วันพฤหัสบดีที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2561

the private sector bigger and the public sector smaller

“We’ve got to get the private sector bigger and the public sector smaller, it’s the best way to create sustainable jobs people need. To help people become independent from welfare, there is only one will, reach out of poverty and that’s work. A decent education is the only way to give all our children the chance they need to start in this world”  David Cameron

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561

พรรคการเมืองกับการ shopping online

ในยุค Digital 4.0 ที่กำลังจะเปลี่ยนเป็น5.0 พรรคการเมืองที่จะครองเสียงของประชาชน ไม่สามารถทำงานแบบตั้งรับได้อีกต่อไป

ถ้าอยากจะชนะใจประชาชน ต้องทำงานเชิงรุกไม่ว่าจะมีอำนาจ ไม่มีอำนาจ หรือถูกยึดอำนาจไปก็ตาม

วันก่อนได้ดูรายการ Sutichai Live มีความเห็นหนึ่งเขียนทำนองว่า

'พรรคประชาธิปัตย์ ก็เหมือนร้านธงฟ้า รู้ว่ามีอยู่ แต่หาไม่ค่อยเจอ'

เป็นประโยคสั้นๆที่สะท้อนอะไรได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น เข้าถึงยาก จับต้องไม่ได้ ส.ส.ไม่ขยันลงพื้นที่ นโยบายไม่เด่น ผลงานไม่ชัด ฯลฯ แต่ที่แน่ๆเขาคงไม่ได้หมายความว่าหาที่ตั้งของพรรคไม่พบ

ด้วยเหตุนี้ พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกเย้ยว่าเป็นพรรคคนดีนั้น จึงมักได้เสียงมากในกรุงเทพ ที่ประชาชนอาจไม่ต้องหวังพึ่งความช่วยเหลือจากนโยบายของนักการเมือง

จะหวังสู้กันด้วยนโยบายกับคู่แข่ง ก็เห็นจะยาก ด้วยความเป็นพรรคแห่งหลักการ ไม่ชอบทำอะไรเกินขอบเขต กลัวเกิดความเสียหาย ไม่เร้าใจ พอถูกอีกฝ่ายเกทับ ก็ไปไหนไม่ได้

มีคนบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำการตลาดไม่เก่ง แต่ผมว่าไม่ใช่ เพราะคนที่เห็นก็เก่งทั้งนั้น เป็นระดับหัวกะทิ จบหมอ จบดอกเตอร์ จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก มีทั้งคนในคนนอก ฝีมือไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน สื่อก็มีเหมือนกัน หาเสียงก็ทำเหมือนกัน สื่อโซเชี่ยลมีเดียก็ใช้ด้วยกัน ป้ายก็มีพอๆกัน เผลอๆผลิตมาจากแหล่งเดียวกันด้วย

เลือกตั้งครั้งหน้า แม้จะมีวัยรุ่นจำนวนหลายล้านคนจะเพิ่งมีสิทธิ์ลงคะแนนครั้งแรก เสียงส่วนใหญ่ก็ยังบอกว่าพรรคเพื่อไทยจะมาเป็นที่หนึ่ง (ทุกพรรคก็หวังคะแนนจากคนกลุ่มนี้ทั้งนั้น และทุ่มสรรพกำลังเพื่อเรียกคะแนนจากกลุ่มนี้พอๆกัน)

เดือนก่อนเห็นรายการทีวีมีโลโก้คล้ายพรรคการเมือง นอกจากรายการนั้นแล้ว นึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกรายการหนึ่งชื่อรายการ 'ปลดหนี้' ที่เห็นมานานหลายปี


โลโก้อาจดูบังเอิญคล้าย แต่ผมคิดว่าน่าจะตั้งใจเหมือน เนียนมากๆ รายการซึ่งออกอากาศช่อง7 ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2544 จนถึงปัจจุบัน เป็นช่องที่มีเรตติ้งในต่างจังหวัดสูงที่สุด และรายการมีแต่เสียงตอบรับในทางที่ดีถึงได้อยู่มายาวนาน หากจะมีใครปลดรายการนี้ คงต้องเป็นคนที่กล้าขึ้นภาษีVat


แทบทุกวิธีการที่จะทำให้ได้คะแนนเสียง ทุกพรรคก็น่าจะทำกันมาหมดแล้ว จะใช้วิธีแบบประธานาธิบดีทรัมป์ ล้วงเอาข้อมูลรายบุคคลมาวิเคราะห์ ก็รู้วิธีการกันหมดแล้ว ถ้าไม่ใช่คนแรกที่ทำ เพียงแต่คิดจะทำแบบเดิมให้หนักขึ้น แต่หวังผลที่แตกต่าง ไม่น่าจะใช่เรื่องง่าย

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต เราจะใช้วิธีการใดที่แปลกใหม่ได้บ้าง.??

สมัยก่อนบนรถแทบทุกคันต้องเปิด จส.100 โดยเฉพาะเวลารถติดแบบไม่ขยับ จส.100 เสมือนเป็นที่พึ่งในยามไร้ความหวัง

หลายปีก่อนเคยคิดว่า พรรคการเมืองต้องมีแผนกหนึ่งที่ทำเหมือน จส.100 แต่รับแก้ทุกปัญหาของประชาชน ไม่ใช่เฉพาะเรื่องบนท้องถนน

ที่มามาจากหลายปีก่อนลูกค้าที่จะเข้ามาติดต่อบริษัทบอกว่า หายากมากเพราะตัวอักษรบนป้ายซอยมันเลือนไปหมดแล้ว ผมจึงต้องทำอะไรสักอย่าง เลยไปติดต่อเขตเองว่า มีแผนจะซ่อมแซมหรือจะแก้ไขอย่างไรได้บ้าง คำตอบคือ ไม่มีแผนและแก้ไขอะไรให้ไม่ได้ ผมเลยบอกเขาไปว่า ถ้าอย่างนั้นผมจะเอาสีไปทาป้ายเองก่อนเลยได้ไหมเพราะเป็นเรื่องเร่งด่วน เขาจึงบอกว่าได้ โชคดีที่บริษัทมีพนักงานที่สามารถปีนป่ายป้าย ซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติ (public goods) เพื่อทาสีให้กลับมาใช้การได้ตามปกติ ปัญหานี้จึงหมดไป

แต่มาวันนี้ไม่แน่ใจว่ามีเด็กรุ่นใหม่กี่คนที่รู้จัก จส.100 เพราะผมเองก็ไม่ได้ฟังมานานแล้ว เมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ๆอย่างเช่น Google Map ที่ไม่ได้บอกเฉพาะว่ารถติดยาวแค่ไหน แต่บอกเส้นทางเลี่ยงที่เร็วกว่าสำหรับคนที่ไม่ต้องรู้เส้นทางนั้นมาก่อนเลย

พรรคการเมือง5.0 ต้องลงทุน platform online ที่ไม่ว่าจะอยู่จังหวัดไหนในประเทศไทย ประชาชนก็สามารถแจ้งปัญหาเข้าไปได้ โดยที่ไม่ต้องรู้จักหรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับส.ส.ในพื้นที่เลย ลักษณะเหมือน Shopping Online แต่เปลี่ยนเป็น Problem Online

