วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ซ่อนหาธรรมกาย ใครได้ ใครเสีย

ชิตังเม โป้ง ใครอ่าน รวยๆๆ

เล่นซ่อนหาธรรมกาย ใครได้ ใครเสีย...


คดีธรรมกายตั้งแต่ปี 2542 ผ่านไป 7 ปี อัยการถอนฟ้อง อ้างเหตุผลความสามัคคีของคนในชาติ

ท่ายอัยการปี 2549 จะได้เห็นภาพในวันนี้ไหมครับว่า การอ้างเหตุของท่านในวันนั้น ทำให้เกิดความเสียหายของคนในชาติทุกวันนี้มากเพียงใด ทั้งๆที่มันควรจะจบเรื่องราวได้ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว

หลวงพ่อ จะเห็นใจ ลูกๆไหมครับว่า วันนี้เขายากลำบากแค่ไหน เพียงเพราะท่านหลวงพ่อ ถ่วงเวลาคดีออกมาให้ยืดยาว เกินปกติวิสัยที่คนปกติทั่วไปจะทำได้

วันนี้ 24 ก.พ.60 ลูกๆของท่าน ขอให้ยกเลิก ม.44

ก่อนหน้านั้น วันที่ 26 พ.ค.59 ท่านได้นัดหมายจะไปพบกับเจ้าหน้าที่

ทั้งตำรวจ ทั้งพระ ถูกกำหนดให้ไปตั้งแถวรอต้อนรับ แต่บังเอิญโชคไม่ช่วย หลวงพ่อป่วยกระทันหัน เรื่องราวเลยบานปลายมาจนถึงทุกวันนี้

ไม่กล้าจินตนาการเลยว่า ถ้าปล่อยผ่านไปอีก 5 ปี 10 ปี จะวุ่นวายมากขึ้นอีกเพียงใด

บรรดาลูกๆ และลูกวัด จะเห็นใจคนรักประชาธิปไตยไหมครับว่า ถ้าเหตุการณ์นี้ยังไม่ยุติ ความวุ่นวายยังดำรงอยู่กับประเทศไทย วันเลือกตั้งที่ควรจะมีในเร็ววัน ก็คงจะถูกชะลอออกไปอีกเรื่อยๆ

คนที่อยากเห็นบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ดี และอยากมีสังคมที่ปรองดองก็คงต้องรอต่อไป

สุดท้าย คนที่เชียร์นายกลุงตู่ ก็คงจะได้เห็นลุงอยู่ยาวๆไป

ชิตังค์มา ชิตังค์มา รวยๆๆ

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วัดธรรมกาย เสียดายที่ไม่ไป

ต้องบอกตามตรงว่า รู้สึกเสียดายที่ไม่เคยแวะเข้าไปในวัดธรรมกาย

เพราะช่วงที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต หลายปีที่ผ่านมา ผมมีโอกาสขับรถผ่านวัดพระธรรมกาย หลายร้อยครั้ง

แต่แทบทุกครั้งที่ผ่านไป มักจะใกล้ถึงเวลาเรียน จึงพลาดโอกาสเข้าไปเยี่ยมชมและศึกษา

ทุกครั้งที่ขับรถผ่านก็ได้แต่เหลียวมองดูเจดีย์ เห็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตา ล่าสุดที่ผ่านจะเห็นเป็นอาคารทรงกลมคล้ายบาตรพระ ทันสมัยไม่เหมือนใครในโลก


มาทราบในภายหลังว่าการบริหารจัดการภายในวัดมีระบบ มีระเบียบ มีความสะอาดสะอ้าน มีวินัย ยิ่งรู้สึกเสียดายที่ไม่เคยแวะเวียนไปแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งๆที่มีโอกาสแทบทุกวัน บางคนอาจเรียกได้ว่า 'บุญมีแต่กรรมบัง'

