วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ชาติหน้ามีจริงไหม แล้วทำไม วัดไทย ใหญ่กว่าโรงเรียน

ช่วงนี้กระแสเกี่ยวกับพระมาแรงมาก ทั้งโขมยของในวัด ทั้งกรณีของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ฯลฯ ทำไมปัญหาทางศาสนาจึงเกิดขึ้นกับคนไทยใจพุทธได้???

เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสอ่านบทความของ ดร.ไสว บุญมา เรื่องทฤษฎีหมาเห็นเงา จีงทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ และต้องยอมรับว่าไม่เคยนึกถึงเรื่องจริงในประเด็นนี้มาก่อน ดร.ไสว เขียนไว้คร่าวๆว่า ชาวสหรัฐฯจะมีความเชื่อเรื่องตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ ชาวอเมริกันจึงนิยมกู้เงินซื้อบ้านหลังโตๆ เพื่อแสดงว่าฉันมีความมั่งคั่ง ทั้งๆที่ขนาดครอบครัวมีแนวโน้มที่จะเล็กลง เป็นครอบครัวเดี่ยว 2-3 คน ด้วยเหตุนี้จึงนำมาซึ่งวิกฤติซับไพรม เมื่อปี่ 2008

ในขณะที่คนไทยจะมีความเชื่อเรื่องการทำบุญ เพื่อชาติหน้าเกิดมาจะได้อยู่ในตระกูลที่ดี เป็นใหญ่เป็นโต มียศมีศักดิ์ ของอะไรที่ดีๆต้องเก็บไว้ถวายพระ ส่วนตัวเราชาตินี้กินใช้เท่าที่เหลือไปก่อน ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นได้ว่า วัดวาอารามต่างๆทั่วประเทศไทย จะมีความโอ่อ่า สวยงาม ราวสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

แต่โรงเรียนจำนวนมากเป็นเพียงอาคารไม้ ผุบ้าง รั่วบ้าง แตกต่างจากวัดวาอารามโดยสิ้นเชิง

แต่จะขอเสริมสักนิดว่า นอกจากความเชื่อเรื่องการทำบุญเพื่อชาติหน้าแล้ว พี่ไทยเราก็ยังศรัทธาในเรื่องการเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจด้วย ไม่เช่นนั้นคนไทยคงไม่มีหนี้ครัวเรือนสูงถึง 81.1% ของGDP หรือคิดเป็นเงินประมาน 10.8 ล้านล้านบาท (ศูนย์วิจัยกสิกรไทย, 2558)

ในมุมหนึ่ง วัดของไทยงดงาม เป็นที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยว เป็นศูนย์รวมจิตใจ เป็นที่พบปะของผู้คนมาแต่โบราณ เราต้องช่วยกันรักษาและพัฒนาให้ดีขึ้น

การทำบุญตักบาตร ทำนุบำรุงศาสนา ทำความดี ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อลดกิเลส รู้จักการเสียสละ รู้จักการให้ ทำจิตใจให้ผ่องใส เป็นเรื่องที่ดีน่าสนับสนุน เพียงแต่บางทีเราอาจลืมไปว่ามันมีเส้นบางๆที่กั้นอยู่ระหว่างความพอดีกับความงมงาย ก็เท่านั้นเอง

ถ้าลองดูในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่เจริญก้าวหน้า ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯหรือยุโรป เราจะเห็นได้ว่าโรงเรียนของประเทศเหล่านั้นมีความใหญ่โต อาณาบริเวณนับเป็นสิบๆร้อยๆไร่ มหาวิทยาลัยหลายแห่งจะเป็นสัญลักษณ์ของเมือง มีประวัติความเก่าแก่และได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี

ในทางตรงกันข้าม สถานที่ทางความเชื่อหรือโบสถ์ตามท้องถิ่น จะไม่ได้มีความยิ่งใหญ่อลังการ และการตกแต่งภายในจะออกไปในแนวทางเรียบๆเสียมากกว่า นั่นอาจเป็นเพียงจุดเล็กๆที่แสดงให้เห็นว่า ประเทศเหล่านั้นเขาคงให้ความสำคัญต่อชาตินี้ มากกว่าชาติหน้า