ในสังคมไทยคงมีคนที่พบเห็นปัญหาส่วนรวมมากมาย แต่ละพื้นที่ปัญหาก็จะแตกต่างกันไป แม้หลายคนอยากให้มันถูกแก้ไขให้ดีขึ้น แต่ไม่รู้จะไปแจ้งใคร ใครเป็นคนรับผิดชอบ และไม่คิดว่าถ้าสละเวลาไปแจ้งแล้ว ตามระบบของราชการ เจ้าหน้าที่รัฐจะออกแรงจัดการแก้ไขอะไรให้หรือไม่ ปัญหาเหล่านี้ทุกคนคงทราบดี เพราะฉะนั้นตัวแทนของพรรคการเมืองนี่แหละ ที่พอจะมีความรู้ มีความสามารถ ในระดับที่หน่วยงานของรัฐจะเร่งรีบดำเนินการอะไรบางอย่างให้ได้

ประชาชนจากทั่วประเทศจะส่งข้อมูลเข้าไปในระบบส่วนกลาง ระบบแจ้งไปยัง ส.ส.ในพื้นที่เขตหรืออำเภอนั้นๆ ทำแบบนี้นอกจากข้อมูลที่จะได้แล้ว ยังจะทราบปัญหารวดเร็วกว่า และติดต่อประชาชนคนนั้นๆได้ทันที

อาจเริ่มจากปัญหาส่วนรวมง่ายๆ ที่ไม่เกี่ยวกับนโยบายหรือปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น ถนนชำรุด ป้ายชำรุด ไฟฟ้า ประปา แสงสว่าง สิ่งกีดขวาง ที่อยู่ในพื้นที่และเป็นสมบัติสาธารณะ (public goods) หรือแม้แต่อุบัติเหตุร้ายแรงก็ช่วยเร่งประสานงานให้รวดเร็วขึ้นได้

เพราะฉะนั้น ในระบบนี้ตัวแทนของพรรคการเมืองต้องจัดลำดับความสำคัญ รู้ว่าสิ่งไหนแก้ปัญหาให้ได้ต้องรีบทำ สิ่งไหนเกินขอบเขตหรืองบประมาณ ก็ควรรีบประสานงาน มีกำหนดวันที่แน่นอน คอยติดตาม และแจ้งให้ประชาชนผู้ใช้ระบบรับทราบ ไม่เช่นนั้นจะเป็นผลเสียต่อตัวแทนของพรรคคนนั้นๆ หรือแม้แต่เสียชื่อพรรคการเมืองเอง

พื้นฐานของระบบไม่ต่างไปจากเว็บไซต์ e-commerce คือต้องมีการลงทะเบียนยืนยันตัวตน ใช้เลขประจำตัวประชาชนคนไทย เบอร์โทรศัพท์มือถือ หรือสามารถ Log in ผ่าน facebook เป็นต้น ระบบจะสามารถระบุตำแหน่งของผู้ใช้จาก GPS และติดตามตัวผู้ใช้คนนั้นๆได้

ผู้ใช้ต้องระบุจังหวัด อำเภอ ตำบล ชื่อถนน ปัญหาที่พบและต้องการแก้ไข สามารถถ่ายรูปส่งไปได้ส่วนหนึ่ง และมีระบบติดตามงานเหมือนบริษัทส่งพัสดุ เมื่อปัญหาได้รับการแก้ไขแล้วตัวแทนของพรรคการเมืองในเขตสามารถกดส่งงาน ให้คะแนนผู้ใช้ระบบ และประชาชนคนรับบริการก็เข้ามาให้เรตติ้งและความเห็นต่อผลงานได้เช่นกัน

นอกจากผู้บริหารพรรคการเมืองจะได้รับข้อมูลจำนวนมากแล้ว ยังได้รู้พฤติกรรมของตัวแทนในแต่ละพื้นที่ เกิดการแข่งขันอย่างสร้างสรรค์ระหว่างตัวแทนด้วยกันเอง เปิดโอกาสให้บุคคลที่ไม่มีคอนเนคชั่น แต่อยากอาสาตัวทำงานเพื่อส่วนรวมได้มีโอกาสสร้างประโยชน์ให้สังคมได้ ประชาชนยังเข้าไปดูคอมเม้นได้ว่าตัวแทนคนไหนเป็นอย่างไร มีผลงานอะไร ใครสามารถช่วยเขาได้จริง และอนาคตเขาจะสนับสนุนใครให้เป็นตัวแทนของเขา

ระบบขายบริการที่มีความเฉพาะเจาะจงแบบนี้ แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหวังให้เอกชนเป็นคนทำ เพราะไม่มีแรงจูงใจในแง่ของผลกำไร นอกจากเงินลงทุนจำนวนมากในตัวระบบแล้ว ยังต้องมีค่าใช้จ่ายในการช่วยแก้ปัญหาให้ชาวบ้านอีกด้วย ระบบนี้จึงต้องหวังงบประมาณจากรัฐหรือพรรคการเมืองที่ได้งบสนับสนุนตามกฏหมาย

ในระบบนี้พรรคใหญ่จะได้เปรียบ เพราะมีทั้งทุน มีเครือข่าย มีตัวแทนครอบคลุมทุกพื้นที่ มีประสบการณ์ และมีคอนเน็คชั่นหรือบารมีกับหน่วยราชการทุกระดับ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการแก้ปัญหาเร่งด่วนให้กับประชาชน

แน่นอนการลงพื้นที่ยังมีความสำคัญอยู่ แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าถึงทุกพื้นที่และรับรู้ปัญหาของประชาชนทั้งหมด มันไม่ใช่ยุคของการลงพื้นที่อย่างเดียวแล้วหวังจะได้เสียงข้างมาก

มันไม่ใช่ยุคที่เบอร์2 จะทำแบบเดียวกับเบอร์1 (ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่ถูกหรือผิด) แล้วหวังจะแซงหน้าไปได้

มันไม่ใช่ยุคที่จะมาบอกข้อเสียของอีกฝ่าย แล้วหวังให้คนฟังหันมาคบเรา

มันไม่ใช่ยุคที่จะมาโทษว่าอีกฝ่ายใช้วิธีที่ผิดเลยได้รับชัยชนะ

นายกทักษิณชนะใจคนส่วนมาก เพราะสร้างสนามบินใหม่(สุวรรณภูมิ)ได้ แบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

โดนัล ทรัมป์ พลิกล็อคได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะเขาใช้ประโยชน์จาก Big data อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ถ้าจะครองเสียงข้างมากได้ ทางเดียวที่ต้องทำ คือ ทำในสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2561

3 เผื่อ.. เผื่อใช้ เผื่อเป็น เผื่อเจอ

ในยุคที่เทคโนโลยีและอุตสากรรมได้รับการพัฒนาให้ล้ำสมัยอย่างที่หลายคนคาดไม่ถึงมาก่อน

ในยุคที่การแพทย์เจริญก้าวหน้า โดยคนในอนาคตอาจมีอายุเฉลี่ย 90-100 ปี

ในยุคที่สภาพภูมิอากาศแปรเปลี่ยนไป ฤดูกาลไม่เป็นไปตามที่เคยเป็นเช่นในอดีต

ในยุคที่เราไม่รู้ว่ากระแสของความเปลี่ยนแปลง จะมาทำลายสิ่งที่เราเป็นและสิ่งที่เรามีหรือไม่ เมื่อไรและอย่างไร

ไม่ว่าอะไรจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้น สิ่งที่คนไทยควรมี คือ ภูมิคุ้มกัน 3 เผื่อ ซึ่งการที่จะเผื่อได้นั้น หมายความว่า จะต้องมีพร้อมก่อนถึงเวลาที่จำเป็นต้องใช้

