วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560

รถสีดำ เสี่ยงอันตรายมากที่สุด

ประวัติศาสตร์ของรถยนต์ ที่มีต้นกำเนิดมาจากโลกตะวันตกไม่ว่าจะเป็น Benz หรือ Ford

และถ้าใครเคยไปอเมริกาหรือยุโรป จะเห็นว่าไม่เพียงแต่รถสีดำหรือสีโทนมืดที่เป็นที่นิยมมาก แม้แต่การแต่งตัวก็จะหนักไปทางโทนสีมืดเช่นกัน

อาจเป็นเพราะว่าสีดำคงให้ความรู้สึก Sport ทะมัดทะแมง โฉบเฉี่ยว และเหมาะกับสภาพแวดล้อมของชาวตะวันตก ตั้งแต่เป็นเมืองหนาว มีหิมะสีขาว เส้นผมสีวาวทอง พอสีขาวหรือสีทองตัดกับสีดำจะทำให้วัตถุนั้นดูโดดเด่น และมองเห็นได้ชัดเจนแม้ในระยะไกล

สำหรับเมืองไทยที่อาจรับอิทธิพลมาจากเจ้าของต้นตำรับรถยนต์สี่ล้อเต็มๆ

แต่ด้วยสภาพแวดล้อมและบริบทของสังคมทำให้เราเห็นว่ารถสีดำหรือรถสีโทนมืด จะประสบอุบัติเหตุรุนแรง เป็นข่าวใหญ่ให้เห็นอยู่เป็นประจำ

ซึ่งผลวิจัยจากบริษัทประกันภัย Churchill ของอังกฤษ ก็ได้ระบุในทำนองเดียวกันว่า รถสีดำ มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุได้สูงกว่าสีบรอนซ์


ถึงแม้จะไม่ได้เป็นผลลัพธ์งานวิจัยทางวิชาการ ที่ถูกต้องแม่นยำ 100%

แต่คงไม่ต่างจากที่มีการพูดกันว่า คนที่ห้อยหลวงปู่ทวด ไม่เคยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน ซึ่งก็ไม่ได้มีทฤษฎีสถิติอะไรมายืนยัน แต่ในวงการเขาว่ากันอย่างนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ รถสีดำจึงอาจไม่เหมาะกับคุณ ถ้าคุณไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้โชคดี

เพราะเมืองไทยไม่เหมือนเมืองนอก 3 ประการ

1. เมืองไทยร้อนชื้น ฝนชุก ฝุ่นเยอะ – ถ้ารถสีดำจะเห็นได้ชัดมาก แม้มีเศษฝุ่นเกาะเพียงเล็กน้อย รวมถึง รอยขีดข่วนจากสัตว์เลี้ยงแสนรักที่ตามมาด้วย

2. เมืองไทยมี 2 ฤดู คือ ร้อนโคตร กับ โคตรร้อน เหมือนมีพระอาทิตย์อยู่บนหลังคาบ้าน – ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า สีดำจะดูดความร้อนของแสงแดดจากดวงอาทิตย์ แทนที่จะสะท้อนความร้อนออกไปเหมือนสีอ่อนๆ ทำให้รถสีดำจะร้อนเป็นพิเศษ ซึ่งเพิ่มภาระให้เครื่องปรับอากาศ และส่งผลไม่เพียงเฉพาะกับเจ้าของรถเท่านั้น แต่ถ้าบังเอิญไปจอดรถขวางใครเข้า ก็ขอให้สงสารคนที่ต้องมาเข็นรถคุณบ้าง

3. ไฟถนนเมืองไทยมีบ้าง ขาดบ้าง (ไม่เหมือนภาษีอากร จ่ายอย่างเดียว ห้ามขาด) – พอเวลากลางคืน รถสีดำจะกลมกลืนไปกับบรรยากาศ เสมือนหนึ่งพรางตัวอยู่ในแดนอาทิตย์อัสดง ถ้าขาดความระมัดระวังจะเกิดอันตรายได้ง่าย โดยเฉพาะจุดกลับรถหรือทางแยก ที่ไฟส่องสว่างไม่เพียงพอ ทำให้รถสีดำเป็นเป้าของอุบัติเหตุร้ายแรง จนถึงขั้นเสียชีวิตอยู่เสมอ

เพราะฉะนั้นหากหลีกเลี่ยงรถสีดำไม่ได้ หรือใครนิยมชมชอบรถสีดำจริงๆ ถ้ามีหลวงปู่ทวดไว้บูชาได้ ก็คงเบาใจไปเปราะหนึ่ง... 