ขณะที่ประเทศไทย เราจะเห็นโรงเรียนหลายแห่งสภาพเก่าและทรุดโทรม หรือแม้แต่โรงพยาบาลตามก็ขาดเครื่องมือแพทย์ที่ดีที่ใช้ช่วยชีวิตคน ขาดงบประมาณในการสนับสนุนและพัฒนา แต่วัดแทบทุกหนแห่งมีเงินบริจาคจากชาวบ้านหลายล้านบาท ยิ่งถ้าเป็นวัดดังๆแล้ว เชื่อได้ว่าวันหนึ่งๆ จะมีเงินสะพัดมากกว่าหลายล้านบาท และมีทรัพย์สินนับเป็นพันล้านบาท

ที่น่าตกใจมากกว่าคือว่า วัดวาบางแห่งมีความกว้างขวางใหญ่โต โอ่อ่า ทันสมัยยิ่งกว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นสถานที่พัฒนาคุณภาพทรัพยากรบุคคลของชาติ หลายเท่าตัว

หากชาติหน้ามีจริง คนไทยในอดีตที่เข้าวัดทำบุญกันเป็นนิจ คงได้เกิดมาเป็นผู้มากรากดี มั่งมีกันทุกคน... แต่ทำไม ประเทศไทยของเราถึงยังมีคนยากคนจนเป็นจำนวนมาก หรือมันกำลังจะบอกเราว่า.. คนที่เขาทำบุญมากๆกันชาติก่อน เขายังไม่ถึงเวลาที่จะมาเกิดในเวลานี้

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ทำร้ายต่างชาติ = ทำลายลูกค้า = ทำลายประเทศ


ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ เราได้ยินได้ฟังข่าวคราวเกี่ยวกับการทำร้ายนักท่องเที่ยวในประเทศไทยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4-5 ครั้ง ทั้งจากกลุ่มวัยรุ่นที่คึกคะนองบ้าง จากคนเมาสุราบ้าง จากแรงงานต่างด้าวบ้าง จากกรณีของรถแท็กซี่บ้าง ซึ่งหลายครั้งเป็นเหตุที่นำไปสู่การสูญเสียชีวิต

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัย แต่คนไทยต้องจำใจทน

จากการคาดการณ์ของสหประชาชาติ(
UN) ประเทศที่มีประชากรมากกว่า 1 ล้านคน ในโลกใบนี้มีอยู่ 157 ประเทศ ส่วนที่เหลือเป็นประเทศเล็กบ้าง เป็นหมู่เกาะน้อยใหญ่บ้าง ซึ่งแต่ละประเทศมีประชากรหลักหมื่น-หลักแสนคนเท่านั้น ส่วนประเทศที่มีประชากรมากที่สุด 5 อันแรกของโลก คือ 1.ประเทศจีน มีประชากรจำนวน 1,300 กว่าล้านคน 2.รองลงมาคืออินเดีย 1,200 กว่าล้านคน 3.สหรัฐอเมริกา 300 กว่าล้านคน 4.อินโดนิเชีย เพื่อนบ้านอาเซียนเราเอง มีประชากรประมาน 250 ล้านคน และ 5.ประเทศบราซิล มีประชากรอยู่ราวๆ 200 ล้านคน

ที่ต้องไล่เรียงจำนวนประเทศในโลกโดยจะขอนับเฉพาะ 157 ประเทศ ที่มีประชากรเกินกว่า 1 ล้านคนนั้น เพื่อที่จะบอกเป็นนัยว่าในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ คนไทยได้ทำร้ายนักท่องเที่ยว หรือทำลายลูกค้าไปแล้ว 4-5 คน จาก 157 ครอบครัว โดยนับเฉพาะที่เป็นข่าวคราวใหญ่โต นักท่องเที่ยวจากประเทศอังกฤษเคราะห์ร้ายโดนเข้าไปหนักๆถึง 2 ครั้ง 2 ครา และกรณีล่าสุด แท็กซี่ล่อลวงสาวพม่า และนักท่องเที่ยวบราซิลไปข่มขืน


