งที่อำนวยความสะดวกให้กับชีวิต เป็นความภาคภูมิใจส่วนบุคคล และบางคนก็ยังสามารถใช้รถยนต์นั้นสร้างรายได้เพิ่มได้อีกด้วย 

แต่หน้าที่ของรัฐต้องพยายามดูแลควบคุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลภาวะต่อส่วนรวม ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ และมีผลกระทบในด้านลบต่อสังคมน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องกว่า

ในอดีตเคยพูดถึงการงดเว้นพื้นที่จอดรถในคอนโดมิเนียมที่มีรัศมี 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนทุกประเภทได้สะดวกรวดเร็วที่สุด โดยจะส่งผลให้คอนโดมีพื้นที่ขายมากขึ้น ต้นทุนค่าก่อสร้างลดลงและราคาต่อห้องก็จะถูกลง แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบไปเพราะฟังดูราวกับว่าผู้ประกอบการจะได้ประโยชน์มากกว่าและผู้บริโภคไม่เห็นด้วย

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการมีระบบขนส่งมวลชนที่ดีนั้นอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการแก้ไขบรรเทาปัญหาการจราจรของหลายประเทศ แต่สำหรับประเทศไทยโดยเฉพาะกรุงเทพมหานครแล้ว เราอาจจะต้องลองย้อนกลับมาคิดพิจารณาให้มากขึ้นอีกรอบหนึ่ง

วิธีการเพิ่มความยากลำบากหรือบั่นทอนความสะดวกสบายสำหรับคนที่ไม่ใช้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ น่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรที่หนาแน่นในเมืองหลวงได้ดี เช่น การเก็บค่าจอดรถริมถนนในบริเวณใจกลางกรุงเทพมหานคร การจำกัดความเร็วของรถในเขตเมือง หรือการเก็บค่าธรรมเนียมการใช้ถนนในเวลาเร่งด่วน เป็นต้น 

สิ่งเหล่านี้อาจเป็นคำตอบที่ยั่งยืนและสามารถทำให้เป็นจริงได้ทันทีที่รถไฟฟ้าและรถใต้ดินมีโครงข่ายที่ครอบคลุมพร้อมให้บริการประชาชนอย่างทั่วถึง 

ซึ่งจำนวนเงินที่จัดเก็บได้จากคนที่ใช้รถใช้ถนนและมีความสามารถในการจ่ายค่าธรรมเนียมตรงนี้นั้น ยังสามารถนำไปใช้ประโยชน์กับเรื่องอื่นๆ เช่น การจัดการสิ่งแวดล้อม การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน หรือแม้แต่การนำไปช่วยชดเชยค่าบริการให้กับผู้ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ เพื่อจูงใจให้ผู้คนหันมาใช้บริการขนส่งมวลชนมากขึ้น

ในกรณีของกรุงเทพที่เป็นเมืองร้อนชื้นนั้น วิถีชีวิตของคนส่วนมากจึงนิยมใช้บริการห้างสรรพสินค้าที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำทั้งวัน ห้างสรรพสินค้าทุกแห่งจึงต้องเตรียมที่จอดรถยนต์และรถจักรยานยนต์ไว้บริการลูกค้าเป็นจำนวนมาก อาจเรียกได้ว่าที่จอดรถยนต์ที่สะดวกและฟรี เป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ให้บริการใช้ในการดึงดูดลูกค้า 

ตามหลักคิดแล้ว เรามีกฏหมายภาษีอากรที่จัดเก็บจากสินค้าที่เป็นภัยต่อสังคม เราพูดถึงภาษีน้ำหวานที่เป็นพิษต่อชีวิตประชาชน 

