SmartBankok
คิดไม่มีกรอบ
วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568
วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2563
เคล็ดลับของเจ้าสัว
คุณเคยสงสัยใช่ไหม ทำไมเจ้าสัวถึงได้ร่ำรวยกว่าคนทั่วไป
วันนี้เราได้พบจดหมายฉบับหนึ่ง ที่เจ้าสัวทิ้งไว้ให้ลูกชายพร้อมกับทรัพย์สินพันล้าน ก่อนที่เจ้าสัวจะสิ้นลมหายใจอย่างไม่ทันตั้งตัว
ในจดหมายเขียนเคล็ดลับไว้อยู่ 3 ข้อ
เมื่อลูกชายเปิดอ่าน จึงพบเคล็ดลับสามข้อ
ข้อแรก เวลาเจ้าไปทำงาน อย่างให้โดนแดด
ข้อสอง เวลาเจ้ากินอาหาร ต้องกินให้อร่อย
ข้อสาม เวลาเจ้ากลับบ้าน ให้กลับดึกๆ
พอรู้ดังนั้นเขาก็ทำตามอย่างไม่บกพร่อง
จนกระทั่ง 20 ปีต่อมา มีคนไปพบว่า ลูกชายเจ้าสัวประสบชะตากรรม สิ้นเนื้อประดาตัว
เขาจึงลุกขึ้นอีกครั้ง เพื่อไปจุดธูปหาเตี่ย ต่อว่าอย่างน้อยใจในโชคชะตา
หนึ่งคืนหลังจากนั้น เตี่ยได้มาเข้าฝันลูกชาย แล้วบอกว่า
'อั้ยย่ะ เคล็ดลับที่อั๊วบอกลื้อไป ลื้อทำผิดทุกอย่าง ไอ้ชิหาย'
ข้อแรก เวลาไปทำงาน อย่าโดนแดด หมายถึง มึงต้องไปทำงานแต่เช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ไปให้ถึงก่อนลูกน้อง
ข้อสอง กินอาหารต้องให้อร่อย หมายถึง ไม่หิวอย่ากิน ให้มึงกินเฉพาะเวลาหิว เพราะตอนมึงหิว มึงกินอะไรก็อร่อยไปหมด
ข้อสาม กลับบ้านดึกๆ หมายถึง มึงต้องกลับบ้านทีหลังลูกน้อง ตรวจตราที่ทำงานให้เรียบร้อย ทุ่มเททำงานให้ลูกน้องมึงเห็นเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ให้มึงไปเที่ยวเล่นจนมืดค่ำแล้วค่อยกลับบ้าน
เตี่ยทิ้งท้ายก่อนจากไปว่า 'มึงนี่ควายแท้ๆ'
วันนี้เราได้พบจดหมายฉบับหนึ่ง ที่เจ้าสัวทิ้งไว้ให้ลูกชายพร้อมกับทรัพย์สินพันล้าน ก่อนที่เจ้าสัวจะสิ้นลมหายใจอย่างไม่ทันตั้งตัว
ในจดหมายเขียนเคล็ดลับไว้อยู่ 3 ข้อ
เมื่อลูกชายเปิดอ่าน จึงพบเคล็ดลับสามข้อ
ข้อแรก เวลาเจ้าไปทำงาน อย่างให้โดนแดด
ข้อสอง เวลาเจ้ากินอาหาร ต้องกินให้อร่อย
ข้อสาม เวลาเจ้ากลับบ้าน ให้กลับดึกๆ
พอรู้ดังนั้นเขาก็ทำตามอย่างไม่บกพร่อง
จนกระทั่ง 20 ปีต่อมา มีคนไปพบว่า ลูกชายเจ้าสัวประสบชะตากรรม สิ้นเนื้อประดาตัว
เขาจึงลุกขึ้นอีกครั้ง เพื่อไปจุดธูปหาเตี่ย ต่อว่าอย่างน้อยใจในโชคชะตา
หนึ่งคืนหลังจากนั้น เตี่ยได้มาเข้าฝันลูกชาย แล้วบอกว่า
'อั้ยย่ะ เคล็ดลับที่อั๊วบอกลื้อไป ลื้อทำผิดทุกอย่าง ไอ้ชิหาย'
ข้อแรก เวลาไปทำงาน อย่าโดนแดด หมายถึง มึงต้องไปทำงานแต่เช้าตรู่ก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ไปให้ถึงก่อนลูกน้อง
ข้อสอง กินอาหารต้องให้อร่อย หมายถึง ไม่หิวอย่ากิน ให้มึงกินเฉพาะเวลาหิว เพราะตอนมึงหิว มึงกินอะไรก็อร่อยไปหมด
ข้อสาม กลับบ้านดึกๆ หมายถึง มึงต้องกลับบ้านทีหลังลูกน้อง ตรวจตราที่ทำงานให้เรียบร้อย ทุ่มเททำงานให้ลูกน้องมึงเห็นเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ให้มึงไปเที่ยวเล่นจนมืดค่ำแล้วค่อยกลับบ้าน
เตี่ยทิ้งท้ายก่อนจากไปว่า 'มึงนี่ควายแท้ๆ'
'The Revenge of Nature'
ธรรมชาติเอาคืน
ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ Covid-19 ใครจะว่าเป็นฝีมือมนุษย์
หรือมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังก็ตามนั้น สามารถสรุปเป็นประโยคสั้นๆ ได้ว่า มนุษย์ถูก(ธรรมชาติ)เอาคืน
ช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ธรรมชาติได้พยายามตักเตือนมนุษย์หลายต่อหลายครั้งนั้น
เชื่อกันว่าภัยคุกคามหรือที่บางคนเรียกว่าสงครามครั้งนี้ ซึ่งมนุษยชาติกำลังต่อสู้กับศัตรูที่มองไม่เห็น จะรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปี
ใครจะไปคิดว่า อุปกรณ์ข้างกายที่ต้องมีไว้เพื่อความอยู่รอดวันนี้ คือ
หน้ากากกับเจลล้างมือ
สมัยก่อนในรถยนต์จะไม่มีที่วางแก้วน้ำ เพราะแต่ก่อนคนกินน้ำถุง
ห้อยไว้กับประตูรถ
ปัจจุบัน วิวัฒนาการเป็นการดื่มน้ำจากแก้ว รถยนต์สมัยใหม่จึงต้องมีที่วางแก้วน้ำ
ส่วนในอนาคตอาจจะต้องเพิ่มที่วางขวดเจลแอลกอฮอล์ในรถยนต์ด้วย
ท่ามกลางความยากลำบากทางเศรษฐกิจ หากมองอีกด้านหนึ่งของสถานการณ์ก็ยังพอมีมุมบวกของมันให้เห็นอยู่บ้าง สรุปสั้นๆได้เป็น 4ส.