ไม่ว่าเราจะโทษพิษของสุรา โทษพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักท่องเที่ยว หรือโทษความไร้สำนึกของคนไทยบางคนบางกลุ่มก็ตามที แต่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและผู้นำ จำเป็นต้องรีบแก้ไขและป้องกันปัญหาเหล่านี้อย่างเร่งด่วนและเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นคนไทยและประเทศไทยอาจจะถูกเปรียบเทียบกับสุภาษิตโบราณ ที่ยังใช้ได้ดีเสมอ คือ 'ปลาเน่าตัวเดียว เหม็นไปทั้งข้อง'

เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ในสังคมไทยนั้นมีคนไทยบางกลุ่มที่ไร้สำนึกต่อส่วนรวม ทำตัวเป็นอันธพาล จนถึงขั้นทำร้ายนักท่องเที่ยวหรือแม้แต่ทำร้ายคนไทยด้วยกันเอง การดื่มสุราและเสพย์ยาเสพติด ยิ่งทำให้พวกเขากล้าทำในสิ่งที่เลวร้ายโดยขาดสติปราศจากการยั้งคิด กระทั่งทำให้นักท่องเที่ยวต้องสูญสิ้นทรัพย์สิน สูญเสียชีวิต หรือแม้แต่จิตใจที่บางครั้งไม่อาจเยียวยากลับมาให้เป็นเหมือนเดิมได้

หากเราลองย้อนนึกดูว่าถ้าเป็นตัวเราเอง ได้เลือกที่จะเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศเพื่อพักผ่อนกับเพื่อนฝูง ให้รางวัลชีวิตกับตัวเองและครอบครัว แต่ต้องมาเจอเรื่องทำร้ายร่างกาย จี้ ปล้น ตบทรัพย์ ในประเทศที่ไม่มีคนรู้จัก มิหนำซ้ำยังพูดคุยกันคนละภาษา สภาพกายและใจของเราในเวลานั้นจะย่ำแย่ขนาดไหน แต่เหตุการณ์เลวร้ายเหล่านี้ดันมาเกิดขึ้นในประเทศของเรา ในแผ่นดินของเรา


บางคนอาจบอกว่าเวลาที่เราไปต่างประเทศก็โดนลักทรัพย์ โดนโกง ประเทศยุโรปก็ดูถูกคนเอเชียต่างๆนาๆ ทุกที่ก็มีอันธพาลเหมือนกันหมด แต่คำพูดเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เราสบายใจขึ้นว่า เหตุการณ์แบบนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปกติทั่วโลก

ในทางตรงกันข้าม จะดีกว่าไหมถ้าประเทศของเราจะขอเป็นผู้นำสักครั้ง ที่พร้อมประกาศกร้าวโดยไม่แคร์ Donald Trump และไม่สนใจ คิม จอง อึน ว่า เรารับประกันความปลอดภัยนักท่องเที่ยวทุกคนบนพื้นฐานของความมีเหตุมีผล และเราจะไม่ยอมให้คนไทยคนไหนไปทำร้ายนักท่องเที่ยวโดยเด็ดขาด ยกเว้นกรณีป้องกันตัวเท่านั้น 


สำหรับนักท่องเที่ยวที่ถูกโกงถูกทำร้าย ภาครัฐและอาจรวมถึงเอกชนจะขอยื่นมือเข้าช่วยและให้สิทธิประโยชน์กับเขาอย่างดีที่สุด