หลัก 3 เผื่อ.. เผื่อใช้ เผื่อเป็น เผื่อเจอ

1.เผื่อใช้ (ความรู้ ความสัมพันธ์ และ เงิน)

- เผื่อใช้ความรู้

ความรู้ หรือ ทักษะ บางอย่างเราจำเป็นต้องมีติดตัวไว้ โดยที่เราไม่อาจล่วงรู้หรอกว่าจะได้ใช้มันหรือไม่ เช่น การว่ายน้ำ การขับรถ เป็นต้น

ความรู้ในสาขาอื่นที่ไม่เกี่ยวกับอาชีพที่เราทำอยู่โดยตรงก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะวันใดวันหนึ่งสิ่งที่เราถนัด อาจถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรหรือเทคโนโลยี อย่างที่เราไม่เคยจินตนาการมาก่อนเลย

เหมือนกับที่มีคนบอกว่า คนรวยไม่พึ่งพารายได้จากช่องทางเดียว หมายความว่าคนที่มีรายได้สูงนั้น จะต้องมีทักษะมากกว่าคนทั่วๆไป ปัจจุบันมีคลังความรู้รอให้ทุกคนศึกษามากมายและเข้าถึงง่าย มีงานอบรมสัมนาและคอร์สเรียนทั้งฟรีและเสียเงินให้เลือกได้ตามความชอบ

นักวิเคราะห์หลายคนได้บอกไว้ด้วยว่า ในอนาคตบริษัทต่างๆจะต้องการคนที่มีความรู้หลากหลาย ทำงานได้หลายอย่างและซับซ้อนมาขึ้น มากกว่าคนที่เก่งเพียงด้านเดียวเพราะมีโอกาสที่จะถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยี่ได้ง่าย

- เผื่อใช้ความสัมพันธ์

ความสัมพันธ์ หรือ คอนเน็คชั่น พอฟังคำนี้หลายคนมีความคิดติดลบ (ซึ่งเราไม่ได้สนับสนุนให้ใช้คอนเน็คชั่นในแง่ลบ) แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายเสมอไป ถ้า..ไม่ได้นำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น หากคุณรู้จักเจ้าของร้านอาหาร คุณอาจได้ส่วนลดราคาพิเศษ ในขณะที่เจ้าของก็ได้กำไร และอาจจะได้มากขึ้นจากการใช้บริการประจำของลูกค้า โดยที่ไม่ได้ไปเบียดเบียนใคร

ธุรกิจที่เติบใหญ่มาก็ล้วนมีที่มาจากการมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคนทำธุรกิจด้วยกัน จนมีคำกล่าวว่า การสัมภาษณ์นักธุรกิจทุกคนนั้น มีหนึ่งเคล็ดลับสู่ความสำเร็จซึ่งไม่มีใครเคยบอก คือ คอนเน็คชั่น

ด้วยเหตุนี้จึงมีสมาคมการค้า ชมรมต่างๆเกิดขึ้นมากมายตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน การรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนของสมาชิก ส่งเสริมการทำธุรกิจการค้าระหว่างกัน พึ่งพาอาศัยกันในเรื่องที่จำเป็น โดยเฉพาะในยามที่มีคนเดือดร้อน ก็จะได้รับความช่วยเหลือจากสายสัมพันธ์อันแนบแน่นที่ได้สร้างขึ้นมาเป็นระยะเวลานาน

- เผื่อใช้เงิน

ปฏิเสธไม่ได้ว่า เงิน คือปัจจัยที่สำคัญในการดำรงชีพยุคปัจจุบันและอนาคต เงินอาจจะไม่สำคัญสำหรับบางคน แต่คนมีเงินย่อมมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าคนไม่มีอย่างแน่นอน มีเงินแล้วจะมีความสุขหรือไม่อยู่ที่เจ้าของเงิน แต่ถ้าไม่มีเงินมันทุกข์แน่

เงินจะสำคัญสำหรับคุณหรือไม่ แต่คุณต้องมีเงิน และมีมากพอสำหรับเหตุการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้นและสำหรับวันที่คุณไม่มีรายได้แล้ว บางคนชอบใช้เงินหรือชอบท่องเที่ยว ก็ต้องหาเงินและเก็บออมให้ได้มากกว่าปกติ

การเกษียณในอนาคตอาจหมายถึงช่วงอายุ 70 ปี แต่ลองสังเกตเศรษฐีส่วนมาก เขามักจะทำงานแบบไม่มีวันเกษียณ มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตมนุษย์จำนวนมากจะมีอายุยืนถึง 100 ปี นั่นแสดงว่า คุณจะต้องวางแผนการใช้ชีวิตอีกราวๆ 30 ปีนับจากวันที่ไม่มีรายได้หลักแล้ว

ในยามที่มีพละกำลังเหลือเฟือ คนไทยจึงควรทำงานหนัก วางแผนเก็บออม และหาช่องทางลงทุนให้ผลตอบแทนงอกเงย เพื่อมีเงินเก็บไว้เผื่อใช้ในอนาคต

2.เผื่อเป็น (โรค และ ผู้นำ)

เผื่อเป็นโรค

มนุษย์ทุกคนล้วนมีชีวิตอยู่บนความไม่แน่นอน นอนหลับไปตื่นขึ้นมาอาจพบว่าป่วยเป็นโรคร้ายแรง หรืออาจนอนหลับไปแล้วไม่ตื่นอีกเลย

นักวางแผนทางการเงินจึงบอกว่า ก่อนที่จะเริ่มสร้างความมั่งคั่ง จะต้องอุดรอยรั่วที่มีอยู่เสียก่อน นั่นคือการทำประกันให้กับตัวเองและครอบครัว

ไม่มีใครรู้ว่าอุบัติเหตุจะเกิดขึ้นเมื่อไร โรคร้ายแรงแต่ละชนิดจะต้องใช้ค่ารักษาเท่าไรถึงจะหาย นอกจากควรต้องทำประกันเผื่อไว้แล้ว การออกกำลังกายและการเลือกทานอาหารก็เป็นสิ่งที่จำเป็นไม่แพ้กัน

บริษัทประกันไม่รับทำให้กับคนป่วยฉันใด ร่างกายที่ทรุดโทรมก็ยากที่จะรักษาได้ฉันนั้น เพราะฉะนั้น การรักษาสุขภาพ จำเป็นต้องเริ่มทำตั้งแต่วันที่ร่างกายยังสุขสบายและแข็งแรงดีอยู่

ต้องเริ่มออกกำลังกายตั้งแต่วันที่ยังไม่มีใครมาบังคับให้ทำ เพราะหากรอให้ถึงวันที่จำเป็นต้องทำมันอาจสายเกินไปแล้ว

เผื่อเป็นผู้นำ

วันใดวันหนึ่งในชีวิตคนเรานั้น อาจได้เป็นผู้นำครอบครัวหรือผู้นำองค์กร ซึ่งกว่าจะไปถึงวันนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่าย หลายครั้งมันถูกกำหนดและวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

การเผื่อเป็นผู้นำ จึงข้องเกี่ยวกับการเผื่อใช้ความรู้ อย่างแยกไม่ออก

Oprah Winfrey พิธีกรชื่อดังของสหรัฐเคยกล่าวว่า "Luck is a matter of preparation meeting opportunity" แปลง่ายๆว่า โชค = ความพร้อม + โอกาส

ไม่มีใครล่วงรู้ว่าโอกาสจะมาหาตัวเมื่อไร และมาบ่อยแต่ไหน แต่ถ้าคุณได้เตรียมความพร้อมไว้อยู่แล้ว ทุกครั้งที่โอกาสผ่านเข้ามา ก็จะสามารถคว้าและใช้มันไปสู่ความสำเร็จได้