คือ สิ่งแวดล้อม สมาชิกครอบครัว สติ และ (ความ)สงบสุข
คือ สิ่งแวดล้อม สมาชิกครอบครัว สติ และ (ความ)สงบสุข
1. เป็นครั้งแรกของโลกที่มนุษย์พร้อมใจกันลดการใช้พลังงาน และลดการบริโภคเกินจำเป็น (Overconsumption) ไม่ว่าจะเป็นโรงงานอุตสาหกรรม การเดินทางโดยรถยนต์ หรือแม้แต่สายการบิน
ที่ประกาศหยุดให้บริการ 3 เดือน 6 เดือน ทำให้ราคาน้ำมันลดลงถูกที่สุดในรอบหลายสิบปี
หากใครมีความจำเป็นจะต้องเดินทางไปไหนมาไหน จะพบกับการจราจรในฝันที่ประหยัดเวลาการเดินทางได้มาก
ซึ่งในสถานการณ์ปกตินั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่จะได้พบเจอ
สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกันแล้ว
ส่งผลโดยตรงต่อสิ่งแวดล้อมและสภาพบรรยากาศของธรรมชาติที่ดีขึ้นอย่างไม่เคยเห็นมาก่อน
เป็นการคืนธรรมชาติให้สัตว์โลกในรอบหลายสิบปี
2. พวกเราได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับสมาชิกครอบครัว ทำในสิ่งที่การดำเนินชีวิตในภาวะปกติไม่ค่อยได้ทำหรือไม่มีเวลาจะทำ
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ในภาวะปกติ จะมีการขอร้องให้มนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์สังคมหยุดนิ่งอยู่กับบ้าน อยู่กับครอบครัว โดยไม่ออกไปข้างนอกถ้าไม่จำเป็น
แต่หลังเกิดการระบาดของเชื้อโรคร้ายตัวนี้
ต่างคนต่างกลัว ไม่อยากไปไหนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ยิ่งมีคำสั่งให้ปิดศูนย์การค้าและสถานที่ที่เป็นแหล่งชุมนุม ยิ่งทำให้มนุษย์เกือบ 100%
ได้หยุดการเคลื่อนที่เป็นการชั่วคราว
ทำให้แต่ละคนมีเวลาจัดระเบียบตัวเอง จัดระเบียบบ้าน พัฒนาตัวเอง พร้อมหน้าพร้อมตากันกับสมาชิกในครอบครัว
ธุรกิจบางประเภทจึงได้รับอานิสงค์ทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น ร้านขายต้นไม้ ธุรกิจเครื่องครัว
รายการโทรทัศน์ ค้าขายออนไลน์ เป็นต้น
3. เมื่อมนุษย์ทั่วโลกได้หยุดพัก ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง ตั้งสติแล้วมองย้อนอดีต
คิดไปในอนาคต จะพบว่า ความแน่นอนที่สุด คือความไม่แน่นอน
ทั้งในเรื่องของอาชีพการงาน รายได้ การใช้ชีวิต การทำกิจกรรมต่างๆ
สามารถเปลี่ยนแปลงได้อยู่เสมอ
การดำเนินชีวิตของมนุษย์หลังจากนี้คงจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อะไรที่เคยคิดว่าสำคัญ
อาจจะไม่สำคัญ อะไรที่ไม่เคยคิดถึง อาจจะกลายเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต
การใช้ชีวิตแบบวันต่อวันอาจมีความเสี่ยงสูง
การวางแผนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคตจะมีความสำคัญอย่างยิ่ง
4. ชาวโลกได้อยู่อย่างสงบสุขอีกครั้ง เพราะในรอบหลายปีที่ผ่านมา พวกเราได้อยู่ท่ามกลางภัยสงครามและก่อการร้ายทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ แต่ไวรัส Covid19 ทำให้โจรกลัวตาย
ผู้ก่อการร้ายISIS ถึงต้องสั่งระงับการโจมตีชั่วคราว เพื่อเว้นระยะห่างและป้องกันการรวมตัวกันในหมู่โจร ซึ่งอาจนำมาซึ่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ ที่สำคัญเมื่อคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในบ้าน จึงไม่เป็นการฉลาดที่โจรจะสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายให้เกิดขึ้น
ถึงแม้จะมีการระงับการเดินทางเข้า-ออกประเทศของชาวต่างชาติ ทำให้เกิดความไม่สะดวกบ้างก็ตาม แต่ก็เพื่อความปลอดภัยของพลเมืองส่วนใหญ่ของแต่ละประเทศ เราได้เห็นความร่วมไม้ร่วมมือทางการแพทย์ในระดับรัฐบาลของแต่ละประเทศ เป็นโอกาสที่ผู้นำจะได้ผูกมิตรสัมพันธ์กับประเทศเป้าหมายในอนาคต และเมื่อเกิดวิกฤติเรายังมั่นใจได้ว่า คนส่วนใหญ่ยังพร้อมที่จะร่วมมือกันเพื่อให้ส่วนรวมก้าวต่อไปได้
หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป หลายคนทำนายว่า
การใช้ชีวิตของคนทั้งโลกจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
บ้างก็บอกว่าเทคโนโลยีจะยิ่งเร่งเข้ามามีบทบาทมากขึ้นต่อชีวิตมนุษย์
บ้างก็ว่าการพัฒนาในระบบสาธารณะสุขจะเป็นแบบก้าวกระโดด
หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตของคนส่วนมากจะต้องเว้นระยะห่างเป็นกิจวัตร
แต่สุดท้าย ยังคงมีคำถามสำคัญที่ยังไม่มีใครมีคำตอบคือ
อะไรจะจบก่อนกันระหว่าง เชื้อร้ายไวรัส กับ เศรษฐกิจของชาวบ้าน
วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2563
มีลูก 1 คน ใช้เงินเท่าไร..??