พี่ๆคนขับรถสาธารณะ ทั้งรถแท็กซี่ รถเมล์ รถมอเตอร์ไซค์ รถสามล้อ ที่จะมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าทั้งคนไทยและชาวต่างชาติโดยตรง ต้องถือว่าเป็น 'ทูตชาวบ้าน' ที่จะต้องคอยต้อนรับและให้บริการลูกค้าอย่างสุดฝีมือ เพราะพี่ๆเหล่านี้จะสามารถสร้างความประทับใจด่านแรก หรือที่ฝรั่งเรียกว่า
first impression เกี่ยวกับคนไทยและประเทศไทยให้กับชาวโลกได้เป็นอย่างดี


แต่เป็นที่น่าเสียใจที่เราจะเห็นคนขับรถบางคน โกงมิเตอร์บ้าง ขับอ้อมบ้าง จี้ชิงทรัพย์บ้าง หรือกระทั่งลวงไปข่มขืน ซึ่งนับว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงประเทศชาติ ที่คนดีคนอื่นๆเขาช่วยกันสร้างสมเอาไว้มาอย่างยาวนาน


โดยทฤษฎีแล้ว ถ้าผู้ให้บริการสามารถทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ ลูกค้ามีโอกาสที่จะบอกต่อคนที่เขารู้จักเพียง 1-2 คน หรืออาจจะไม่บอกต่อเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าเขามีความรู้สึกไม่ดี ไม่ประทับใจกับผู้ให้บริการแล้ว เขาจะบอกต่อสิ่งไม่ดีเหล่านั้นให้คนอื่นรับรู้มากกว่า 10 คน โดยเฉพาะในโลกยุคปัจจุบันที่ผู้คนสื่อสารกันผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ social media มีอิทธิพลต่อคนทั้งโลกสูงมาก


เรามักจะเห็นข้อความวิพากษ์วิจารณ์ตัวสินค้าหรือบริการของบริษัทนั้นๆแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แต่คำชื่นชมนั้นนานๆทีถึงจะได้เห็นผ่านตาบ้าง ซึ่งในทางธุรกิจนั้นถือว่าเป็นต้นทุนที่มีค่าสูงลิ่ว

เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ เช่น กรมการขนส่ง สามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการฝึกอบรมบ่มเพาะให้พี่ๆคนขับรถสาธารณะมีจิตใจรักการบริการ ยิ้มแย้ม ซื่อสัตย์ ให้เขาตระหนักว่าหน้าที่ของเขานั้นเป็นวิชาชีพที่มีส่วนสำคัญกับกิจกรรมการท่องเที่ยวและการนำพารายได้เข้าประเทศ ในอีกมุมหนึ่งจะสามารถช่วยคัดกรองเฉพาะบุคคลที่ผ่านกฎระเบียบและขั้นตอนต่างๆเท่านั้น ที่จะได้รับการต่ออายุใบอนุญาต และทำให้ต้นทุนในการได้ใบอนุญาตมานั้นมีราคาแพง พวกเขาก็คงจะยินดีรักษามันไว้ด้วยการบริการที่เป็นเลิศ

แม้ประเทศของเราจะมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ มีคนไทยที่มีน้ำใจและรอยยิ้ม แต่เหตุการณ์เลวร้ายต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น สื่อมวลชนต่างประเทศหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรายงานเหตุอันน่าหดหู่ไปทั่วประเทศของเขาและอาจจะรายงานไปทั่วโลกด้วย ดังที่เราได้เห็นเป็นข่าวที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการสูญเสียโอกาส สูญเสียความน่าเชื่อถือของประเทศ และจะนำไปสู่การสูญเสียรายได้ในส่วนที่ไม่ควรจะเสียอีกด้วย

ที่กล่าวมาทั้งหมดฟังดูเหมือนเป็นการบูชานักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติ แต่ความจริงแล้วเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยพึ่งพารายได้จากภาคการท่องเที่ยวและการบริการ เรียกได้ว่าเป็นหัวเรี่ยวหัวแรง เป็นพระเอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย สร้างรายได้ให้กับพ่อค้าแม่ขายชาวไทยเป็นกอบเป็นกำ และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