ถ้าเราเห็นว่าคาร์บอนไดออกไซด์จากท่อไอเสียเป็นภัยต่อส่วนรวม การริเริ่มให้มีการจัดเก็บภาษีจากที่จอดรถยนต์ในห้างสรรพสินค้า จากผู้ประกอบการคอนโดมิเนียม จากผู้ให้บริการอาคารสำนักงานให้เช่า จากโรงแรม หรืออาคารขนาดใหญ่ที่จัดให้มีพื้นที่จอดรถจำนวนมาก เช่น 50-100 คันขึ้นไป เป็นต้น โดยมีที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองชั้นใน ภายใต้รัศมีของสถานีรถขนส่งมวลชนที่กำหนดก็น่าจะสอดคล้องตามหลักการดังกล่า

การลดหรือจำกัดจำนวนที่จอดรถคงไมใช่คำตอบที่ถูก เพราะจะทำให้ความสะดวกสบายที่ผู้ให้บริการสามารถมอบให้แก่ผู้บริโภคลดลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบถึงขีดความสามารถในการดำเนินงานและผลประกอบการของภาคธุรกิจเอกชน 

แต่การจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการรายใหญ่ ซึ่งโดยส่วนมากก็จะเก็บค่าบริการที่จอดรถจากผู้ใช้บริการอยู่แล้ว คงไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของผู้ให้บริการเอกชนอย่างมีสาระสำคัญ หรือ

ถ้าผู้ประกอบการจะคิดในอีกมุมหนึ่ง คือเป็นเสมือนการรับผิดชอบต่อส่วนรวม (CSR) และคืนกำไรให้กับสังคมอีกทางหนึ่ง รายได้จากส่วนนี้จะสามารถนำไปช่วยสนับสนุนให้รัฐพัฒนาและดึงผู้ใช้เข้าสู่ระบบขนส่งมวลชนได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งผลดีจะตกอยู่กับสังคม สิ่งแวดล้อมและส่วนรวม

อีกทั้งยังเป็นการนำรายได้บางส่วนจากคนที่มีกำลังมากกว่าในสังคมเพื่อไปช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสหรือคนที่ไม่มีโอกาสนั่งรถส่วนบุคคลได้อีกด้วย 

ทว่าในโลกแห่งความเป็นจริงแล้ว คนที่มีกำลังมากในสังคมก็มักจะมีสิทธิ์มีเสียงดังกว่า มักเป็นกลุ่มคนที่มีส่วนสำคัญต่อการกำหนดทิศทางวางกฎเกณฑ์ของบ้านเมือง ซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียขัดแย้งกับหลักการลดความเหลื่อมล้ำและการขจัดช่องว่างขอสังคมทั่วโลก

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

คุกเมืองไทย เอาไว้ขังใคร

คุกเมืองไทย เอาไว้ขังใคร...
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

บางคนบอกว่าคุกเอาไว้ขังคนจน แต่ความจริงแล้ว คุกมีไว้ขังคนทำความผิด ละเมิดกฏหมายบ้านเมือง จะเป็นลูกตำรวจ ลูกนายทหาร ลูกรัฐมนตรี หรือลูกนายกฯ หรือแม้แต่ตัวนายกฯเอง ถ้าทำผิด ก็ต้องมีสิทธิ์นอนคุก  เพียงแต่ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้ว คนยากคนจน มักจะขาดความรู้และทุนทรัพย์ในการจ้างทนายความ ต่อสู้คดี หรือแม้แต่หลักทรัพย์ในการประกันตัว เราจึงไม่ค่อยเห็นคนมั่งคนมีได้เข้าไปอยู่หลังลูกกรงห้องขังสักเท่าไร และข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง ด้วยสภาพบ้านเมืองของสังคมไทยที่คนร่ำคนรวยมักจะมีเครือข่าย มีคอนเน็คชั่นกับคนที่มีอำนาจมากบารมี คนเหล่านี้จึงยากที่จะได้นอนคุกนอนตารางแบบคนทั่วไป