เรื่องเด็กๆ ที่จะไม่เด็กอีกต่อไป
เริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์ อย่างช้าประมาณเดือนที่ 3 จะต้องไปฝากครรภ์
ถ้าเป็นโรงพยาบาลของรัฐ ก็จะถูกหน่อย โรงพยาบาลเอกชนราคาก็สูงกว่า อย่างน้อยเกือบเท่าตัว
การฝากครรภ์ จะต้องมียาบำรุง มีค่าตรวจรักษา ค่าอัลตร้าซาวน์ หากคุณแม่มีโรคแทรกซ้อน ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก
สำหรับค่าใช้จ่ายแต่ละครั้ง คิดราคากลางๆ เฉลี่ย 2000 บาท/ครั้ง
ถ้าระหว่างตั้งครรภ์ ไปพบแพทย์ 10 ครั้ง คิดเป็นเงินเท่ากับ 20,000 บาท
ค่าใช้จ่ายคุณแม่ส่วนอื่นๆที่ไม่นำมาคิดรวมอีก เช่น เสื้อผ้า อาหาร การเดินทาง ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
เมื่อถึงวันคลอดแล้ว ค่าใช้จ่ายการคลอดส่วนนี้ จะเป็นก้อนใหญ่ที่สุด
จะถูกหรือแพง ตามมาตรฐาน สามารถเลือกได้ตั้งแต่ 50,000-150,000 บาท
ระยะเวลา 9 เดือน ตั้งแต่ ตั้งครรภ์จนถึงคลอดบุตร เฉลี่ย คิดเป็นเงินเท่ากับ 120,000 บาท
ระยะเวลาต่อจากนี้แหละ คือของจริง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายต่อเนื่องยาวนานที่สุด
เมื่อถึงเวลาพาคุณลูกกลับบ้าน คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ก็ต้องมีข้าวของ เครื่องใช้ สำหรับเด็กอ่อน ไม่ว่าจะเป็น เตียง เสื้อผ้า ของเล่น และอื่นๆ ที่เป็นของใช้ถาวร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายก้อนหนึ่ง โดยเราไม่นำมารวมด้วย
หลังคลอด มาตรฐานโรงพยาบาลทั่วไป จะมีโปรแกรมฉีดวัคซีน ตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึง 3 ขวบปี
คิดเลขกลมๆ ค่ายาวัคซีนเด็ก ปีละ 10,000 บาท ระยะเวลา 3 ปี รวม 30,000 บาท
ของใช้สิ้นเปลืองสำหรับเด็กอ่อน ในยุคปัจจุบันที่ค่อนข้างจำเป็น คือ ผ้าอ้อมสำเร็จรูป
อย่างถูกตัวละ 6 บาท วันละ 3 ตัว เท่ากับ 18 บาท ปีละ 6,570 บาท ถ้าใช้ 3 ปี เท่ากับ 19,710 บาท
ถ้าอยากประหยัดส่วนนี้มากเท่าไร ต้องพยายามสอนให้เด็กขับถ่ายที่ห้องน้ำให้เร็วเท่านั้น
เด็กเกิดมาทุกคนต้องกินนม หากกินนมแม่ก็จะลดภาระค่านมไปได้มาก แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายส่วนเครื่องไม้เครื่องมือของคุณแม่เพิ่มมาอีก
หากเด็กกินนมวันละ 3 กล่อง กล่องละ 10 บาท วันละ 30 บาท คิดเป็นเงิน 10,000 บาท/ปี
ถ้าอย่างน้อยเด็กดื่มนมระยะเวลา 10 ปี จะเท่ากับเงิน 100,000 บาท
ค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน คิดอย่างคร่าว เท่ากับ 150,000 บาท (30000+19710+100000)
ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง คือ ค่าเบี้ยประกัน หากคุณพ่อคุณแม่ทำประกันให้ อย่างถูกปีละ 25,000 บาท ตั้งแต่ 1 ขวบ จนเรียนจบมัธยมปลาย เท่ากับประมาณ 400,000 บาท
ค่าเล่าเรียน คือค่าใช้จ่ายก้อนโตที่สุด ซึ่งค่าเทอมมีทั้งแบบสุดโต่ง ตั้งแต่เรียนฟรี หรือ เทอมหลายแสนบาท
แต่สำหรับมาตรฐานส่วนมากแล้ว ราคาเฉลี่ยคร่าวๆ คิดที่เทอมละ 40,000 บาท (รวมทุกอย่างแล้วทั้งค่ารถ ค่าอาหาร ค่าหนังสือ ค่าเสื้อผ้า ค่าขนม) คิดเป็นปีละ 80,000 บาท
ตั้งแต่ 3 ขวบ - 17 ปี (อนุบาล 1 ถึงมัธยม 6) จะเป็นเงินค่าเทอม จำนวน 1,200,000 บาท
ยังไม่รวมค่าเรียนเสริมพิเศษ ที่คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ มักจะพาลูกๆไปเรียนกันแต่แต่เริ่มเดินได้ จนเข้าโรงเรียน เมื่อเข้าสูวัยที่ต้องสอบแข่งขัน ยิ่งเรียนหนัก ค่าเรียนพิเศษยิ่งเพิ่มขึ้น มากกว่าค่าเทอมของโรงเรียนด้วยซ้ำไป
สรุปค่าใช้จ่ายทางตรง สำหรับการเลี้ยงดู 1 คน ในระดับคุณภาพชีวิตมาตรฐานทั่วไป
จริงๆแล้ว ปัจจัยที่ทำให้คนสมัยใหม่ไม่อยากมีลูกนั้น มีอีกมากมาย แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่า เรื่องการเงินเป็นปัจจัยแรกๆ ที่มักถูกนำมาอ้างอยู่เสมอ
จำนวนเงินขั้นต้นที่สูงเกือบ 2 ล้านบาท ในการเลี้ยงเด็ก 1 คนให้เติบโตจนพอที่จะดูแลตัวเองได้นั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สังคมสมัยใหม่ ซึ่งนอกจากต้องทำงานหนักแล้ว ยังมีภาระค่าใช้จ่ายสูง จึงไม่นิยมมีลูกมากเหมือนในอดีต หรือไม่มีลูกเลย
เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องเล็กๆ ภายในของหลายครอบครัว แต่เมื่อมาอยู่รวมตัวกันเป็นสังคมแล้ว มันจะกลายเป็นปัญหาความมั่นของชาติทันที
คิดดูง่ายๆอย่างนี้ว่า ประชาชนทำงาน รัฐเก็บภาษีได้ ใช้เงินจุนเจือสังคม แต่ต่อไปหากไม่มีประชาชนทำงาน รัฐเก็บภาษีไมไ่ด้ ก็จะไม่มีเงินจุนเจือสังคม
ภาระและปัญหาก็จะตกอยู่กับคนที่มีความเปราะบางก่อน แต่สุดท้ายจะเป็นปัญหาของทุกคน
พอเห็นปัญหาอย่างนี้ แล้วเราควรจะทำอย่างไรกันดี
ช่วงปี 1970s ประเทศสิงคโปร์ใช้นโยบาย Two-child policy เพื่อจำกัดจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคหลังสงครามโลก ที่เรียกกันว่า Baby Boomers
นอกจากการโปรโมตแคมเปญ ด้วยสโลแกนต่างๆ เช่น 'Small families, Brighter future'. 'The more you have, the less they get'.
ครอบครัวไหนที่มีลูกเกิน 2 คน จะถูกจำกัดหรือลงโทษด้วยมาตรการต่างๆ เช่น ไม่มีการลดหย่อนภาษีบุตรคนที่ 3, ค่าคลอดบุตรจะต้องเสียแพงขึ้น, ไม่ให้สิทธิคุณแม่ลูก 3 เช่น ไม่ได้เงินเดือนระหว่างคลอด ไม่มีเงินชดเชยให้, จำกัดสิทธิในด้านมาตรการที่อยู่อาศัยที่ออกโดยรัฐ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำได้ คือ ทำตรงข้ามกับเขาทุกอย่าง 'The more you have, the more you get'.