ในเมื่อเขา(นักท่องเที่ยว) มีทางเลือกอีก 200 กว่าทาง(ประเทศ)ให้ไป แต่เมื่อเขาเลือกเราแล้ว เราจะไม่รักษาเขาไว้ให้ดี จะยอมให้เขาและพรรคพวกไปอยู่กับผู้ให้บริการรายอื่นง่ายๆอย่างนั้นหรือ ต้องถามใจคนไทยทุกคนดู

แทนที่จะมาแสร้งปลอบใจกันเองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุที่เกิดขึ้นได้ทุกที่ทั่วโลก จะดีกว่าไหม ถ้าเราหันมาช่วยกันวางแผนป้องกันไม่ให้มีใครฉ้อโกง ทำร้ายนักท่องเที่ยว หรือทำลายชื่อเสียงของท้องถิ่นและประเทศชาติ ช่วยกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบที่ผ่านมาขึ้นอีกไม่ว่าผลกรรมจะตกกับคนไทยหรือชาวต่างชาติก็ตาม


แต่เมื่อมันเกิดขึ้นไปแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐระดับผู้บริหาร สามารถเป็นผู้นำที่จะทำทุกวิถีทาง ทั้งเยียวยา ทั้งดูแล และให้สิทธิต่างๆกับเขาเหล่านั้น เพื่อที่จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงและความไว้วางใจกลับมาให้กับประเทศไทยได้บ้างก็ยังดี ถ้าไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ให้ลองไปแอบดูโรงแรม 5 ดาว ที่ดูแลแขก เอาใจลูกค้าเวลาที่เกิดความไม่พึงพอใจในการบริการเท่านั้นเอง


โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไปเที่ยวญี่ปุ่น อย่าลืมของฝาก...

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ประเทศญี่ปุ่น พื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยเกือบเท่าตัว แต่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับต้นๆ Top 5 ของโลก เพราะอะไร โชกุน? ซามูไร? ระเบียบวินัย? นโยบาย? หรือผู้นำ?

พื้นที่รกร้างว่างเปล่าในญี่ปุ่นแทบหาไม่เจอ พื้นที่ขนาดใหญ่ใช้ไปกับระบบการขนส่งสาธารณะ
สิ่งของที่ชาวญี่ปุ่นทำออกมาขาย made in japan ทั้งของกิน ของใช้ ของฝาก ล้วนกระตุ้นความกระหายในการใช้จ่ายเงินของผู้บริโภค(นักท่องเที่ยว) ทุกคนดูมีความตื่นเต้นที่จะได้จ่ายเงินให้กับคนญี่ปุ่น แม้ว่าจะต้องรอคิวนานเท่าไรก็ยอม

ยิ่งเมื่อมีนโยบายจูงใจ tax-free shop (คืนภาษี ณ จุดขาย8%เมื่อซื้อของ 5000-10000 yen ขึ้นไปต่อร้านค้า) ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือที่เรียกกันว่า Abenomics นักท่องเที่ยวยินดีจ่ายเงินมากขึ้นให้กับสินค้า made in japan และมีเงินเหลืออีก8% ที่พร้อมจะจ่ายให้ร้านค้าอื่นต่อไป (อันนี้บางคนอาจเรียกได้ว่าเป็น win-win situation แต่สำหรับผมแล้ว ถึงแม้นโยบายอาจจะมีช่องโหว่อยู่บ้าง แต่คนญี่ปุ่นได้รับประโยชน์มากกว่าเหลือเกิน หรือWINตัวใหญ่กว่าหลายเท่า เพราะเมื่อนักท่องเที่ยวจำต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อให้เข้าเกณฑ์ free tax ทั้งที่ความจริงส่วนที่จ่ายเพิ่มนั้นไม่ได้จำเป็นต้องใช้ และยังได้นำเงินส่วนที่เหลือ8%ไปหมุนต่อในระบบ กระจายเงินออกไปทันที) ผมนึกไม่ออกเลยว่านโยบายแบบนี้ ถ้ามีในประเทศไทย รัฐจะต้องเสียรายได้เท่าไร เพราะมีช่องทางให้ซิกแซกได้อย่างง่ายดาย แต่สำหรับคนญี่ปุ่นอาจไม่มีปัญหานี้ให้รัฐต้องกังวลเลย