เมื่อถึงวันที่คุณขึ้นเป็นใหญ่ โดยธรรมชาติจะมีคนที่คอยตรวจสอบและติดตามการทำงานของคุณ การเตรียมความพร้อมวิธีหนึ่งที่ดีที่สุด คือ การทำประวัติให้ใสสะอาดและมีความประพฤติดีตลอดชีวิตของคุณนั่นเอง ซึ่งมันจะค่อยๆกลายมาเป็นนิสัยที่ดีของคุณโดยไม่รู้ตัว

3.เผื่อเจอ (ภัยพิบัติ)

นับวันโลกของเราจะประสบภัยพิบัติถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น สำหรับคนไทยที่พอเข้าหน้าฝนทีไร ก็อดหวั่นไหวกับปัญหาอุทกภัยไม่ได้ทุกที แต่เมื่อผ่านฤดูฝนไปแล้ว กลับต้องพบเจอภัยแล้งซ้ำแล้วซ้ำอีก

ฝนฟ้าดูจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล มาเร็วและแรงกว่าปกติ แม้ภาครัฐจะคอยเตือนและให้คำแนะนำอย่างไร คนไทยก็ต้องดูแลและสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง โดยต้องเผื่อไว้เสมอว่า อาจจะเจอภัยพิบัติได้ทุกปี

ในขณะที่โรงงานและอาคารสูงมีมาตราการป้องกันอัคคีภัย มีระบบดับเพลิงอัตโนมัติ มีถังดับเพลิง ซักซ้อมการหนีไฟ ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเหตุร้ายจะเกิดเมื่อใด แต่ต้องคิดเผื่อว่ามันอาจเกิดได้

คนไทยคงต้องคิดเผื่อว่าอาจจะเจอน้ำท่วมได้ทุกปี เพราะฉะนั้น ในช่วงหน้าแล้งสามารถเตรียมตัวขุดลอกคลองได้ มีเครื่องสูบน้ำที่ช่วยระบายน้ำได้เร็วขึ้น ที่ไหนมีพื้นที่ว่างก็สามารถขุดบ่อไว้รอรับน้ำที่กำลังจะมาในหน้าฝน และอาจกักเก็บน้ำไว้ใช้ได้เป็นระยะเวลานาน บ้านเรือนจะต้องปลูกสร้างให้แข็งแรงกว่าสมัยโบราณสักหน่อยและมีความสอดคล้องกับสภาพพื้นที่

ทำมากทำน้อยแค่ไหน เจ้าของพื้นที่นั้นจะบอกได้ดีที่สุด แน่นอนสิ่งเหล่านี้อาจต้องมีการลงทุนบ้าง แต่มันคือการทำทีเดียวแล้วใช้ประโยชน์ได้ระยะยาว ซึ่งอาจจะเทียบไม่ได้เลยกับมูลค่าของความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งในแง่ของวัตถุและจิตใจ

เพราะบางอย่างสูยเสียไป สามารถหาใหม่ได้ง่าย บางอย่างสูญเสียไป ใช้เวลานานกว่าจะหาใหม่ได้ บางอย่างสูญเสียไป แต่ไม่มีอะไรสามารถทดแทนได้

สรุป คือ หลัก 3 เผื่อ.. เผื่อใช้ เผื่อเป็น และ เผื่อเจอ จะต้องอาศัยความรู้และวินัยของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ นอกจากให้คำแนะนำที่หวังดี ก็ไม่มีใครสามารถบังคับให้คุณเผื่อได้ เพราะมันคือการวางแผนชีวิตในอนาคต ที่จะทำให้ตัวเองสุขสบาย ไม่เป็นภาระต่อคนอื่น และไม่ต้องหวังรอความช่วยเหลือจากภาครัฐ

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ (18.09.18)

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เกษียณก่อนเที่ยว หรือ เที่ยวก่อนเกษียณ


คนสมัยก่อนมักทำงานเก็บเงิน รอวันเกษียณแล้วค่อยคิดถึงเรื่องเดินทางท่องเที่ยว

เรียกว่า เก็บอย่างเดียว ไม่ค่อยได้ใช้

พอมาเจอเด็กสมัยใหม่ก็มักจะบอกว่า เด็กสมัยนี้ใช้เงินเก่ง ไม่รู้เก็บเงินเป็นหรือเปล่า

เรียกว่า ทำไปใช้ไป เห็นจะได้

คนที่มีอายุอยู่ระหว่าง 20-40 ปี หรือที่อยู่ในช่วง Gen Y ส่วนมากคงจะเป็นเช่นนั้น

เริ่มต้นปีใหม่ ต้องกางปฏิทินหาวันหยุดยาว วางแผนไปเที่ยว ไตรมาสละครั้ง หรือปีละครั้งสองครั้ง เพื่อเติมไฟให้ชีวิต

บางคนยึดเอาคติว่า "ตอนมีแรงให้รีบเที่ยว อย่ารอวันที่ทำได้เพียงลงไปเยี่ยว แล้วกลับมานั่งรอบนรถบัส"

แต่ความจริงแล้วที่คนสมัยใหม่เที่ยวบ่อย มันอาจมีเหตุผลอยู่ดังนี้

1. ค่าใช้จ่ายถูกลง แต่ความสะดวกเพิ่มขึ้น ถ้าเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวสมัยนี้น่าจะถูกกว่าสมัยก่อนมากพอสมควร 

- เริ่มตั้งแต่ตั๋วเครื่องบิน มีทั้ง Low Cost Airline หรือสายการบินเดิมที่แข่งกันลดราคา ทำโปรโมชั่นแย่งลูกค้ากันอย่างดุเดือด

- การพัฒนาขนส่งมวลชนของหลายๆประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางได้ง่ายขึ้น เชื่อมต่อจากสนามบินเข้าถึงใจกลางเมืองและสถานที่เที่ยวได้ ซึ่งในอนาคตคงจะสะวดกกว่านี้อีกหลายเท่าสำหรับหลายๆสถานที่

- โรงแรมที่พักที่มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งโรงแรมห้าดาว Hostel BoutiqueHotel หรือแม้แต่ Apartment ก็นำมาปล่อยเช่าให้นักท่องเที่ยวในราคาถูก

เรียกได้ว่าการแข่งขันเสรีในยุคทุนนิยม ทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์มากขึ้นทั้งในแง่ราคาและคุณภาพ ยังไม่รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศต่างๆ โดยไม่ต้องขอและเสียค่าธรรมเนียมวีซ่า

2. ช่องทางออนไลน์ เพิ่มความสะดวกให้วัยรุ่นสมัยนี้เข้าถึงข้อมูลต่างๆได้อย่างง่าย

- นอกจากจะมีสายการบินเพิ่มขึ้นแล้ว เว็บไซต์ของสายการบิน ก็พัฒนาให้ผู้บริโภคสามารถค้นหาตั๋วเครื่องบินตามวันและเวลาที่ต้องการ สามารถจองและชำระเงินได้โดยไม่ต้องพูดคุยกับ call center และยังมีเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาตั๋วเครื่องบินราคาถูกที่แข่งขันกันทำตลาด ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคาแต่ละสายการบินได้ทันทีผ่านแพลตฟอร์มแบบ One Stop Service