- เพิ่มสิทธิการลดหย่อนภาษีคุณพ่อ-คุณแม่ แบบขั้นบันได
- ลดค่าใช้จ่ายค่าคลอดบุตรเป็นขั้นบันได (ปัจจุบันยิ่งมีบุตรมาก ค่าใช้จ่ายยิ่งเพิ่ม เพราะโรงพยาบาลปรับอัตราค่าคลอดขึ้นทุกปี)
- เพิ่มสิทธิประโยชน์คุณแม่แบบขั้นบันได จูงใจให้มีลูกอย่างน้อย 2 คน
- เพิ่มเงินชดเชยแบบขั้นบันได ให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายพื้นฐานในปัจจุบัน
- และหากรัฐมีมาตรการต่างๆ ควรจะให้สิทธิ์กับครอบครัวที่มีลูกจำนวนมากก่อน
สิงคโปร์เอง ยังต้องเปลี่ยนนโยบาย เพิ่มจำนวนประชากร ในอีก 15 ปีถัดมา ด้วยคำขวัญ 'Have three, or more if you can afford it'
ปัจจุบัน สิงคโปร์ใช้นโยบาย Baby Bonus scheme เพราะเขาเห็นความสำคัญ อยากให้คนรุ่นใหม่มีลูกกันมากขึ้น
แต่ไม่ใช่คิดมีลูกอย่างเดียว แต่ต้องส่งเสริมให้เป็นเด็กที่มีคุณภาพของสังคมด้วย
- เด็กที่เกิดจะทยอยได้ Cash Gift ตั้งแต่แรกเกิด จนอายุครบ 18 เดือน
- เด็กที่เกิดจะได้เงินฝากธนาคารโดยอัตโนมัติ 3000 เหรียญ เข้าบัญชี CDA
- ทุกๆ 1 เหรียญที่คุณพ่อคุณแม่ ฝากเงินเข้าบัญชี CDA รัฐจะสมทบเพิ่มอีกเท่าตัว จนกว่าจะอายุครบ 12 ปี โดยจำกัดไว้ที่ 3000 เหรียญ (สำหรับลูกคนที่1-2) 9000 เหรียญ (สำหรับลูกคนที่ 3-4) และ 15000 เหรียญ (สำหรับลูกคนที่ 5)
เงินในบัญชีนี้ (CDA - Child Development Account) จะใช้ได้สำหรับพัฒนาคุณภาพเด็ก กับร้านค้าหรือสถาบันที่ลงทะเบียนเท่านั้น
เช่น ใช้เพื่อจ่ายค่าเทอม ค่าเรียนพิเศษ ค่าหมอ ค่ายา ค่าประกันสุขภาพ เป็นต้น
และสามารถแบ่งให้พี่น้องใช้ได้ด้วย
แต่... จะเอาไปซื้อเกมส์ ซื้อของเล่น ของใช้ส่วนตัว ไม่ได้แน่นอน เขาดักทางไว้หมดแล้ว
เป็นหนึ่งตัวอย่างจากประเทศ ที่ยอมรับกันว่า มีความก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาค ASEAN
ที่สำคัญ ต้องจูงใจพอ ให้คนที่พร้อมต้องท้อง และ ท้องต้องพร้อม
เริ่มตั้งแต่ตั้งครรภ์ อย่างช้าประมาณเดือนที่ 3 จะต้องไปฝากครรภ์
ถ้าเป็นโรงพยาบาลของรัฐ ก็จะถูกหน่อย โรงพยาบาลเอกชนราคาก็สูงกว่า อย่างน้อยเกือบเท่าตัว
การฝากครรภ์ จะต้องมียาบำรุง มีค่าตรวจรักษา ค่าอัลตร้าซาวน์ หากคุณแม่มีโรคแทรกซ้อน ก็จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก
สำหรับค่าใช้จ่ายแต่ละครั้ง คิดราคากลางๆ เฉลี่ย 2000 บาท/ครั้ง
ถ้าระหว่างตั้งครรภ์ ไปพบแพทย์ 10 ครั้ง คิดเป็นเงินเท่ากับ 20,000 บาท
ค่าใช้จ่ายคุณแม่ส่วนอื่นๆที่ไม่นำมาคิดรวมอีก เช่น เสื้อผ้า อาหาร การเดินทาง ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
เมื่อถึงวันคลอดแล้ว ค่าใช้จ่ายการคลอดส่วนนี้ จะเป็นก้อนใหญ่ที่สุด
จะถูกหรือแพง ตามมาตรฐาน สามารถเลือกได้ตั้งแต่ 50,000-150,000 บาท
ระยะเวลา 9 เดือน ตั้งแต่ ตั้งครรภ์จนถึงคลอดบุตร เฉลี่ย คิดเป็นเงินเท่ากับ 120,000 บาท
ระยะเวลาต่อจากนี้แหละ คือของจริง ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายต่อเนื่องยาวนานที่สุด
เมื่อถึงเวลาพาคุณลูกกลับบ้าน คุณพ่อคุณแม่มือใหม่ก็ต้องมีข้าวของ เครื่องใช้ สำหรับเด็กอ่อน ไม่ว่าจะเป็น เตียง เสื้อผ้า ของเล่น และอื่นๆ ที่เป็นของใช้ถาวร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายก้อนหนึ่ง โดยเราไม่นำมารวมด้วย
หลังคลอด มาตรฐานโรงพยาบาลทั่วไป จะมีโปรแกรมฉีดวัคซีน ตั้งแต่แรกเกิด ไปจนถึง 3 ขวบปี
คิดเลขกลมๆ ค่ายาวัคซีนเด็ก ปีละ 10,000 บาท ระยะเวลา 3 ปี รวม 30,000 บาท
ของใช้สิ้นเปลืองสำหรับเด็กอ่อน ในยุคปัจจุบันที่ค่อนข้างจำเป็น คือ ผ้าอ้อมสำเร็จรูป
ถ้าอยากประหยัดส่วนนี้มากเท่าไร ต้องพยายามสอนให้เด็กขับถ่ายที่ห้องน้ำให้เร็วเท่านั้น
เด็กเกิดมาทุกคนต้องกินนม หากกินนมแม่ก็จะลดภาระค่านมไปได้มาก แต่ก็จะมีค่าใช้จ่ายส่วนเครื่องไม้เครื่องมือของคุณแม่เพิ่มมาอีก
หากเด็กกินนมวันละ 3 กล่อง กล่องละ 10 บาท วันละ 30 บาท คิดเป็นเงิน 10,000 บาท/ปี
ถ้าอย่างน้อยเด็กดื่มนมระยะเวลา 10 ปี จะเท่ากับเงิน 100,000 บาท
ค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน คิดอย่างคร่าว เท่ากับ 150,000 บาท (30000+19710+100000)
ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง คือ ค่าเบี้ยประกัน หากคุณพ่อคุณแม่ทำประกันให้ อย่างถูกปีละ 25,000 บาท ตั้งแต่ 1 ขวบ จนเรียนจบมัธยมปลาย เท่ากับประมาณ 400,000 บาท
ค่าเล่าเรียน คือค่าใช้จ่ายก้อนโตที่สุด ซึ่งค่าเทอมมีทั้งแบบสุดโต่ง ตั้งแต่เรียนฟรี หรือ เทอมหลายแสนบาท
แต่สำหรับมาตรฐานส่วนมากแล้ว ราคาเฉลี่ยคร่าวๆ คิดที่เทอมละ 40,000 บาท (รวมทุกอย่างแล้วทั้งค่ารถ ค่าอาหาร ค่าหนังสือ ค่าเสื้อผ้า ค่าขนม) คิดเป็นปีละ 80,000 บาท
ตั้งแต่ 3 ขวบ - 17 ปี (อนุบาล 1 ถึงมัธยม 6) จะเป็นเงินค่าเทอม จำนวน 1,200,000 บาท
ยังไม่รวมค่าเรียนเสริมพิเศษ ที่คุณพ่อคุณแม่สมัยใหม่ มักจะพาลูกๆไปเรียนกันแต่แต่เริ่มเดินได้ จนเข้าโรงเรียน เมื่อเข้าสูวัยที่ต้องสอบแข่งขัน ยิ่งเรียนหนัก ค่าเรียนพิเศษยิ่งเพิ่มขึ้น มากกว่าค่าเทอมของโรงเรียนด้วยซ้ำไป
สรุปค่าใช้จ่ายทางตรง สำหรับการเลี้ยงดู 1 คน ในระดับคุณภาพชีวิตมาตรฐานทั่วไป
จะใช้เงินประมาณ 1,870,000 บาท
จริงๆแล้ว ปัจจัยที่ทำให้คนสมัยใหม่ไม่อยากมีลูกนั้น มีอีกมากมาย แต่ก็ปฏิเสธได้ยากว่า เรื่องการเงินเป็นปัจจัยแรกๆ ที่มักถูกนำมาอ้างอยู่เสมอ
จำนวนเงินขั้นต้นที่สูงเกือบ 2 ล้านบาท ในการเลี้ยงเด็ก 1 คนให้เติบโตจนพอที่จะดูแลตัวเองได้นั้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สังคมสมัยใหม่ ซึ่งนอกจากต้องทำงานหนักแล้ว ยังมีภาระค่าใช้จ่ายสูง จึงไม่นิยมมีลูกมากเหมือนในอดีต หรือไม่มีลูกเลย
เรื่องนี้คงจะเป็นเรื่องเล็กๆ ภายในของหลายครอบครัว แต่เมื่อมาอยู่รวมตัวกันเป็นสังคมแล้ว มันจะกลายเป็นปัญหาความมั่นของชาติทันที
คิดดูง่ายๆอย่างนี้ว่า ประชาชนทำงาน รัฐเก็บภาษีได้ ใช้เงินจุนเจือสังคม แต่ต่อไปหากไม่มีประชาชนทำงาน รัฐเก็บภาษีไมไ่ด้ ก็จะไม่มีเงินจุนเจือสังคม
ภาระและปัญหาก็จะตกอยู่กับคนที่มีความเปราะบางก่อน แต่สุดท้ายจะเป็นปัญหาของทุกคน
พอเห็นปัญหาอย่างนี้ แล้วเราควรจะทำอย่างไรกันดี
ช่วงปี 1970s ประเทศสิงคโปร์ใช้นโยบาย Two-child policy เพื่อจำกัดจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในยุคหลังสงครามโลก ที่เรียกกันว่า Baby Boomers
นอกจากการโปรโมตแคมเปญ ด้วยสโลแกนต่างๆ เช่น 'Small families, Brighter future'. 'The more you have, the less they get'.