เหตุผลเพราะว่า ประเทศที่มีประชากรกว่า100ล้านคน ในที่สาธารณะนั้น มองหาถังขยะแทบไม่เจอ เปรียบเทียบกับไทยที่มีถังขยะทุกหัวบันไดเลื่อน หน้าร้านสะดวกซื้อ ข้างป้ายรถเมล์ แต่ประเทศญี่ปุ่นกลับไม่มีขยะให้เห็นบนท้องถนนและในลำคลองแม้แต่ชิ้นเดียว ยิ่งไปกว่านั้น ทางม้าลายบนพื้นถนนของเขาทาสีเข้ม เด่นกว่าเส้นจราจร และจะมีอยู่ทุกหน้าปากซอย ทุกทางแยก แม้ซอยจะกว้างเพียง 2.5เมตร (เดิน4ก้าว) เมื่อมีสัญญาณไฟสำหรับคนข้ามถนน ชาวญี่ปุ่นหยุดและยืนรอ ถึงแม้จะดึกและไม่มีรถเลยก็ตาม นี่คือความอัศจรรย์ของประเทศเจริญแล้วประเทศนี้ ที่ไม่มีนักวิเคราะห์สำนักไหนคาดการณ์ว่าอำนาจจะลดน้อยถอยลง

หากย้อนมองดูประเทศเรา ที่มีเพียงทางม้าลายสีจางๆ สะพานลอยเต็มบ้านเต็มเมือง หลายที่กลายเป็นที่เปลี่ยว ขึ้นไปต้องคอยระวังหน้าระวังหลัง รีบขึ้นรีบลง จะรื้อทิ้งก็มีต้นทุน จะเคลื่อนย้ายที่ก็ไม่ได้ ไปสร้างหน้าบ้านใครก็ผิดหลักฮวงจุ้ย จนปัจจุบันหลายที่มีไว้สำหรับเป็นที่บังแดดไปแล้ว ในที่สาธารณะเราจะเห็นเศษขยะ เห็นถุงพลาสติกอยู่ตามข้างทางบ้าง ตามทางเท้าเป็นการทั่วไป บนท้องถนนรถหลายคันเปิดประตูออกมาถุยน้ำลาย ซึ่งเป็นภาพที่ไม่น่าประทับใจหากใครมาเห็นเข้า

ผมอยากรู้จริงๆว่าในอดีต การพัฒนาเศรษฐกิจกับระเบียบวินัยของชาวญี่ปุ่น เขาให้ความสำคัญกับการพัฒนาอะไรมากกว่ากัน อะไรส่งเสริมให้เกิดอะไร หรือเขาพัฒนาควบคู่กัน บ้านเมืองเขาถึงได้ก้าวหน้าจนถึงวันนี้

แต่ปัจจุบันสำหรับประเทศไทย เราอาจไม่มีทางเลือกมากนัก ทั้งสองอย่างจำเป็นต้องพัฒนาไปพร้อมกันและพัฒนาทันที เรื่องแบบนี้อาจจะต้องใช้เวลานับสิบปีกว่าจะเห็นผล ถ้าเราเชื่อสุภาษิตไทย คิดว่าไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก หลักสูตรต่างๆน่าจะไปบังคับที่ระดับอนุบาลและประถมอย่างเข้มงวด แบบนี้ไม่เกินสิบปีเด็กๆน่าจะกลับมาบอก มาคอยเตือนผู้ใหญ่ได้ว่าข้ามถนนเมื่อมีสัญญาณไฟเท่านั้น ไม่สร้างขยะถ้าไม่จำเป็น แยกทิ้งขยะให้ถูกประเภทและเป็นที่เป็นทาง

