วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไปเที่ยวญี่ปุ่น อย่าลืมของฝาก...

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ประเทศญี่ปุ่น พื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยเกือบเท่าตัว แต่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ Top 5 ของโลก เพราะอะไร โชกุน? ซามูไร? ระเบียบวินัย? นโยบาย? หรือผู้นำ?

พื้นที่รกร้างว่างเปล่าในญี่ปุ่นแทบหาไม่เจอ พื้นที่ขนาดใหญ่ใช้ไปกับระบบการขนส่งสาธารณะ
สิ่งของที่ชาวญี่ปุ่นทำออกมาขาย made in japan ทั้งของกิน ของใช้ ของฝาก ล้วนกระตุ้นความกระหายในการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภค(นักท่องเที่ยว) ทุกคนดูมีความตื่นเต้นที่จะได้จ่ายเงินให้กับคนญี่ปุ่น แม้ว่าจะต้องรอคิวนานเท่าไรก็ยอม

ยิ่งเมื่อมีนโยบายจูงใจ tax-free shop (คืนภาษี ณ จุดขาย8%เมื่อซื้อของ 5000-10000 yen ขึ้นไปต่อร้านค้า) ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือที่เรียกกันว่า Abenomics นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายเงินมากขึ้นให้กับสินค้า made in japan และมีเงินเหลืออีก8% ที่พร้อมจะจ่ายให้ร้านค้าอื่นต่อไป (อันนี้บางคนอาจเรียกได้ว่าเป็น win-win situation แต่สำหรับผมแล้ว ถึงแม้นโยบายอาจจะมีช่องโหว่อยู่บ้าง แต่คนญี่ปุ่นได้รับประโยชน์มากกว่าเหลือเกิน หรือWINตัวใหญ่กว่าหลายเท่า เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวจำต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้เข้าเกณฑ์ free tax ทั้งที่ความจริงส่วนที่จ่ายเพิ่มนั้นไม่ได้จำเป็นต้องใช้ และยังได้นำเงินส่วนที่เหลือ8%ไปหมุนต่อในระบบ กระจายเงินออกไปทันที) ผมนึกไม่ออกเลยว่านโยบายแบบนี้ ถ้ามีในประเทศไทย รัฐจะต้องเสียรายได้เท่าไร เพราะมีช่องทางให้ซิกแซกได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับคนญี่ปุ่นอาจไม่มีปัญหานี้ให้รัฐต้องกังวลเลย

เหตุผลเพราะว่า ประเทศที่มีประชากรกว่า100ล้านคน ในที่สาธารณะนั้น มองหาถังขยะแทบไม่เจอ เปรียบเทียบกับไทยที่มีถังขยะทุกหัวบันไดเลื่อน หน้าร้านสะดวกซื้อ ข้างป้ายรถเมล์ แต่ประเทศญี่ปุ่นกลับไม่มีขยะให้เห็นบนท้องถนนและในลำคลองแม้แต่ชิ้นเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ทางม้าลายบนพื้นถนนของเขาทาสีเข้ม เด่นกว่าเส้นจราจร และจะมีอยู่ทุกหน้าปากซอย ทุกทางแยก แม้ซอยจะกว้างเพียง 2.5เมตร (เดิน4ก้าว) เมื่อมีสัญญาณไฟสำหรับคนข้ามถนน ชาวญี่ปุ่นหยุดและยืนรอ ถึงแม้จะดึกและไม่มีรถเลยก็ตาม นี่คือความอัศจรรย์ของประเทศเจริญแล้วประเทศนี้ ที่ไม่มีนักวิเคราะห์สำนักไหนคาดการณ์ว่าอำนาจจะลดน้อยถอยลง

หากย้อนมองดูประเทศเรา ที่มีเพียงทางม้าลายสีจางๆ สะพานลอยเต็มบ้านเต็มเมือง หลายที่กลายเป็นที่เปลี่ยว ขึ้นไปต้องคอยระวังหน้าระวังหลัง รีบขึ้นรีบลง จะรื้อทิ้งก็มีต้นทุน จะเคลื่อนย้ายที่ก็ไม่ได้ ไปสร้างหน้าบ้านใครก็ผิดหลักฮวงจุ้ย จนปัจจุบันหลายที่มีไว้สำหรับเป็นที่บังแดดไปแล้ว ในที่สาธารณะเราจะเห็นเศษขยะ เห็นถุงพลาสติกอยู่ตามข้างทางบ้าง ตามทางเท้าเป็นการทั่วไป บนท้องถนนรถหลายคันเปิดประตูออกมาถุยน้ำลาย ซึ่งเป็นภาพที่ไม่น่าประทับใจหากใครมาเห็นเข้า