ครอบครัวไหนที่มีลูกเกิน 2 คน จะถูกจำกัดหรือลงโทษด้วยมาตรการต่างๆ เช่น ไม่มีการลดหย่อนภาษีบุตรคนที่ 3, ค่าคลอดบุตรจะต้องเสียแพงขึ้น, ไม่ให้สิทธิคุณแม่ลูก 3 เช่น ไม่ได้เงินเดือนระหว่างคลอด ไม่มีเงินชดเชยให้, จำกัดสิทธิในด้านมาตรการที่อยู่อาศัยที่ออกโดยรัฐ เป็นต้น
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ทำได้ คือ ทำตรงข้ามกับเขาทุกอย่าง 'The more you have, the more you get'.
- เพิ่มสิทธิการลดหย่อนภาษีคุณพ่อ-คุณแม่ แบบขั้นบันได
- ลดค่าใช้จ่ายค่าคลอดบุตรเป็นขั้นบันได (ปัจจุบันยิ่งมีบุตรมาก ค่าใช้จ่ายยิ่งเพิ่ม เพราะโรงพยาบาลปรับอัตราค่าคลอดขึ้นทุกปี)
- เพิ่มสิทธิประโยชน์คุณแม่แบบขั้นบันได จูงใจให้มีลูกอย่างน้อย 2 คน
- เพิ่มเงินชดเชยแบบขั้นบันได ให้สอดคล้องกับค่าใช้จ่ายพื้นฐานในปัจจุบัน
- และหากรัฐมีมาตรการต่างๆ ควรจะให้สิทธิ์กับครอบครัวที่มีลูกจำนวนมากก่อน
สิงคโปร์เอง ยังต้องเปลี่ยนนโยบาย เพิ่มจำนวนประชากร ในอีก 15 ปีถัดมา ด้วยคำขวัญ 'Have three, or more if you can afford it'
ปัจจุบัน สิงคโปร์ใช้นโยบาย Baby Bonus scheme เพราะเขาเห็นความสำคัญ อยากให้คนรุ่นใหม่มีลูกกันมากขึ้น
แต่ไม่ใช่คิดมีลูกอย่างเดียว แต่ต้องส่งเสริมให้เป็นเด็กที่มีคุณภาพของสังคมด้วย
- เด็กที่เกิดจะทยอยได้ Cash Gift ตั้งแต่แรกเกิด จนอายุครบ 18 เดือน
- เด็กที่เกิดจะได้เงินฝากธนาคารโดยอัตโนมัติ 3000 เหรียญ เข้าบัญชี CDA
- ทุกๆ 1 เหรียญที่คุณพ่อคุณแม่ ฝากเงินเข้าบัญชี CDA รัฐจะสมทบเพิ่มอีกเท่าตัว จนกว่าจะอายุครบ 12 ปี โดยจำกัดไว้ที่ 3000 เหรียญ (สำหรับลูกคนที่1-2) 9000 เหรียญ (สำหรับลูกคนที่ 3-4) และ 15000 เหรียญ (สำหรับลูกคนที่ 5)
เงินในบัญชีนี้ (CDA - Child Development Account) จะใช้ได้สำหรับพัฒนาคุณภาพเด็ก กับร้านค้าหรือสถาบันที่ลงทะเบียนเท่านั้น
เช่น ใช้เพื่อจ่ายค่าเทอม ค่าเรียนพิเศษ ค่าหมอ ค่ายา ค่าประกันสุขภาพ เป็นต้น
และสามารถแบ่งให้พี่น้องใช้ได้ด้วย
แต่... จะเอาไปซื้อเกมส์ ซื้อของเล่น ของใช้ส่วนตัว ไม่ได้แน่นอน เขาดักทางไว้หมดแล้ว
เป็นหนึ่งตัวอย่างจากประเทศ ที่ยอมรับกันว่า มีความก้าวหน้าที่สุดในภูมิภาค ASEAN
ที่สำคัญ ต้องจูงใจพอ ให้คนที่พร้อมต้องท้อง และ ท้องต้องพร้อม
วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563
DNA เจ้าของกิจการ
ความแตกต่าง.....
ณ ร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าแก่แห่งหนึ่ง ซึ่งเปิดมากว่า
20 ปี
ร้านนี้มีพี่น้อง 2 คน
ช่วยกันทำ ช่วยกันเสิร์ฟ ขยันขันแข็ง
ผมไปทานร้านนี้ติดกัน 3-4 วัน
โดยสั่งเมนูซ้ำๆ
หลังจากนั้น.....
เว้นวรรคไปวันสองวัน ผมเดินเข้าร้านอีกครั้ง
เอ่ยปากสั่งเพียงก๋วยเตี๋ยวจานเดียว จากนั้น...
ทุกอย่างที่เคยสั่ง จะมาพร้อมกันโดยนัดหมาย
เพราะมันคือความใส่ใจของ เจ้าของกิจการ
ณ ร้านขนมแห่งหนึ่งในห้าง วันแรกทีร้านเปิดใหม่
ผมไปสั่งเครื่องดื่มทานกับลูก
เจ้าของร้านที่มาเฝ้าร้านเอง มีของแถมให้ลูก
เลยได้พูดคุยกันเล็กน้อย
ผ่านไป 1 สัปดาห์ ทดลองไปอีกครั้ง คราวนี้มีแต่พนักงาน
เจ้าของไม่อยู่
อีก 3 สัปดาห์ ผมกลับไปซื้อร้านนี้อีกครั้ง
คราวนี้ไปคนเดียว
สั่งเครื่องดื่มกับเจ้าของร้าน
พอได้รับของที่สั่ง ก่อนเดินออกจากร้าน.....