- การจองโรงแรมผ่านเว็บไซต์ค้นหาที่พัก Agoda หรือ Booking.com การจองผ่านแพลตฟอร์มนี้ (Online Travel Agency) นอกจากจะมีราคาถูกกว่าจองผ่านโรงแรมโดยตรงแล้ว ยังมีโค้ดส่วนลดที่แถมให้ผู้บริโภคเพิ่มขึ้นอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า บริษัท Priceline เจ้าของเว็บไซต์ดังกล่าวจะมีรายได้มากกว่าโรงแรมระดับโลกหลายแห่ง ทั้งๆที่ไม่ได้มีโรงแรมเป็นของตัวเองเลยแม้แต่ห้องเดียว

- แม้แต่การจองรถ การซื้อประกันการเดินทางก็สามารถทำผ่านออนไลน์ได้ เลือกความคุ้มครอง ราคา และช่วงเวลาที่ต้องการได้ ทั้งหมดนี้สามารถชำระผ่านบัตรเครดิต ซึ่งนอกจากจะได้สะสมแต้มแล้ว ในบางกรณียังเลือกที่จะผ่อนชำระแบบ 0% เอาเงินในอนาคตมาใช้ล่วงหน้าได้อีกด้วย

เปรียบเทียบกับสมัยก่อนที่เราแทบไม่รู้เลยว่า ที่ไหนมีโรงแรมอะไรดีให้บริการ ห้องพักเป็นอย่างไร บริการดีไหม อยากจะโทรศัพท์ไปที่โรงแรมต้องโทรไปถามเบอร์ก่อน แล้วค่อยโทรเข้าโรงแรม อยากจองตั๋วเครื่องบินจะต้องติดต่อเอเย่นเจ้าไหนดี แค่โทรเช็คราคาก็เสียเวลาเป็นวันๆ เทียบกันไม่ได้เลยกับความสะดวกสบายที่ปลายนิ้ว ซึ่งช่วยทำให้คนสมัยนี้เข้าถึงข้อมูลเพื่อการตัดสินใจได้ง่ายและเร็วขึ้น

3. Social Media ซึ่งมีอิทธิพลมากที่สุดในการกระตุ้นความอยากของคน Gen Y

- สมัยนี้ใครไปเที่ยวที่ไหน ทำอะไรที่แสดงถึงคุณภาพชีวิตที่ดีก็มักจะโพสรูปลง facebook IG Line แสดงให้สังคมได้รู้ พอเพื่อนๆเห็นก็เกิดความรู้สึกอยากมี อยากได้ อยากไป ประกอบกับการเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น จึงเป็นพลังที่แอบผลักให้คนสมัยนี้ออกไปเปิดหูเปิดตาในโลกกว้าง เสร็จแล้วก็นำไปโพสลงโซเชี่ยลเป็นวงจรอยู่อย่างนั้น

- บริษัททัวร์เองก็ปรับตัวหันมาทำโฆษณาผ่านโซเชี่ยลมีเดีย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลที่กระตุ้นความอยากของผู้บริโภคได้ตรงจุด ด้วยราคาที่แสนถูก 'โปรไฟไหม้' แถมมีรถรับส่งถึงหน้าโรงแรม พร้อมไกด์นำเที่ยว ทำให้คนที่ไม่ค่อยรู้เรื่องต่างประเทศ สามารถท่องเที่ยวได้อย่างสบายใจ

- นอกจากอิทธิพลโดยตรงจากเพื่อนฝูงแล้ว สมัยนี้ยังมีเทคนิคการทำโฆษณาหลากหลายรูปแบบ ทั้งรับจ้างรีวิวโดยเซเลบ ดารา คนมีชื่อเสียง การทำโฆษณาจากเว็บไซต์ผู้ให้บริการOTA การทำโฆษณาโดยตรงไปสู่กลุ่มคนที่มีความสนใจเหมือนๆกัน รวมไปถึงการทำโฆษณาที่ตามมาหลอกหลอนเราหรือเรียกว่า Remarketing



ในสมัยก่อนที่ไม่มีโซเชี่ยลมีเดีย ระบบอินเทอร์เน็ตยังไม่ทันสมัยเหมือนปัจจุบัน ก็คงมีคนที่ชอบเที่ยวและคนที่เที่ยวบ่อย แต่ไม่มีช่องทางสื่อสารให้คนอื่นรู้เป็นวงกว้างและรวดเร็วเท่าสมัยนี้

แต่ปัจจุบันที่เทคโนโลยีพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว คนสมัยใหม่จึงสามารถรับรู้เรื่องราวจากภายนอกได้อย่างรวดเร็ว บางคนยังถือว่าการเดินทางไปดูโลกกว้างโดยพาคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยเป็นการแสดงออกถึงความรักความกตัญญู เป็นการเพิ่มมุมมองในการใช้ชีวิต เพื่อเข้าใจธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมต่างๆได้ดีขึ้น

เพียงแต่บางครั้งเราก็ต้องไตร่ตรองด้วยว่า 'เหรียญมีสองด้านเสมอ' สิ่งที่คนอื่นโพสลงไปบนโซเชี่ยลนั้นมีเพียงด้านเดียว คือ ด้านที่อยากให้คนอื่นรู้ ซึ่งส่วนมากคือชีวิตที่ดูดีและหรูหรา แต่กว่าที่เขาจะไปถึงจุดๆนั้น เขาต้องผ่านความยากลำบากอะไรมาบ้าง เราอาจไม่รู้ เพราะเขาไม่ได้บอกให้โลกรู้ ไม่ได้แสดงให้โลกเห็น

ดังนั้น จะไปเที่ยวที่ไหน เที่ยวกับใคร เที่ยวเมื่อไร เที่ยวอย่างไร ควรจะต้องประมาณความสามารถและความพึงพอใจของตัวเราเองให้ดี เพราะทุกคนคงไม่ได้อยากไปเที่ยวครั้งเดียวแล้วไม่ได้ไปไหนอีกเลย 

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ 07082018

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ราชการต้อง disrupt ตัวเอง

ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี ใครๆก็รู้ว่ากิจการใดที่เอกชนทำได้ ก็ปล่อยให้เขาทำไป ภาครัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือทำแข่งกับเอกชน

เพราะการบริหารงานของเอกชน ที่แสวงหากำไร มักจะมีประสิทธิภาพมากกว่าราชการเสมอ

ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล Digital Economy - Thailand 4.0 ที่รัฐบาลพยายามผลักดันอยู่นั้น ไม่เพียงเฉพาะเอกชนเท่านั้นที่ต้องเร่งพัฒนาและปรับตัว แต่นั่นหมายรวมถึงภาครัฐและระบบราชการที่ให้บริการประชาชนด้วย

เราคงไม่ต้องเป็นห่วงภาคเอกชนเท่าไรนัก เพราะต่างฝ่ายต่างพยายามปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดในระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

ประเด็นคือ ถ้าวันนี้ประเทศไทย 4.0 แล้วราชการไทย(บางแห่ง) ได้กี่จุดแล้วตอนนี้..?