ผู้ใหญ่ในปัจจุบันก็ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจกันไป โดยเฉพาะระบบขนส่งมวลชน ที่ควรเป็นวิธีการเดินทางหลักของประเทศ ไม่ใช่การส่งเสริมให้ขับรถกันออกมาจอดติดกันบนท้องถนน ลองนึกดูเล่นๆว่าถ้าเราสามารถแบ่งทางด่วนยกระดับในกรุงเทพ2เลนมาให้รถไฟฟ้า วิ่งได้ ทางเหนือจะไปถึงรังสิต ทางใต้ถนนพระราม2 ต่อไปถึงมหาชัย ถึงตลาดน้ำดำเนินสะดวก ตะวันออกไปถึงชลบุรี เรียบทางด่วนเอกมัยรามอินทรา จะเปลี่ยนจากทุ่งหญ้ารกร้างใต้ทางด่วนเป็นเส้นทางคมนาคม เป็นการขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพมากกว่าปล่อยให้รถมาติดกันทั้งทางด่วนและทางราบ ทั้งในตัวเมืองและนอกเมือง

ในเมื่อประเทศไทยวางตัวเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคAsean มีภูมิศาสตร์ที่ได้เปรียบโดยธรรมชาติ สามารถสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นกอบเป็นกำ การสอดส่องดูแล การบริการ การอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว หรือลูกค้าที่เอาเงินมาให้พี่น้องของเรา มาใช้จ่ายกับประเทศเราถึงที่ เป็นกลยุทธ์ที่สามารถทำได้ทันที จะว่าไปแล้ว นักท่องเที่ยวถือเป็นลูกค้าของคนไทยทุกคน เมื่อเขานำเงินมาจ่ายให้คนไทย เกิดการบริโภค เกิดการผลิต เกิดการจ้างงาน เงินหมุนเวียนในระบบยิ่งทวีคูณเท่าไร คนไทยก็ได้ประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น

ถ้าคนไทยทุกคนถือว่าเราเป็นเจ้าของบริษัท บริษัท ประเทศไทย (ไม่จำกัด) ที่ขายการท่องเที่ยวให้ชาวโลก ยิ่งเขาพึงพอใจในบริการของเราเท่าไร เขายิ่งแนะนำบอกต่อ และเกิดการใช้บริการซ้ำ เราก็ยิ่งมีรายได้เพิ่มขึ้น เกิดการกระจายรายได้ และมีโอกาสในกิจกรรมการงานใหม่ๆเพิ่มขึ้น ที่สำคัญเราต้องช่วยกันคิดให้ได้ว่า เราจะมีวิธีการอย่างไรที่ทำให้้เขาตื่นเต้น และกระเหี้ยนกระหือรือ ที่จะได้จ่ายเงินให้กับคนไทย ให้กับสินค้าไทย และให้กับประเทศไทย แม้จะต้องรอคิวนานแค่ไหนก็ยอม!!

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ไฟของ กทม.

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

หากทุกท่านยังคงจำได้ เมื่อช่วงปีใหม่ 2559 กรุงเทพมหานคร โดยท่านผู้ว่าฯ ได้ประดับตกแต่งไฟLED บริเวณลานคนเมือง ด้านหน้าศาลาว่าการกรุงเทพฯ หรือ เสาชิงช้า เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้เดินทางมาเยี่ยมชม ถ่ายภาพ และเกิดการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งประโยชน์จะตกอยู่กับชาว กทม. โดยเฉพาะพ่อค้าแม่ขายทั้งหลาย