เจ้าของหันมาถามว่า วันนี้ลูกมาด้วยไหม
พอบอกว่า มาด้วยแต่อยู่อีกที่หนึ่ง เขาจึงได้ฝากของเล็กน้อยไปให้ลูกด้วย
ณ ร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง พนักงานบริการ อย่างสุภาพ
เป็นมิตร
ผมไปทานร้านนี้ทุกสัปดาห์ ติดต่อกัน 3 เดือน
สั่งอาหารกับพนักงานคนเดิม หน้าเดิม กลุ่มเดิม
ทุกครั้ง
และ...ทุกครั้งก็จะสั่งอาหารซ้ำๆ
เครื่องดื่มเดิมๆ เหมือนกันตลอด
เมื่ออาหารเสิร์ฟ ทุกครั้ง จะต้องขอสิ่งของเดิมๆ
ทุกครั้ง
ทำให้เห็นความแตกต่างระหว่าง พนักงาน กับ เจ้าของกิจการ
อาหารอร่อย บริการดี ในระดับ 4 ดาว
แต่ถ้าอยากจะก้าวไปเป็นระดับ 5 หรือ 6 ดาว
จะต้องใส่รายละเอียด เพิ่มDNAเจ้าของกิจการ เข้าไปในตัวของพนักงาน
วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2562
ไปญี่ปุ่นเที่ยวนี้ อย่าลืมของฝากนะ!!
เพราะอะไรคนไทยถึงชอบไปญี่ปุ่น
นอกจากเรื่อง ฟรีวีซ่า ฟรี Tax Refund ที่กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศเขาแล้ว ญี่ปุ่นยังมีสินค้าที่เป็นที่นิยมของชาวไทย ทั้งแบรนด์เครื่องสำอางค์ แบรนด์เครื่องไฟฟ้า ร้านอาหาร สื่อบันเทิง Entertainment ต่างๆ
แต่นอกเหนือจากสิ่งของสินค้าที่จับต้องได้แล้ว วัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่ประทับใจไม่เฉพาะเพียงคนไทย แต่ได้ใจคนทั่วโลก สังเกตดูง่ายๆ ก็คงจะมีอีก 3 ประการ
คนประเทศเขามีระเบียบวินัย ถูกสุขอนามัย ใส่ใจสิทธิและรายละเอียด
1. คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย
เวลาเดินทางไปญี่ปุ่น เราจะรู้สึกปลอดภัย ไม่ค่อยกังวลเรื่องโจรขโมย ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังเวลาไปประเทศแถบตะวันตกหลายประเทศ
เวลาใช้บริการรถสาธารณะที่ประเทศญี่ปุ่น เราจะรู้สึกว่าเขามีมาตรฐาน ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะถูกฟัน เหมือนกับในหลายประเทศ
เราจะสังเกตเห็นคนญี่ปุ่นแม้ในภาวะวิกฤติ จะเข้าคิว เข้าแถวอย่างมีระเบียบ แม้ตนเองจะเดือดร้อนขนาดไหนก็ตาม ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร จะรวยจะจน ถ้ามาก่อนได้ก่อน แต่ถ้ามาช้าต้องรอคิว
2. คนญี่ปุ่นถูกสุขอนามัย
สุขาสาธารณะของประเทศญี่ปุ่นเป็นมาตรฐานที่เราไว้ใจได้ เป็นห้องน้ำสาธารณะที่เข้าแล้วสบายใจที่สุดในโลกก็ว่าได้ นอกจากจะมีเครื่องฉีดน้ำอัตโนมัติ ซึ่งแสดงถึงรายละเอียดที่ประเทศอื่นมองข้าม ความสะอาดของห้องน้ำก็น่าจะนำมาเป็นอันดับ 1 ของโลก
คนญี่ปุ่นน่าจะเป็นคนรักความสะอาด นวัตกรรมในห้องน้ำ อุปกรณ์ช่วยทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค เครื่องมือของใช้เพื่อดูและสุขภาพของเด็ก หลายอย่างก็มีที่มาจากประเทศญี่ปุ่น
ความใส่ใจในสุขอนามัยนั่นเอง ทำให้อาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเสิร์ฟพร้อมอาหารครบ 5 หมู่ คุณภาพของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตนั้น เป็นอะไรที่ค่อนข้างไว้ใจได้ทีเดียว ทำให้รสชาติที่ออกมาแต่ละจาน เป็นที่ถูกปากชาวโลกจำนวนมาก
3. คนญี่ปุ่นใส่ใจสิทธิและรายละเอียด
เพราะคนญี่ปุ่นใส่ใจสิทธิของคนอื่นและตนเอง ทำให้ทั้ง 2 เรื่องแรกเกิดขึ้นได้แบบอัตโนมัติ
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะไม่ไปทำร้ายใคร
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะไม่ขโมยของใคร
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะเคารพกฎหมาย
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะใช้สมบัติสาธารณะอย่างรับผิดชอบ
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าที่จะส่งมอบให้ลูกค้า
ในโรงแรมหรูของญี่ปุ่น พนักงานจะสนใจทุกรายละเอียด ไม่ว่าเราจะมาจากไหนก็ตาม พนักงานจะโค้งตัวต้อนรับเรา เสมือนหนึ่งเราคือผู้นำประเทศ
ร้านอาหารหลายร้านที่คนยินดียืนรอต่อคิวเป็นชั่วโมง เพื่อได้ลิ้มรสความอร่อยจากฝีมือของพ่อครัวชาวญี่ปุ่น ที่พิถีพิถันและบรรจงใส่รายละเอียดเข้าไปในทุกวัตถุดิบและรสชาติของอาหารในร้านของเขา
ในบางสถานที่ เราจะสังเกตว่า เมื่อเราถอดรองเท้าทิ้งไว้ จะมีพนักงานมาจัดรองเท้าให้ ซึ่งไม่ได้จัดให้แบบปกติธรรมดา แต่เขาจะกลับด้านรองเท้าไว้ให้ เพื่อเวลาที่เดินออกมา เราจะสวมเข้าไปได้เลย เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่แสดงถึงการวางแผนและการมองการณ์ไกลของชาวญี่ปุ่น
ถ้าคุณทำของหล่นตกไว้ในประเทศญี่ปุ่น คุณสบายใจได้เลยว่า มีโอกาสสูงที่เมื่อคุณเดินกลับมาหาในอีก 1 ชม.ถัดไป ของสิ่งนั้นของคุณจะยังอยู่ที่เดิม หรือถูกนำขึ้นไปวางไว้ในที่ที่คุณจะกลับมาเห็นได้ง่ายและปลอดภัยกว่าเดิม
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พวกเขาปฏิบัติกันมาซ้ำๆจนกลายเป็นนิสัย หรือในทางพระเขาเรียกพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆจนกลายเป็นนิสัยนี้ว่า 'วาสนา' ถ้าพูดแบบฟังดูสวย คือ ประเทศเขามีวาสนา ทำให้คนส่วนมากรักที่จะไปท่องเที่ยว ไปใช้เงินในประเทศเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าอยากให้เกิดขึ้น แต่มันจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการอบรมสั่งสอน ปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่น คนโตต้องทำให้ตนเล็กดูเป็นต้นแบบ ผู้ใหญ่ต้องเป็นแบบอย่างให้ผู้น้อย พ่อแม่ต้องทำให้ลูกเห็น ทำแล้วทำเล่าให้มันกลายเป็นวาสนาของส่วนรวม