ลองสังเกตดูความแตกต่างระหว่างการให้บริการของเอกชน vs. ราชการ (บางแห่ง) ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

1. เอกชนปิดร้านช้า - ราชการปิดร้านเร็ว
2. เอกชนสถานที่ค่อนข้างใหม่ - ราชการสถานที่ค่อนข้างเก่า
3. เอกชนคิวสั้น - ราชการคิวยาว(กว่า)
4. เอกชนเอกสารน้อย - ราชการเอกสารเยอะ
5. เอกชนถ่ายเอกสารให้ผู้ใช้บริการ - ราชการผู้ใช้บริการไปถ่ายเอกสารเอง
6. เอกชนใช้เครื่องอ่านบัตรประชาชน - ราชการไปถ่ายเอกสารบัตรประชาชนมา
7. เอกชนมีทีวีหันให้ลูกค้าดู - ราชการมีทีวีหันให้พนักงานดู
8. เอกชนกันที่จอดรถลูกค้าเยอะ - ราชการกันที่จอดรถพนักงานเยอะ
9. เอกชนเอาใจลูกค้า - ราชการเอาใจพนักงาน
10. เอกชนไปทีเดียวจบ - ราชการไปทีเดียวไม่เคยจบ
11. เอกชนมีเว็บไซต์ใช้ง่าย - ราชการมีเว็บไซต์เหมือนไม่มี
12. เอกชนไหว้ลูกค้าก่อน - ราชการไหว้พนักงานก่อน
13. เอกชนเงินเดือนเยอะพนักงานน้อย - ราชการเงินเดือนน้อยพนักงานเยอะ(กว่า)
14. เอกชนไม่มีระบบนายหน้าให้ลูกค้า - ราชการมีนายหน้ารับทำธุระให้ได้

เพื่อความเป็นธรรม ทุกคนทราบดีว่าราชการหลายหน่วยงานพัฒนาการให้บริการได้ดีไม่แพ้ภาคเอกชน หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งนั้นหมายถึงงานของพนักงานจะง่ายขึ้นและน้อยลง

ในขณะเดียวกันก็ยากที่จะปฏิเสธว่า ยังมีอีกหลายแห่งที่ปรับตัวไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่

เพราะภาคเอกชนที่มีการแข่งขันอย่างเสรีต้องเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง แต่ราชการนั้นเปรียบได้ดังธุรกิจผูกขาด จะเร็วจะช้าอย่างไรลูกค้าก็แทบไม่มีทางเลือก

ทางเลือกอาจจะเป็นการไม่ทำให้ถูกต้อง (ซึ่งเราไม่สนับสนุน) เพราะการทำให้ถูกต้องบางทีต้นทุนมันแพงเหลือเกิน

เมื่อไม่เกิดการแข่งขัน การพัฒนาก็ยากที่จะคาดหวัง

ยกเว้นแต่มีผู้นำองค์กรที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ถ้าจะใช้ศัพท์ให้เข้ากับยุคต้อง Disrupt (old) Public Service

แม้เราเข้าใจว่าบริบทของงานราชการจะมีมิติที่ต้องคำนึงถึง เช่น ความมั่นคง ความเท่าเทียม? สาธารณะสุข กฏระเบียบที่เข้มงวด

แต่รับรองได้เลยว่า ถ้าหากราชการมีคู่แข่งในการทำงาน ประชาชนน่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่านี้

ที่สำคัญที่สุดคือ การย่นระยะเวลาติดต่อราชการ หมายถึงการมีเวลาเพิ่มขึ้นในการสร้างงานที่เพิ่มมูลค่าของภาคเอกชน

ราชการต้องdisruptตัวเอง ไม่ใช่เพื่อไม่ให้ตกงาน แต่เพื่อทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าได้ดีกว่าเดิม

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
(ระหว่างรอติดต่อราชการ)

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ใครคิดว่า คสช.สอบตก..?



คสช.สอบตก..? คงมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

แต่วันนี้เราไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่น ยกเว้นเรื่องฟุตบอลโลก 2018 ครั้งที่ 20 โดยมีรัสเซียของท่านปูตินเป็นเจ้าภาพ


Image result for world cup 2018


ใครๆก็รู้ว่าฟุตบอลโลก 4 ปีมีครั้ง นั่นหมายความว่า ฟุตบอลโลกได้ก่อกำเนิดขึ้นมาแล้วเป็นระยะเวลา 80 ปี

ฟุตบอลโลกถือเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่ง ที่ชาวโลกหลายพันล้านคนตั้งตารอให้มาถึง ไม่เว้นแม้แต่ชาวไทย

แต่ปีนี้ภายใต้รัฐบาลคสช. กระแสฟุตบอลโลกในไทยค่อนข้างจะเหงาหงอย ไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์โฆษณาทางทีวี เว็บไซต์หรือสื่ออื่นๆ ที่มากพอจะทำให้เกิดกระแส ที่เรียกว่า fever ได้

โดยส่วนตัวที่ติดตามข่าวสารจากหลายช่องทาง ยังไม่รู้สึกเหมือนว่าฟุตบอลโลกจะเปิดฉากขึ้นในสัปดาห์หน้านี้แล้ว

ทั้งๆที่ฟุตบอลโลกมีเพียง 4 ปีครั้ง แต่ภายใต้รัฐบาลคสช. กลับไม่ได้ใช้มหกรรมกีฬาระดับโลกครั้งนี้ให้เป็นประโยชน์ใดๆเลย

แม้กระทั่งตารางการถ่ายทอดสด ยังไม่สามารถบอกประชาชนได้ ไม่รู้ว่าใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องและใครกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งน่าผิดหวัง

4ปีมีครั้ง เราน่าจะใช้เป็นโอกาสเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้ดีกว่านี้

4ปีมีครั้ง เราน่าจะใช้เป็นโอกาสในเชิงสังคม ได้ดีกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนหรือแม้แต่ความสัมพันธ์ที่ดีของคนในชาติ

ลองเปรียบเทียบดูสิครับ เวลาเราวางแผนจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง เวลาที่ตื่นเต้นที่สุดก็คือ เวลาก่อนไป 

เช่นเดียวกันกับฟุตบอลโลก ระยะเวลาประมาณ 1 เดือนก่อนแข่งขัน ถ้ามีโอกาสเตรียมการให้ดี ก็จะเป็นการโหมโรงที่มีมูลค่า ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันได้ เช่น ธุรกิจกีฬา เสื้อผ้า แฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ของที่ระลึก สื่อ ร้านอาหาร รวมถึงของอุปโภคบริโภคตามห้างสรรพสินค้า

เม็ดเงินจำนวนมหาศาลตรงนี้ จะหมุนเวียนและเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยธรรมชาติ ซึ่งรัฐไม่ต้องลดแลกแจกภาษีให้กับประชาชน

เพียงแต่ออกแรงผลักเพื่อสร้างอารมณ์ร่วม และจุดกระแสให้ติดในตอนเริ่มเท่านั้น

ปัจจุบันมีทั้งสื่อทีวี วิทยุ สื่อเคลื่อนที่ Social media เทคโนโลยีเสมือนจริง (Vertual Reality) รวมถึงผู้ประกาศข่าวฝีมือดี ที่สามารถสร้างผลกระทบได้เป็นวงกว้างและรวดเร็ว

ถ้าใครยังพอมีความทรงจำในยุคที่ David Beckham เล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ เขาเป็นนักบอลสุดหล่อและมีอิทธิพลทางแฟชั่นต่อแฟนบอลทั่วโลก ไม่เฉพาะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ แต่รวมถึงสาวไทยจำนวนไม่น้อยก็หลงใหลในเกมกีฬานี้เข้าไปด้วย แม้จะเล่นฟุตบอลไม่เป็นก็ตาม

'Beckham model' สามารถนำกลับมาใช้ได้ดีเสมอ การนำนักฟุตบอลหน้าตาดีมาเสริมการโปรโมต เป็นแคมเปญที่ดึงดูดความสนใจของคนที่ไม่ใช่แฟนบอลตังจริงได้เป็นอย่างดี

รับรองว่าคนไทยทั้งชายและหญิงจะหันมาร่วมใจกันเชียร์เกมส์กีฬา แม้จะชอบจะเชียร์คนละทีมกันก็ตาม

ไม่รู้ว่าจนถึงวันนี้แล้ว จะช้าไปหรือไม่ เพราะตามกระแสข่าวมีการคาดการณ์ว่า สำหรับช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 เม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบของโต๊ะพนันบอล อาจจะสูงกว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจริงที่จะส่งผลดีต่อประชาชนโดยส่วนรวมมากกว่า

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เสียสัตย์ เพื่อ...