ปล. สนใจติดต่อเช่าได้ที่.....

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันจันทร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2560

ขยะล้นเมือง เริ่มเรื่องที่หมู่บ้าน

คุณคิดว่าหมู่บ้านจัดสรรในกทม. มันเกลื่อนไปหมด ใช่ไหม?

คุณคิดว่าหมู่บ้านจัดสรรที่หนึ่ง มีกี่หลังคาเรือน และสร้างขยะให้ชุมชนวันละ เท่าไร?

แล้วคุณคิดว่าชุมชนโดยรอบได้รับประโยชน์อะไรจากหมู่บ้าน บ้างไหม?


ก่อนอื่นลองมาดูกำไรสุทธิ 3 ปีย้อนหลัง ของเจ้าของหมู่บ้านกันก่อน...



ถ้าเทียบเคียงในโรงงาน ก็จะมีข้อกำหนดต่างๆ จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม โรงงานที่มีพนักงาน 50 คนขึ้นไป กฏหมายบังคับให้ต้องมีห้องพยาบาลภายในโรงงาน เพื่อสวัสดิการของลูกจ้าง

คงจะไม่เกินไปถ้าจะสนับสนุนให้มีกฏว่า ให้เจ้าของหมู่บ้านเจียดพื้นที่ของบ้าน 1 หลัง เพื่อจัดตั้ง 'ธนาคารรีไซเคิล' เพื่อสวัสดิการของชุมชน

(สมมติ) หมู่บ้านจัดสรรตั้งแต่ 50 หลังคาเรือนขึ้นไป ซึ่งโดยส่วนมากจะมีนิติฯ รับผิดชอบงานส่วนรวมอยู่แล้ว

สามารถให้ความรู้ลูกบ้านเกี่ยวกับการแยกขยะที่รีไซเคิลได้ เช่น ซองจดหมาย ลังกระดาษ กล่องขนม ขวดน้ำอัดลม ขวดแก้ว ขยะอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น




จากนั้นนิติฯสามารถรับซื้อ แล้วรวบรวมเพื่อจำหน่ายต่อให้กับโรงงานรีไซเคิลที่ถูกกฏหมาย ซึ่งเขาจะมีรถคอยไปรับซื้อสินค้ารีไซเคิลอยู่แล้ว โดยที่หมู่บ้านไม่ได้เสียอะไรเพิ่มเลย

เมื่อรวบรวมสินค้าได้ปริมาณมากจากลูกบ้าน ก็จะยิ่งขายได้ราคาสูงขึ้น นิติฯก็จะมีกำไร สามารถนำกลับไปใช้พัฒนาตัวหมู่บ้านเองได้อีกด้วย

แนวทางแบบนี้ กรรมการหมู่บ้านส่วนใหญ่คงไม่มีใครปฏิเสธ ที่ดีไปกว่านั้นลูกบ้านทุกคนจะได้มีโอกาสที่ดีในการฝึกฝนนิสัยให้กับเด็กๆในบ้าน รู้จักการแยกขยะเหลือใช้ สามารถนำไปขายแล้วแลกเป็นสตางค์ และมีส่วนเล็กๆที่ร่วมรับผิดชอบต่อสังคม

เราคงไม่ได้หวังว่าสิ่งนี้จะแก้ปัญหาขยะล้นเมืองได้ แต่การริเริ่มเป็นโมเดลภายในเขตเมือง โดยเฉพาะหมู่บ้านในกทม. ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ดีกว่าไม่พยายามทำอะไรเลย

ปัญหาของเจ้าของหมู่บ้านจัดสรร คือ ยอดขายและกำไรลดลงไป 1 หลัง/หมู่บ้าน แต่ผลประโยชน์ระยะยาวที่เหนือกว่าจะตกอยู่กับลูกบ้าน

แนวทางแบบนี้คงเกิดขึ้นได้ยาก ถ้าไม่มีข้อบังคับเป็นตัวบทกฏหมาย

เพราะเจ้าของ อยากขายทำกำไรสูงๆ พอขายหมดก็ไป ไม่มีใครอยู่ในหมู่บ้านตัวเอง

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ


วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560

แท็กซี่ไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก


เขาว่ากันว่า 2 อาชีพที่ถูกประชาชนก่นด่ามากกว่าชื่นชม นอกจากตำรวจแล้ว ก็ยังมีคนขับแท็กซี่นี่แหละ