เมื่อพูดถึงคุกถึงตาราง จึงมีความเกี่ยวโยงโดยปฎิเสธไม่ได้กับผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากกรณี #ลูกตำรวจแล้วไง#ทำร้ายชายพิการ ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมก็มีเพื่อนพี่น้องคนรู้จักเป็นลูกตำรวจ เป็นตำรวจอยู่หลายท่าน ตำรวจเกือบทั้งหมดเป็นตำรวจที่ดี มีศักดิ์มีศรีในอาชีพของเขา คอยช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน พวกเราควรยกมือไหว้ แต่ตำรวจเพียงบางคนบางกลุ่มเท่านั้นที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ ให้คุณให้โทษกับประชาชนอย่างไม่ซื่อตรง กลับกลายเป็นมะเร็งร้ายขององค์กร สุภาษิตโบราณ 'ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นไปทั้งข้อง' ยังใช้ได้ดีอยู่เสมอ และเมื่อตำรวจทุกคนใส่เครื่องแบบอย่างเดียวกันทั้งหมด เชื่อว่าหลายๆคนจึงเกิดความลังเลใจที่จะยกมือไหว้บุคคลที่แต่งกายในเครื่องแบบตำรวจ

เหตุการณ์กลุ่มวัยรุ่นที่อ้างตัวว่าเป็นลูกตำรวจ ทำร้ายชายพิการเสียชีวิต เป็นเรื่องเศร้าที่น่าหดหู่ของสังคมไทย (การอ้างตัวเองว่าเป็นลูกของใคร ไม่ได้พิสูจน์เลยว่าคนๆนั้นมีความสามารถพิเศษอะไร นอกเสียจากการยืมจมูกคนอื่นหายใจและนำความอับอายไปสู่บุพการี ว่าเลี้ยงลูกจนอายุขนาดนี้ ทำไมยังยืนอยู่บนขาตัวเองไม่ได้) เมื่อเหตุการณ์ที่เลวร้ายได้เกิดขึ้นแล้ว ผู้ที่จงใจกระทำการอันขัดต่อกฏหมายบ้านเมือง หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรับผิดชอบ ชดใช้กรรมที่ตนเองได้ก่อขึ้น แม้จะต้องติดคุกติดตารางตลอดชีวิต ก็ต้องก้มหน้ายิมรับผิด ตามพยานหลักฐานที่พอจะสามารถคืนความยุติธรรมให้กับครอบครัวของผู้สูญเสียได้

แต่การถูกจับเข้าไปขังไว้ในคุก บางคนบอกว่าหลังจากที่พ้นโทษออกมา กลับได้วิชาอาคมที่แข็งกร้าวมากกว่าเดิม กลับกลายเป็นภัยอันตรายต่อสังคมยิ่งกว่าเก่า แล้ววิธีการจัดการกับสิ่งเหล่านี้แบบเดิมๆหรือแบบไหน จะทำให้ชีวิตของคนในสังคมเราดีขึ้น

ในมุมมองของเศรษฐศาสตร์แล้ว การมีภาวะเงินเฟ้อในระดับที่เหมาะสมจะทำให้เศรษฐกิจขยายตัว ครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันค่าใช้จ่ายต่างๆในสังคม รวมถึงราคาสินค้าแทบทุกชนิดก็จะปรับตัวขึ้นด้วย แต่เราอาจจะไม่เคยได้ยินเรื่องการปรับขึ้นอัตราค่าปรับของผู้ที่กระทำผิด ฝ่าฝืนกฎหมาย ทั้งๆที่หลายคนมักตั้งคำถามเสมอว่า การทำความผิดร้ายแรง แต่อัตราโทษปรับและจำคุกนั้นน้อยนิด จะสามารถห้ามปรามไม่ให้บุคคลเหล่านั้นกระทำความผิดซ้ำซาก หยุดสร้างความลำบากให้สังคมได้หรือไม่