Please dont make a promise if you can not keep. เป็นประโยคในหนังอมตะชื่อเรื่อง Home Alone

แต่... เสียสัตย์เพื่อชาติ เป็นวาทะกรรมของนักการเมืองดึกดำบรรพ์

วาทะกรรม เสียสัตย์เพื่อชาติ พวกเหล่านักการเมืองคงเลียนแบบมาจากวลี สละชีพเพื่อชาติ ของเหล่าทหารอาชีพ ซึ่งบริบทและความน่าเชื่อถือของวลีนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ลุงกำนันสุเทพ ได้นำวลีนี้กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งในยุคประเทศไทย4.0 ในปีพ.ศ.2561

แม้คำพูด ตระบัดสัตย์ จะออกมาจากปากลุงกำนันก็ตาม แต่ผมพยายามไล่ย้อนดูคลิปวีดีโอเก่าๆ ดูแล้วดูอีกว่า ลุงกำนันนั้นเสียสัตย์จริงหรือไม่


ซึ่งคำตอบที่ผมพบก็คือ จริง (3ครั้ง)

เพราะในฐานะที่เคยติดตามเวทีของลุงกำนัน ผมเชื่อโดยสนิทใจมาตลอดว่า ลุงกำนันกำลังถอยตัวเอง (fade) ออกจากฉากการเมืองไทยอย่างชาญฉลาด อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ทำให้ภาพจำเก่าๆของเทพเทือกได้เลือนหายไป เหลือเพียงแต่ ลุงกำนันที่เป็นฮีโร่ของมวลมหาประชาชน

ผมนั่งคิดนอนคิดอยู่นานว่า ทำไมคนๆหนึ่งต้องยอมเสียสัตย์ต่อผู้ร่วมอุดมการณ์ที่ได้สนับสนุนเขาอย่างสุดแรงกล้าในอดีต ซึ่งอาจจะสรุปได้ดังนี้
1.เพราะเขาคิดว่าเขาอาจจะทำประโยชน์ได้มากกว่าเพียง รักษาคำพูด
2.เพราะเขาไม่ได้ให้ราคาต่อผู้ที่เคยสนับสนุนเขา (disrespectful)
3.เพราะเขาเคยเสียสัตย์มาแล้ว และถ้าจะต้องเสียสัตย์อีก คงเป็นเรื่องปกติ

หรือเพราะเขาคิดว่ามันเป็น The Art of the Deal ซึ่งก้อปปี้มาจาก Donald Trump

แต่ต่างกันที่ Trump เขาบลัฟคู่แข่งของประเทศเขา ไม่ใช่ผู้สนับสนุนของตัวเอง

ผมคิดว่ามันหมดสมัยของการหลอกลวงผู้บริโภค ในยุคดิจิทัลที่มีทั้ง facebook youtube ซึ่งสามารถบันทึกเรื่องราวในอดีตไว้ได้เกือบจะทั้งหมด ไม่ว่าใครจะทำดีหรือทำชั่วอย่างไรก็ตาม

ในอดีตคนอาจจะจำแม่นเพียงแต่ความเลวของนักการเมือง

แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่จำเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นได้ว่า ในการเลือกตั้งระหว่างคุณชวน กับ พล.อ.ชวลิต ซึ่งคุณชวน (พ่อของเพื่อนผม) ได้คะแนนน้อยกว่าแต่สามารถรวมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลในระบบรัฐสภาได้แล้ว

แต่คุณชวนปฏิเสธที่จะเป็นรัฐบาล เพราะเคยพูดไว้ว่าถ้าได้คะแนนเลือกตั้งน้อยกว่า ต้องให้พรรคที่ได้เสียงมากกว่ามีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลก่อน

'ระหว่างรักษาคำพูดกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมเลือกรักษาคำพูด' เป็นวาทะของคุณชวน หลีกภัย ซึ่งการไม่เสียสัตย์ครั้งนั้น ต่อมาเหตุการณ์นำไปสู่ความเลวร้ายทางการเงินครั้งประวัติศาสตร์ของชาติไทยในปี พ.ศ.2540 'วิกฤติต้มยำกุ้ง'

อดคิดไม่ได้จริงๆครับว่า หากคราวนั้นคุณชวน ต้องเสียสัจจะ เพื่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยจะเจอวิบากกรรมต้มยำกุ้งหรือไม่..? แล้วทางเลือกไหนคุ้มค่ากว่ากัน..?

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
04 มิถุนายน 2561

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2561

สถาบันครอบครัว คือกำลังหลักของสังคม

สถาบันครอบครัว (Family Unit) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะกำหนดอนาคตความเป็นไปของสังคม

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำรัส มีใจความว่า ความเป็นครอบครัวที่เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันระหว่างเครือญาติ คือจุดแข็งของคนไทย ที่ยากจะหาได้ในสังคมตะวันตก

ถ้าครอบครัวเข้มแข็ง คนในครอบครัวได้รับการบ่มเพาะให้เติบโตมาเป็นคนดี สังคมก็ยากที่จะอ่อนแอ

ตรงกันข้ามถ้าครอบครัวอ่อนแอ ขาดการอบรมสั่งสอนให้เด็กที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคตนั้น เป็นคนมีศีลธรรม ก็ยากที่สังคมนั้นจะเข้มแข็ง

ผู้ใหญ่ในครอบครัวที่สามารถอบรมสมาชิกให้เป็นเด็กดี มีวินัย และมีศีลธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย ถือเป็นเรื่องที่สำคัญมากต่อคุณภาพของสังคมในอนาคต

เพราะความดี หากถูกปลูกฝังอยู่ในทัศนคติ(สันดาร)ของคนๆนั้น แม้เวลาจะผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงทัศนคตินั้น ส่วนความเก่งเป็นเรื่องของทักษะ ซึ่งทักษะสามารถฝึกฝนได้ง่ายกว่าการพยายามเปลี่ยนแปลงลักษณะนิสัยของคนๆหนึ่ง

ผมโชคดีที่ได้รู้จักครอบครัวหนึ่งอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นครอบครัวที่มีคุณภาพ มีความเข้มแข็ง ซึ่งผมเชื่อว่าครอบครัวนี้สามารถเป็น'ครอบครัวตัวอย่าง'ให้กับสังคมได้

ผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสของครอบครัวนี้ เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล ผลลัพธ์ที่ดีจึงตกมาอยู่กับสมาชิกรุ่นลูก รุ่นหลาน

ครอบครัวนี้เป็นครอบครัวใหญ่ ซึ่งมีนโยบายการพบปะกันระหว่างสมาชิกเดือนละหนึ่งครั้ง และทุกเทศกาลสำคัญๆเป็นอย่างน้อย โดยสมาชิกทุกคนให้ความสำคัญกับวันนี้ และมักจะไม่พลาดการนัดหมาย ซึ่งเป็นอย่างนี้มาต่อเนื่องยาวนาน