นอกจากได้กินอาหารอร่อยๆแล้ว สิ่งเหล่านี้นี่แหละคือสิ่งที่ผมได้จากการไปประเทศญี่ปุ่น
นอกจากเรื่อง ฟรีวีซ่า ฟรี Tax Refund ที่กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้าประเทศเขาแล้ว ญี่ปุ่นยังมีสินค้าที่เป็นที่นิยมของชาวไทย ทั้งแบรนด์เครื่องสำอางค์ แบรนด์เครื่องไฟฟ้า ร้านอาหาร สื่อบันเทิง Entertainment ต่างๆ
แต่นอกเหนือจากสิ่งของสินค้าที่จับต้องได้แล้ว วัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่ประทับใจไม่เฉพาะเพียงคนไทย แต่ได้ใจคนทั่วโลก สังเกตดูง่ายๆ ก็คงจะมีอีก 3 ประการ
คนประเทศเขามีระเบียบวินัย ถูกสุขอนามัย ใส่ใจสิทธิและรายละเอียด
1. คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย
เวลาเดินทางไปญี่ปุ่น เราจะรู้สึกปลอดภัย ไม่ค่อยกังวลเรื่องโจรขโมย ในระดับที่ต้องเฝ้าระวังเวลาไปประเทศแถบตะวันตกหลายประเทศ
เวลาใช้บริการรถสาธารณะที่ประเทศญี่ปุ่น เราจะรู้สึกว่าเขามีมาตรฐาน ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังว่าจะถูกฟัน เหมือนกับในหลายประเทศ
เราจะสังเกตเห็นคนญี่ปุ่นแม้ในภาวะวิกฤติ จะเข้าคิว เข้าแถวอย่างมีระเบียบ แม้ตนเองจะเดือดร้อนขนาดไหนก็ตาม ไม่มีใครใหญ่กว่าใคร จะรวยจะจน ถ้ามาก่อนได้ก่อน แต่ถ้ามาช้าต้องรอคิว
2. คนญี่ปุ่นถูกสุขอนามัย
สุขาสาธารณะของประเทศญี่ปุ่นเป็นมาตรฐานที่เราไว้ใจได้ เป็นห้องน้ำสาธารณะที่เข้าแล้วสบายใจที่สุดในโลกก็ว่าได้ นอกจากจะมีเครื่องฉีดน้ำอัตโนมัติ ซึ่งแสดงถึงรายละเอียดที่ประเทศอื่นมองข้าม ความสะอาดของห้องน้ำก็น่าจะนำมาเป็นอันดับ 1 ของโลก
คนญี่ปุ่นน่าจะเป็นคนรักความสะอาด นวัตกรรมในห้องน้ำ อุปกรณ์ช่วยทำความสะอาดและฆ่าเชื้อโรค เครื่องมือของใช้เพื่อดูและสุขภาพของเด็ก หลายอย่างก็มีที่มาจากประเทศญี่ปุ่น
ความใส่ใจในสุขอนามัยนั่นเอง ทำให้อาหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเสิร์ฟพร้อมอาหารครบ 5 หมู่ คุณภาพของวัตถุดิบและกระบวนการผลิตนั้น เป็นอะไรที่ค่อนข้างไว้ใจได้ทีเดียว ทำให้รสชาติที่ออกมาแต่ละจาน เป็นที่ถูกปากชาวโลกจำนวนมาก
3. คนญี่ปุ่นใส่ใจสิทธิและรายละเอียด
เพราะคนญี่ปุ่นใส่ใจสิทธิของคนอื่นและตนเอง ทำให้ทั้ง 2 เรื่องแรกเกิดขึ้นได้แบบอัตโนมัติ
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะไม่ไปทำร้ายใคร
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะไม่ขโมยของใคร
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะเคารพกฎหมาย
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะใช้สมบัติสาธารณะอย่างรับผิดชอบ
เมื่อคุณใส่ใจและไม่ละเมิดสิทธิของคนอื่น คุณจะให้ความสำคัญกับคุณภาพสินค้าที่จะส่งมอบให้ลูกค้า
ในโรงแรมหรูของญี่ปุ่น พนักงานจะสนใจทุกรายละเอียด ไม่ว่าเราจะมาจากไหนก็ตาม พนักงานจะโค้งตัวต้อนรับเรา เสมือนหนึ่งเราคือผู้นำประเทศ
ร้านอาหารหลายร้านที่คนยินดียืนรอต่อคิวเป็นชั่วโมง เพื่อได้ลิ้มรสความอร่อยจากฝีมือของพ่อครัวชาวญี่ปุ่น ที่พิถีพิถันและบรรจงใส่รายละเอียดเข้าไปในทุกวัตถุดิบและรสชาติของอาหารในร้านของเขา
ในบางสถานที่ เราจะสังเกตว่า เมื่อเราถอดรองเท้าทิ้งไว้ จะมีพนักงานมาจัดรองเท้าให้ ซึ่งไม่ได้จัดให้แบบปกติธรรมดา แต่เขาจะกลับด้านรองเท้าไว้ให้ เพื่อเวลาที่เดินออกมา เราจะสวมเข้าไปได้เลย เป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่แสดงถึงการวางแผนและการมองการณ์ไกลของชาวญี่ปุ่น
ถ้าคุณทำของหล่นตกไว้ในประเทศญี่ปุ่น คุณสบายใจได้เลยว่า มีโอกาสสูงที่เมื่อคุณเดินกลับมาหาในอีก 1 ชม.ถัดไป ของสิ่งนั้นของคุณจะยังอยู่ที่เดิม หรือถูกนำขึ้นไปวางไว้ในที่ที่คุณจะกลับมาเห็นได้ง่ายและปลอดภัยกว่าเดิม
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่พวกเขาปฏิบัติกันมาซ้ำๆจนกลายเป็นนิสัย หรือในทางพระเขาเรียกพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆจนกลายเป็นนิสัยนี้ว่า 'วาสนา' ถ้าพูดแบบฟังดูสวย คือ ประเทศเขามีวาสนา ทำให้คนส่วนมากรักที่จะไปท่องเที่ยว ไปใช้เงินในประเทศเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าอยากให้เกิดขึ้น แต่มันจะเกิดขึ้นได้ ต้องมีการอบรมสั่งสอน ปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่น คนโตต้องทำให้ตนเล็กดูเป็นต้นแบบ ผู้ใหญ่ต้องเป็นแบบอย่างให้ผู้น้อย พ่อแม่ต้องทำให้ลูกเห็น ทำแล้วทำเล่าให้มันกลายเป็นวาสนาของส่วนรวม
นอกจากได้กินอาหารอร่อยๆแล้ว สิ่งเหล่านี้นี่แหละคือสิ่งที่ผมได้จากการไปประเทศญี่ปุ่น
วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562
24 มีนา ประชาธิปไตย กินได้..?
ประชาธิปไตยกินไม่ได้....