ถ้าจะลองมาดูงบประมาณ พ.ศ.2558 ของกรมราชทัณฑ์ ต้องใช้เงินมหาศาลถึง 11,300 ล้านบาท ยังไม่นับรวมกรมคุมประพฤติและอื่นๆที่เกี่ยวข้องอีกหลายพันล้านบาทต่อปี และที่น่าแปลกใจคือว่า กรมที่ดูแลนักโทษนี้ต้องกู้หนี้ยืมสินอีกนับพันล้านบาท นอกเหนือจากวงเงินงบประมาณที่ได้รับในปี 2557 เงินภาษีจำนวนนี้จะคุ้มค่ามากถ้าทำให้ปัญหาสังคมของคนไทยลดลงต่อเนื่องทุกปีๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นอาจตรงกันข้ามยิ่งเมื่อมีข่าวออกมาว่าเกิดปัญหานักโทษล้นคุกเมื่อไม่นานมานี้

จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คนที่เคยติดคุกบางคนกล่าวว่า ถึงแม้ชีวิตในแดนขังจะไม่ได้สุขสบาย แต่สำหรับบางคน บางทีมันอาจจะไม่ได้ลำบากเหมือนการใช้ชีวิตอยู่ด้านนอก มีที่นอนที่พัก มีห้องน้ำห้องท่า ถึงเวลามีอาหารให้รับประทาน แม้จะโดนจำกัดสิทธิ์ไปบ้างแต่ก็ดูครบถ้วนบริบูรณ์ ข้อเสียอย่างเดียวที่ต้องอยู่ในคุกสำหรับคนเหล่านี้ที่เขาบอกคือไม่ได้ 'เงิน'

 -  การปรับขึ้นอัตราโทษปรับให้สะท้อนภาวะการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
 -  การเรียกเก็บเบี้ยปรับตามฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ที่กระทำความผิด
 -  การเพิ่มโทษและเบี้ยปรับให้กับคนในครอบครัวหรือคนที่เขารัก
ในเมื่อราคาข้าวปลาอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ ค่าจ้างพี่เลี้ยงผู้คุม ค่าซ่อมแซมอาคารสถานที่ ต่างชวนกันพาเหรดกันขึ้นราคามาอย่างต่อเนื่อง เพียงเราปรับเพิ่มโทษให้กับผู้ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับสังคม โดยเฉพาะถ้าเป็นคนร่ำคนรวย และยิ่งถ้ากระผิดร้ายแรง อัตราค่าปรับนั้นจะต้องทวีคูณ เป็นต้น

ในประเทศอังกฤษ ถ้าหากคุณดื่มเหล้าเมา แล้วขับรถโดนตำรวจจับ ความผิดจะตามไปถึงผู้ที่เป็นเจ้าของสถานที่หรือเจ้าของบ้าน ที่ละเลยปล่อยให้คนๆนั้นขับรถออกมาจากสถานที่ของคุณและอาจส่งผลร้ายที่ไม่อาจหวนคืนต่อสังคมได้

หลายๆครั้งผู้ที่กระทำความผิดมักจะไม่ได้คิดเป็นห่วงตนเองที่จะต้องรับโทษเท่าไรนัก แต่หากเป็นคนในครอบครัวที่เขารักต้องได้รับโทษด้วย แม้แต่ผู้ก่อการร้ายก็คงจะมีความยับยั้งชั่งใจก่อนกระทำการใดๆได้บ้าง และน่าจะทำให้คนที่รักเขาต้องคอยอบรมบ่มเพาะไม่ให้เขาไปก่อเหตุร้ายในสังคมได้ ดังที่เราจะเห็นจากซีรีย์ฝรั่งหรือละครไทย ซึ่งล้วนสร้างมาจากความเป็นจริงทั้งสิ้น

จะดีกว่าไหม ถ้าในที่สุดเราสามารถลดงบประมาณส่วนนี้ที่มาจากภาษีของคนทำมาหากินอย่างสุจริต ลงได้แม้เพียงครึ่งหนึ่ง โดยเรียกเก็บเงินค่าปรับจากคนที่กระทำผิดเพื่อนำมาใช้ดูแลพวกเขาเอง (ยิ่งรวยแล้วทำผิด ยิ่งปรับแพง) แล้วนำเงินไปใช้จ่ายกับคนที่ตกทุกข์ได้ยาก คนด้อยโอกาสของสังคมจริงๆ ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม แทนที่จะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำกับเงินจำนวนกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาทต่อปี