วันนั้นจะเป็นวันที่สมาชิกของครอบครัวหลายสิบหรือเกือบร้อยชีวิต ทั้งผู้อาวุโส ผู้ใหญ่ วัยรุ่นและเด็กเล็ก ได้พบปะกัน ปรับทุกข์ คุยสุขซึ่งกันและกัน ส่วนเด็กๆนอกจากจะได้ทำกิจกรรมร่วมกันแล้ว ยังได้ทยอยซึมซับวัฒนธรรมครอบครัวที่อบอุ่น ซึ่งผู้ใหญ่ได้วางแนวทางไว้ให้เป็นอย่างดี

เมื่อสมาชิกจำนวนมากได้พบปะกันอย่างต่อเนื่องความสามัคคีเดิมที่มีอยู่ ก็ยิ่งพัฒนาให้เกิดความเหนียวแน่นมากขึ้น

ครอบครัวที่จะทำแบบนี้ให้ประสบความสำเร็จได้ต้องประกอบด้วยปัจบัยสำคัญ 2 ประการ
1. ต้องเป็นครอบครัวที่สมาชิกมีวินัยและมีความรักใคร่สามัคคีกัน
2. ต้องเป็นครอบครัวที่มีรายได้ดี คือ มีรายรับมากกว่ารายจ่าย

ทั้ง 2 ปัจจัยนี้ จะขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไปไม่ได้ เพราะบางครอบครัวที่สมาชิกมีความรักใคร่กัน แต่หากมีรายได้ไม่พอค่าใช้จ่าย ลำพังแค่ต่างคนต่างทำมาหากิน ปากกัดตีนถีบ ก็แทบไม่มีเวลาให้ตัวเองแล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะจัดสรรเวลาการพบปะกับสมาชิกครอบครัวคนอื่นๆอย่างพร้อมหน้าเป็นการประจำได้

แต่ที่เลวร้ายยิ่งกว่า คือ ครอบครัวที่มีรายได้ดี มีทรัพย์สินมากมาย แต่สุดท้ายสมาชิกไม่มีความสามัคคี บางทีก็มีความบาดหมางกันถึงขั้นเลือดตกยางออก เพราะฉะนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้ครอบครัวกลับมาเข้มเข็งและอบอุ่นได้ดังเดิม

แต่ใช่ว่าเด็กที่อยู่ในครอบครัวที่อ่อนแอ จะเติบโตเป็นคนมีคุณภาพไม่ได้ เพียงแต่ว่าครอบครัวที่เข้มแข็งนั้น อาจมีโอกาสมากกว่าที่จะบ่มเพาะให้ลูกหลานเป็นคนดีของสังคม

สิ่งที่สำคัญก็คือ เมื่อไหร่ที่คนที่มีโอกาสดีกว่า มีโอกาสมากกว่าคนอื่นในสังคม สามารถแบ่งปันโอกาสเหล่านั้นให้คนที่ขาดแคลนกว่าได้ เพื่อบรรเทาความเหลื่อมล้ำและช่วยลดภาระปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ถ้าทำได้อย่างต่อเนื่องและเป็นวงกว้างแล้ว หลายปัญหาสังคมคงจะค่อยๆลดลง สวัสดิภาพความเป็นอยู่ก็จะดีขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อทุกคน รวมถึงคนที่ได้ปันโอกาสนั้นออกไปด้วย

วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ในสังคมไทย คนดีต้องมีที่ยืน

ในฐานะของผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับหุ้นบริษัทITD ซึ่งCEOของบริษัทมหาชนแห่งนี้เกิดมีเรื่องมีราวถูกจับกุมขณะเข้าป่าล่าสัตว์สงวน


ก่อนอื่นต้องคารวะในอิทธิพลของเทคโนโลยีและ Social media ที่ทำให้เรื่องราวเช่นนี้แพร่หลาย และถือว่ากลายเป็นเกราะป้องกันตัวชั้นดีของข้าราชการที่ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ที่ต้องขัดแย้งกับผู้มีอิทธิพลระดับประเทศ ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเหตุการณ์นี้ถ้าเกิดขึ้นในอดีตที่โลกเรายังไม่มี Social media การแพร่กระจายของข่าวสารและการสื่อสารที่ก่อตัวจนเป็นกระแสกดดันของสังคมยังไม่รวดเร็วเช่นปัจจุบัน สถานภาพของข้าราชการที่ยืนหยัดข้างความถูกต้องจะตกเป็นเช่นไร!!!

คดีระดับชาติพัวพันกับท่านเจ้าสัวใหญ่ของประเทศแบบนี้ ถ้าเราไม่ได้คิดจะทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราอาจไม่จำเป็นต้องรู้หรอกครับ ว่าท่านจะมีเทคนิคการต่อสู้คดีความอย่างไร

แต่เรื่องสำคัญของคนที่ยืนข้างความถูกต้องคือ หลังจากนี้เจ้าหน้าที่ข้าราชการน้ำดีคนหนึ่ง ที่ได้ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องทรัพยากรของชาติซึ่งเป็นสมบัติส่วนรวม เอาหน้าที่การงานของเขาและความมั่นคงของครอบครัวเป็นเดิมพัน จะมีหลักประกันอะไรในชีวิตภายภาคหน้า

คงไม่มีใครอยากได้ยินว่า ในสังคมไทย Know How หรือจะสู้ Know Who
คงไม่มีใครอยากได้ยินว่า ในสังคมไทย คุกมีไว้ขังคนจน
คงไม่มีใครอยากดินยินว่า ในสังคมไทย คนดีไม่มีที่ยืน

ในฐานะนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช.ที่ยึดถืออุดมการณ์ความถูกต้อง ความดี และการทำเพื่อผลประโยชน์ของชาติเป็นวาระสำคัญในการเข้ามามีอำนาจในบ้านเมืองนี้

ท่านน่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเชิดชูเขาและครอบครัว เพื่อให้หลักประกันความมั่นคงในอาชีพ และเพื่อนำทางให้เขามีตำแหน่งหน้าที่ที่เติบใหญ่ เพราะท่านไม่สามารถทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ แต่ในฐานะผู้นำประเทศนั้น ท่านสามารถสนับสนุนให้คนดีที่ยึดถือความถูกต้องเป็นที่ตั้ง ให้มีอำนาจปกครองหน่วยงานได้ ให้เป็นแบบอย่างของการทำดีได้ดี และเพื่อป้องกันไม่ให้คนไม่ดีมาก่อความวุ่นวายได้ในอนาคต

ข้าราชการน้ำดีท่านนี้ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เยาวชนต้องช่วยกันพิทักษ์ รักษา และเชิดชูผืนป่า ซึ่งเป็นทรัพยากรอันประเมินค่าไม่ได้ของประเทศ
ข้าราชการน้ำดีท่านนี้ ได้สร้างบรรทัดฐานของความถูกต้อง ที่จะต้องอยู่เหนืออำนาจและบารมี
ข้าราชการน้ำดีท่านนี้ ได้สร้างคุณงามความดีไม่น้อยไปกว่านักกีฬาที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศ

ยิ่งไปกว่านั้น ข้าราชการน้ำดีท่านนี้มีอุดมการณ์ร่วมกับท่านนายกและคณะในการมุ่งมั่นทำหน้าที่อย่างไม่เกรงกลัวอิทธิพล โดยยึดเอาประโยชน์ของประเทศชาติและส่วนรวมเป็นสำคัญ ท่านจะไม่ยกย่องเชิดชูหรือแม้แต่เหลียวแลเขาสักนิดเลยหรือ?