โดยเจตนาของท่านผู้ว่าฯ น่าจะเป็นเจตนาที่ดี ที่บริสุทธิ์ แต่ด้วยงบประมาณและวิธีการดำเนินงานต่างๆนั้น ทำให้หลายฝ่ายอดเคลือบแคลงใจไม่ได้ว่า "ไฟ 39 ล้าน" มีที่มาที่ไปอย่างไร บางคนอาจกล่าวเชิงประชดประชันบนหลักคณิตศาสตร์ว่า ถ้ามีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม 1 ล้านคน ก็จะคิดเป็นค่าใช้จ่ายต่อหัวที่ 39 บาท ถ้า 10 ล้านคน ก็จะตกอยู่เพียงคนละ 3.90 บาทเท่านั้น  ซึ่งฟังดูแล้วเป็นตัวเลขที่ไม่สูงเลย เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่นักท่องเที่ยวได้รับ และเม็ดเงินที่กระจายไปสู่พ่อค้า-แม่ค้า คนกทม.

หลายท่านคงอดสงสัยไม่ได้ว่า เงิน 39 ล้านบาท ที่นำไปใช้จัดไฟเพียงชั่วครั้งชั่วคราวนั้น มันคุ้มค่าหรือไม่? ผมคิดว่าเงินจำนวน 39 ล้านบาท น่าจะนำไปใช้ได้คุ้มค่ากว่านี้ ไปใช้ในสิ่งที่เกิดการพัฒนา เกิดการเปลี่ยนแปลง และมีความถาวร สอดคล้องกับเป้าหมายของประเทศ ที่วางตัวเองเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค (logistics hub)  และเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว (tourist destination) น่าจะเป็นประโยชน์ในระยะยาวมากกว่า

ท่านผู้ว่าฯ สามารถจะใช้งบประมาณส่วนหนึ่งจาก 39 ล้านบาทนี้ เป็นแรงกระตุ้น เป็นแรงบันดาลใจให้ทั้ง 50 เขตใน กทม. แข่งขันกับปรับปรุงสภาพแวดล้อม (ภายใต้งบประมาณของเขต) โดยเฉพาะการกำจัดขยะมูลฝอยตามท้องถนน บนทางเท้า ตามแม่น้ำลำคลองและในที่สาธารณะ ไม่ใช่ปล่อยให้มีเศษขยะ ถุงพลาสติกลอยเกลื่อนไปทั่วเมือง แม้แต่เขตชั้นในของ กทม.

ผมขอเสนอทางเลือก โดยให้ท่านผู้ว่าฯ ตั้งทีมขึ้นมาเพื่อให้คะแนน เขตที่ชนะเลิศ 3 อันดับแรก ต้องได้รับรางวัลแห่งความทุ่มเทเพื่อส่วนรวม และควรเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ ที่ทั้งทีมได้รับร่วมกัน ไม่ใช่แต่เฉพาะผู้บริหารเขตเท่านั้น เพื่อให้เป็นแรงผลักดันในปีถัดๆไป ให้ทุกคนทุกเขตทุ่มเทเพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองมากขึ้นกว่าเดิม ผมคิดว่าวิธีใช้งบประมาณในลักษณะนี้ ด้วยเงิน 39 ล้านบาท น่าจะนำไปใช้ได้อยู่หลายปี ซึ่งจะเป็นหน้าตาให้กับประเทศ หรือแม้แต่ตัวท่านผู้ว่าฯเอง ให้ต่างชาติเขายกย่องประเทศไทยในทางที่ดี และหวังว่าสักวันหนึ่งเมืองหลวงของเราจะ สะอาด งามตา น่าชม เหมือนเมืองอื่นๆในประเทศที่พัฒนาแล้วกับเขาบ้าง

เมื่อประเทศของเราไม่ได้รวยล้นฟ้า เงินตราพิมพ์เองไม่ได้ การจัดลำดับความสำคัญของการใช้เงินที่มีอยู่จำกัดจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการใช้เงินก้อนนั้นให้เป็นประโยชน์กับคนส่วนมาก และควรเป็นการใช้เงินที่สามารถก่อให้เกิดรายได้กับพี่น้องประชาชนในระยะยาว แบบนี้สิครับถึงจะได้เป็นท่านผู้ว่าฯ ที่ไม่ถูกว่า.....