วันพุธที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ประเทศไทย อยู่ตรงไหนบนแผนที่โลก

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

หลายปีที่ผ่านมาทีมนักกีฬาของไทยได้พัฒนาฝีมือขึ้นมามาก ทั้งทีมฟุตบอล วอลเล่ย์บอล แบดมินตัน และล่าสุดคือ กอล์ฟ พวกเขาได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ สร้างความสำราญให้กับคนไทย และสร้างเกียรติยศให้แก่ตัวพวกเขาเอง แต่ที่โด่งดังเป็นพิเศษคือทีมฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งมีเจ้าของคือคุณวิชัย ที่เป็นคนไทย ถึงแม้จะไม่ได้เป็นนักกีฬาที่ลงแข่งขันเอง แต่การคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบพลิกความคาดหมาย ไม่ใช่แต่เพียงสื่อมวลชนสำนักต่างๆ แต่พลิกความคาดหมายของคนทั้งโลกก็ว่าได้ ต้องยอมรับว่าคุณวิชัยและทีมงานมีส่วนสำคัญที่ได้จารึกชื่อของประเทศไทย ไว้ในใจของชาวต่างชาติได้อย่างมากมาย

มีการพูดทีเล่นทีจริงกันว่า ประเทศไทยได้หายไปจากแผนที่โลก ไดยเฉพาะในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา เพราะคนไทยมัวแต่ตีกันเอง ซึ่งไม่จริง เพราะยังไงแผนที่โลกก็ต้องมีชื่อประเทศไทยอยู่บนนั้นวันยันค่ำ.. แต่หลายคนที่เคยใช้ชีวิตในประเทศตะวันตก จะทราบว่าประเทศเรา Thailand ไม่ได้อยู่ในความทรงจำของชาวโลกส่วนใหญ่ บางคนยังคิดว่าประเทศที่เป็นเกาะเล็กกว่าไทยประมาณ 15 เท่าตัว อย่าง Taiwan คือ Thailand หรือบางคนก็จะรู้จัก Thailand ในทางที่ไม่ค่อยดีนัก สิ่งเหล่านี้นับเป็นการเสียโอกาสทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว และในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยทั้งสิ้น

การพัฒนาด้านกีฬานับเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ต้องสนับสนุนและสานต่อ เพื่อสร้างชื่อและภาพลักษณ์ในทางที่ดีให้กับประเทศ ถ้าจะลองเหลียวดูประเทศสำคัญๆในโลกนี้ล้วนมีจุดเด่นด้านกีฬาที่ทำให้โลกรู้จักเขาทั้งสิ้น เช่น ใครอยากเล่นกอล์ฟหรือเป็นนักบาสอาชีพ ต้องไปอเมริกา,  ใครอยากเตะฟุตบอล ต้องไปยุโรป อังกฤษ อิตาลี เยอรมัน เสปน ฝรั่งเศส,  ใครอยากเป็นนักฮอกกี้ ต้องไปแคนาดา,  คนเก่งๆจะเล่นรักบี้ ต้องไปออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น ส่วนถ้ามาเมืองไทยจะต้องเล่นอะไร??? ก็ยังไม่ค่อยแน่ใจนัก เราไม่ได้บอกว่าเราเป็นประเภทจับฉ่าย แต่เราคงต้องยอมรับความจริงว่า เรายังล้าหลังด้านการพัฒนากว่าประเทศเหล่านี้หลายสิบปี