ผมอยากรู้จริงๆว่าในอดีต การพัฒนาเศรษฐกิจกับระเบียบวินัยของชาวญี่ปุ่น เขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอะไรมากกว่ากัน อะไรส่งเสริมให้เกิดอะไร หรือเขาพัฒนาควบคู่กัน บ้านเมืองเขาถึงได้ก้าวหน้าจนถึงวันนี้

แต่ปัจจุบันสำหรับประเทศไทย เราอาจไม่มีทางเลือกมากนัก ทั้งสองอย่างจำเป็นต้องพัฒนาไปพร้อมกันและพัฒนาทันที เรื่องแบบนี้อาจจะต้องใช้เวลานับสิบปีกว่าจะเห็นผล ถ้าเราเชื่อสุภาษิตไทย คิดว่าไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก หลักสูตรต่างๆน่าจะไปบังคับที่ระดับอนุบาลและประถมอย่างเข้มงวด แบบนี้ไม่เกินสิบปีเด็กๆน่าจะกลับมาบอก มาคอยเตือนผู้ใหญ่ได้ว่าข้ามถนนเมื่อมีสัญญาณไฟเท่านั้น ไม่สร้างขยะถ้าไม่จำเป็น แยกทิ้งขยะให้ถูกประเภทและเป็นที่เป็นทาง

ผู้ใหญ่ในปัจจุบันก็ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจกันไป โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชน ที่ควรเป็นวิธีการเดินทางหลักของประเทศ ไม่ใช่การส่งเสริมให้ขับรถกันออกมาจอดติดกันบนท้องถนน ลองนึกดูเล่นๆว่าถ้าเราสามารถแบ่งทางด่วนยกระดับในกรุงเทพ2เลนมาให้รถไฟฟ้า วิ่งได้ ทางเหนือจะไปถึงรังสิต ทางใต้ถนนพระราม2 ต่อไปถึงมหาชัย ถึงตลาดน้ำดำเนินสะดวก ตะวันออกไปถึงชลบุรี เรียบทางด่วนเอกมัยรามอินทรา จะเปลี่ยนจากทุ่งหญ้ารกร้างใต้ทางด่วนเป็นเส้นทางคมนาคม เป็นการขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพมากกว่าปล่อยให้รถมาติดกันทั้งทางด่วนและทางราบ ทั้งในตัวเมืองและนอกเมือง

ในเมื่อประเทศไทยวางตัวเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคAsean มีภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบโดยธรรมชาติ สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นกอบเป็นกำ การสอดส่องดูแล การบริการ การอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว หรือลูกค้าที่เอาเงินมาให้พี่น้องของเรา มาใช้จ่ายกับประเทศเราถึงที่ เป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำได้ทันที จะว่าไปแล้ว นักท่องเที่ยวถือเป็นลูกค้าของคนไทยทุกคน เมื่อเขานำเงินมาจ่ายให้คนไทย เกิดการบริโภค เกิดการผลิต เกิดการจ้างงาน เงินหมุนเวียนในระบบยิ่งทวีคูณเท่าไร คนไทยก็ได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น

ถ้าคนไทยทุกคนถือว่าเราเป็นเจ้าของบริษัท บริษัท ประเทศไทย (ไม่จำกัด) ที่ขายการท่องเที่ยวให้ชาวโลก ยิ่งเขาพึงพอใจในบริการของเราเท่าไร เขายิ่งแนะนำบอกต่อ และเกิดการใช้บริการซ้ำ เราก็ยิ่งมีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดการกระจายรายได้ และมีโอกาสในกิจกรรมการงานใหม่ๆเพิ่มขึ้น ที่สำคัญเราต้องช่วยกันคิดให้ได้ว่า เราจะมีวิธีการอย่างไรที่ทำให้้เขาตื่นเต้น และกระเหี้ยนกระหือรือ ที่จะได้จ่ายเงินให้กับคนไทย ให้กับสินค้าไทย และให้กับประเทศไทย แม้จะต้องรอคิวนานแค่ไหนก็ยอม!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น