คำพูดนี้อาจเป็นจริง สำหรับคนชั้นกลาง คนมีสตางค์ที่ไม่ได้หวังพึ่งพานโยบายของรัฐบาล
ไม่ว่าใครจะมา ใครจะไป จะประชาธิปไตยหรือเผด็จการ เขาก็ต้องก้มหน้าทำงาน หาเงินใส่กระเป๋า จุนเจือตัวเองและใช้ชีวิตต่อไป
แต่สำหรับชาวรากหญ้า เกษตรกร หรือคนรายได้น้อย ซึ่งความมั่นคงในชีวิตและอาชีพอาจอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น มักจะได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลตลอดมา
สำหรับเขา นโยบายของรัฐบาล คือ ความหวัง ส่งผลโดยตรงถึงปากท้องและคุณภาพชีวิต ซึ่งตัวแทนที่อยู่ใกล้ชิด ตัวแทนที่มาจากประชาชนในระบบประชาธิปไตย มักจะสัมผัสถึงความยากลำบาก และตอบสนองได้ตรงความต้องการของเขามากกว่า
ประชาธิปไตยสำหรับเขานั้น 'กินได้'
สำหรับนักลงทุน ซึ่งอาศัยความเชื่อมั่นเป็นพื้นฐานหลักในการตัดสินใจ ระบบประชาธิปไตยที่มีความเป็นสากลและเชื่อถือได้นั้น คือสิ่งที่เขาปรารถนา
เมื่อคนกลุ่มนี้กล้าลงทุนลงแรง คนในระดับล่างลงไป ก็มักจะได้รับผลพลอยได้ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงความกล้าจับจ่ายใช้สอยที่มีมากขึ้น
ทำให้คนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้ประโยชน์ และส่งผลบวกต่อประเทศชาติในระยะยาว
ก่อนตัดสินใจวันที่ 24 มีนา คุณจะกาใคร..?
วางใจเป็นกลางและศึกษาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ
ตลอด 10 ปี ในยุคประชาธิปไตยวุ่นวายตลอดมานั้น ช่วงใดที่สร้างความมั่นใจได้ดีที่สุด
ตัวชี้วัดที่เป็นกลาง ชัดเจน และสะท้อนผลลัพธ์ได้ดีอันหนึ่ง คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET index (ตัวเลขอาจคาดเคลื่อนในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ)
พรรคพลังประชาชน (29 ม.ค. 51 - 2 ธ.ค. 51)
ดัชนีเริ่มที่ 754 ทำจุดสูงสุดที่ 882 และสิ้นสุดที่ 385 สรุป ลดลง 96%
พรรคประชาธิปัตย์ (17 ธ.ค. 51 - 5 ส.ค. 54)
ดัชนีเริ่มที่ 443 ทำจุดสูงสุดที่ 1142 และสิ้นสุดที่ 1120 สรุป เพิ่มขึ้น 153%
พรรคเพื่อไทย (5 ส.ค. 54 - 7 พ.ค. 57)
ดัชนีเริ่มที่ 1120 ทำจุดสูงสุดที่ 1644 และสิ้นสุดที่ 1401 สรุป เพิ่มขึ้น 25%
ยุคลุงตู่ (24 ส.ค. 57 - 21 มี.ค. 62)
ดัชนีเริ่มที่ 1562 ทำจุดสูงสุดที่ 1838 และสิ้นสุดที่ 1634 สรุป เพิ่มขึ้น 4.6%
..แถม..พรรคไทยรักไทย (ก.พ. 44 - ก.ย. 49)
ดัชนีเริ่มที่ 325 และสิ้นสุดที่ 686 สรุป เพิ่มขึ้น 111%
มาถึงบรรทัดนี้หลายคนอาจเปลี่ยนความคิดว่า ที่จริงแล้วประชาธิปไตย 'กินได้' สำหรับทุกคน
ขอให้ประเทศไทยโชคดี
คำพูดนี้อาจเป็นจริง สำหรับคนชั้นกลาง คนมีสตางค์ที่ไม่ได้หวังพึ่งพานโยบายของรัฐบาล
ไม่ว่าใครจะมา ใครจะไป จะประชาธิปไตยหรือเผด็จการ เขาก็ต้องก้มหน้าทำงาน หาเงินใส่กระเป๋า จุนเจือตัวเองและใช้ชีวิตต่อไป
แต่สำหรับชาวรากหญ้า เกษตรกร หรือคนรายได้น้อย ซึ่งความมั่นคงในชีวิตและอาชีพอาจอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น มักจะได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลตลอดมา
สำหรับเขา นโยบายของรัฐบาล คือ ความหวัง ส่งผลโดยตรงถึงปากท้องและคุณภาพชีวิต ซึ่งตัวแทนที่อยู่ใกล้ชิด ตัวแทนที่มาจากประชาชนในระบบประชาธิปไตย มักจะสัมผัสถึงความยากลำบาก และตอบสนองได้ตรงความต้องการของเขามากกว่า
ประชาธิปไตยสำหรับเขานั้น 'กินได้'
สำหรับนักลงทุน ซึ่งอาศัยความเชื่อมั่นเป็นพื้นฐานหลักในการตัดสินใจ ระบบประชาธิปไตยที่มีความเป็นสากลและเชื่อถือได้นั้น คือสิ่งที่เขาปรารถนา
เมื่อคนกลุ่มนี้กล้าลงทุนลงแรง คนในระดับล่างลงไป ก็มักจะได้รับผลพลอยได้ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงความกล้าจับจ่ายใช้สอยที่มีมากขึ้น
ทำให้คนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้ประโยชน์ และส่งผลบวกต่อประเทศชาติในระยะยาว
ก่อนตัดสินใจวันที่ 24 มีนา คุณจะกาใคร..?
วางใจเป็นกลางและศึกษาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ
ตลอด 10 ปี ในยุคประชาธิปไตยวุ่นวายตลอดมานั้น ช่วงใดที่สร้างความมั่นใจได้ดีที่สุด
ตัวชี้วัดที่เป็นกลาง ชัดเจน และสะท้อนผลลัพธ์ได้ดีอันหนึ่ง คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET index (ตัวเลขอาจคาดเคลื่อนในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ)
พรรคพลังประชาชน (29 ม.ค. 51 - 2 ธ.ค. 51)
ดัชนีเริ่มที่ 754 ทำจุดสูงสุดที่ 882 และสิ้นสุดที่ 385 สรุป ลดลง 96%
พรรคประชาธิปัตย์ (17 ธ.ค. 51 - 5 ส.ค. 54)
ดัชนีเริ่มที่ 443 ทำจุดสูงสุดที่ 1142 และสิ้นสุดที่ 1120 สรุป เพิ่มขึ้น 153%
พรรคเพื่อไทย (5 ส.ค. 54 - 7 พ.ค. 57)
ดัชนีเริ่มที่ 1120 ทำจุดสูงสุดที่ 1644 และสิ้นสุดที่ 1401 สรุป เพิ่มขึ้น 25%
ยุคลุงตู่ (24 ส.ค. 57 - 21 มี.ค. 62)
ดัชนีเริ่มที่ 1562 ทำจุดสูงสุดที่ 1838 และสิ้นสุดที่ 1634 สรุป เพิ่มขึ้น 4.6%
..แถม..พรรคไทยรักไทย (ก.พ. 44 - ก.ย. 49)
ดัชนีเริ่มที่ 325 และสิ้นสุดที่ 686 สรุป เพิ่มขึ้น 111%
มาถึงบรรทัดนี้หลายคนอาจเปลี่ยนความคิดว่า ที่จริงแล้วประชาธิปไตย 'กินได้' สำหรับทุกคน
ขอให้ประเทศไทยโชคดี
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)