ความสามารถในการพัฒนาเกมกีฬาให้เป็นจุดเด่นของประเทศเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ต้องศึกษา ซึ่งในประเทศไทยก็น่าจะมีคนเก่งมีความสามารถที่จะพัฒนาสิ่งเหล่านี้อยู่ไม่น้อย ถ้าหากทำสำเร็จ มุ่งโฟกัสไปที่กีฬาประเภทใดประเภทหนึ่งเป็นพิเศษ(ที่มีความเป็นสากลนิยม) ให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายหนึ่งของนักกีฬาอาชีพนั้นๆ จะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนจากในและต่างประเทศได้อย่างมหาศาล ทั้งค่าสปอนเซอร์ ค่าตัวนักกีฬา ค่าตั๋ว ค่าจ้างงาน ค่าลิขสิทธิ์ เม็ดเงินโฆษณา รายได้จากการท่องเที่ยว ค่าภาษีที่ต้องจ่ายให้กับรัฐ การค้าขายของที่เกี่ยวข้อง และอุตสาหกรรมต่อเนื่องอีกมากมาย

จากการศึกษาค้นคว้าของ (Professor of Sport Business Strategy, Coventry University 2014) ชี้ให้เห็นว่ารายได้ภาษีที่รัฐจัดเก็บได้จากฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ อยู่ที่ประมาณ 1,300 ล้านปอนด์ หรือคิดเป็นเงินไทย 65,000 ล้านบาทโดยประมาณ เงินจำนวนนี้ต่อปี สามารถสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้กับประชาชนได้จำนวนไม่น้อยทีเดียว

การกีฬาจะเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สามารถสร้างโอกาสการพัฒนาเศรษฐกิจให้กับประเทศ Nelson Mandela ผู้นำของแอฟริกาใต้ที่ถูกจำคุกนานกว่า 20 ปี แต่หลังออกจากคุก 3 ปี เขาก็ได้รับรางวัลNobelสาขาสันติภาพ และขึ้นเป็นประธานาธิบดีผิวสีคนแรกในปี1994 (BBC, 2013) ต่อสู้เพื่อให้ประเทศของเขาได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกตั้งแต่ปี 2006 แต่กว่าจะได้รับเลือกต้องรอไปจนถึงปี 2010 ณ เวลานั้น เขาได้ทำให้ทุกสายตาบนโลกจับจ้องไปที่ประเทศแอฟริกาใต้ และจะต้องมีอีกกี่พันกี่หมื่นชีวิต มีผู้ติดตามทีมฟุตบอลอีกหลายสิบประเทศ นับเป็นจำนวนเท่าไรที่จะได้เข้าไปใช้จ่ายเงินตราให้กับพี่น้องประชาชนในประเทศของเขา

Nelson Mandela ผู้ยิ่งใหญ่ที่จากโลกไปแล้ว ได้ใช้การกีฬาเป็นการเยียวยาความแตกแยกของคนในชาติ ใช้กีฬาในการสร้างความหวังและเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของคนต่างสีผิว ซึ่งเขาเคยกล่าวไว้ว่า  
"Sport has the power to change the world…it has the power to inspire. It has the power to
unite people in a way that little else does. It speaks to youth in a language they understand. 
Sport can create hope where once there was only despair. 
It is more powerful than government in breaking down racial barriers."

กีฬาของคนไทยคงไมได้มีดีแค่ต้านยาเสพติด กีฬาสามารถสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ กีฬาสร้างความหวังสร้างความสัมพันธ์ที่ดีของคนในชาติได้  ในอนาคตถ้าเราสามารถทำให้ทุกสายตาของชาวโลกจ้องมองมาที่ประเทศไทย แล้วเราสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เขารับรู้รับทราบ ให้ชื่อของประเทศไทยได้เข้าไปอยู่ในใจของเขา ในแง่ธุรกิจแล้ว เมื่อลูกค้าต้องการรู้ว่าสินค้าชิ้นนี้ผลิตจากที่ไหน ประเทศใด เราหวังว่าเขาคงจะไม่ปฏิเสธ แต่พร้อมอ้าแขนรับสินค้าที่ตีตราคำว่า Made in Thailand