ในยุคที่การแข่งขันสูง ผู้ให้บริการเร่งพัฒนาคุณภาพการบริการ แถมอัดโปรโมชั่นลดราคาให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจ

ก็เห็นมีแต่แท็กซี่ไทยนี่แหละ ที่จะขอคิดเงินเพิ่ม 50 บ. โดยไม่ได้แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆก่อนเลย ที่จะทำให้ลูกค้าเต็มใจจ่ายเพิ่ม

ทั้งๆที่เวลาต้นทุนเพิ่ม เขาก็ปรับราคาขึ้นอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้จะขอเพิ่มดื้อๆซะอย่างงั้น แล้วถึงจะสัญญาว่าจะบริการให้ดีขึ้น

เหมือนกำลังบอกเราว่าถ้าจ่ายราคาเดิม ก็อย่าหวังการบริการแบบมืออาชีพเลย

ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน ทำให้ลูกค้ามีทางเลือกมากขึ้น ต้นทุนการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่ำลง

เวลาจะใช้บริการอะไร หลายคนจะเข้าไปที่หน้า Line@ หรือหน้า Fan Page ของร้านค้านั้นก่อน ใช้เวลาเพียงไม่ถึง1นาที เราอาจจะได้โปรโมชั่นร้านค้า ที่ราคาถูกกว่าหน้าป้ายเกือบ 50%

ผู้ใช้บริการแทบทุกรายจะหาข้อมูลสินค้าก่อนตัดสินใจ ในขณะที่ผู้ให้บริการก็มีโปรโมชั่นล่อตาล่อใจทาง facebook หรือ Line แทบทุกวัน

แต่แท็กซี่ไทย ดูราวกับพยายามทำสวนกระแสของตลาดในยุคปัจจุบัน

หมดยุคหรือยังที่แท็กซี่ต้องวนรถหาลูกค้า เพราะมันแปลความได้ว่า ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นทุกขณะ โดยที่ยังไม่รู้อนาคตว่าจะมีรายได้หรือไม่

ฟังดูแล้วเป็นอาชีพที่มีความเสี่ยงสุดๆเลยละ

บางคนอาจอ้างว่าต้นทุนของคนเราไม่เท่ากัน แต่ใครจะไปรู้ว่าผู้ประกอบการยุคใหม่เติบโตมาจากจุดไหน อาจไม่แตกต่างจากจุดที่คนขับแท็กซี่เป็นอยู่ก็ได้

หน่วยงานรัฐที่ดูแลควบคุมรถแท็กซี่ คงต้องปรับตัวไม่ใช่จะคอยแต่ควบคุม แต่ต้องหันมาช่วยแท็กซี่เขาพัฒนา และสนับสนุนให้การบริการของแท็กซี่ไทยทันสมัยตามกระแสของโลก และสามารถแข่งขันกับต่างชาติได้

พูดตามตรง คือ ทำคล้ายๆกับ Uber แต่ไม่หักหัวคิวจากคนขับแท็กซี่ หรืออาจหักในอัตราต่ำมาก เขาเรียกทฤษฎีนี้ว่า C&D (copy แล้ว develop)

เพราะแท็กซี่ไทยเป็นปัญหาใหญ่ของสังคม

ถ้าภาครัฐสนับสนุนงบประมาณช่วงแรกให้ 20-30 ล้านบาท/ปี คงจะมีเอกชนเก่งๆ มีความสามารถ กระโดดเข้ามาแย่งกันพัฒนาระบบให้แท็กซี่ไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลกเสียที

ลองคิดดูว่าถ้านักท่องเที่ยวไปเที่ยว bag pack ที่ไหนแล้วมีช่องทางการเรียกแท็กซี่ ที่สะดวก ปลอดภัย มีมาตรฐาน มันจะสร้างความประทับใจเพิ่มขึ้นอีกเท่าไร โดยเฉพาะเมืองร้อนๆแบบบ้านเรา

การลงทุนนี้มีคุณค่ามากกว่าแค่เพิ่มคุณภาพบริการให้กับคนไทยกันเอง แต่สร้างภาพลักษณ์และสื่อสารไปยังนักท่องเที่ยวทั่วโลกว่า ประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะเป็น Thailand 4.0

เป็นจุดหมายในฝันของนักท่องเที่ยวทุกคน


โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

ปล. ดูเพิ่มเติมวิธีแก้ปัญหารถสาธารณะได้ที่ลิงค์นี้: รถสาธารณะคือทูตชาวบ้าน