ความมีระบบระเบียบ ความรัดกุมในการบริหารจัดการเช่นนี้ บนพื้นที่มโหฬารหลายพันไร่ จะต้องใช้เงินทุนเท่าไรสำหรับดูแลในแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละปี

ถ้าเทียบเคียงกับหมู่บ้านที่มีพื้นที่ 2,000 กว่าไร่ หรือคิดเป็น 800,000 ตร.ว. หรือประมาณ 3,000,000 ตร.ม. สมมติทั่วไปคิดค่าส่วนกลางเดือนละ 50 บาท/ตร.ม. คำนวณพื้นที่เพียงครึ่งหนึ่ง คือ 1,500,000 ตร.ม. จะมีเงินค่าดูแลพื้นที่ 75 ล้านบาท/เดือน หรือ 900 ล้านบาท/ปี

เงินจำนวนมหาศาลนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่องค์กรเอกชนทั่วไปในประเทศนี้จะหาได้ทุกปี

ยังไม่นับรวมค่าที่ดินและค่าก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ต่างๆ ที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างน่ามหัศจรรย์

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คงจะต้องเผื่อเวลาก่อนเข้าเรียน แวะเวียนเข้าศึกษางานภายในวัดแห่งนี้ ทั้งระบบบริหารจัดการ(Operations) การดูแลบุคลากร(HR) บริหารความสัมพันธ์สมาชิก(CRM) การสร้างรายรับ และบริหารรายจ่าย(Marketing, Finance and Account)

เพราะนับจากวันนี้ไป วัดพระธรรมกายคงไม่เหมือนเดิม ยิ่งคิด...ก็ยิ่งเสียดาย

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ยกเลิกขนส่งมวลชน คืนถนนให้คนใช้รถยนต์ จริงหรือ??



มีข่าวไม่ค่อยดีออกมาว่า กทม. จะขอยกเลิกรถขนส่งสาธารณะ BRT (Bus/Bangkok Rapid Transit) ที่เชื่อมต่อจากสถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี ไปฝั่นธนฯ ในเดือนเมษายน 2560

ความคิดดังกล่าว บอกได้ว่าเป็นความโบราณ คร่ำครึ และล้าสมัยมาก ที่จะยกเลิกระบบขนส่งมวลชน เพื่อคืนถนนให้รถยนต์ส่วนบุคคล

BRT จะมีเลนถนนที่ใช้ก้อนปูนกั้นไว้โดยเฉพาะ แยกออกจากเลนรถส่วนบุคคล 

ที่จริงแล้วถ้าใครเคยไปต่างประเทศ เขาไม่จำเป็นต้องกั้นถนนเลย เพียงแค่คนขับรถยนต์รู้ว่าเป็นเลนของรถสาธารณะ คนขับรถทุกคันก็จะไม่ล้ำเส้นไป



ข้อดีของรถBRT คือราคาถูก ระบบจำหน่ายตั๋วสะดวก เชื่อมโยงกับBTS และรถไม่ติด

แต่สำหรับผู้ใช้บริการครั้งแรก รถคันที่ขึ้นไปไม่มีบอกว่าถึงป้ายไหนแล้ว ไม่มีประกาศจากพนักงานขับรถ ต้องอาศัยถามคนข้างๆเพื่อเอาตัวรอด และรู้สึกได้ว่าป้ายน้อยมาก ไม่เหมาะสมกับการกระจายตัวของชุมชนเมือง

เมื่อปีที่แล้วได้ใช้บริการ BRT ราคา 5 บาทตลอดสาย (ไม่ใช่ช่วงโปรโมชั่น) ก็ยังคิดเล่นๆว่าเก็บราคานี้จริงหรือ เหมือนให้ทดลองนั่งฟรี

ไม่แปลกใจเลยที่บอกเหตุผลการยกเลิกว่า แบกภาระขาดทุนวันละ 500,000 บาท

สมมติถ้าขึ้นราคาเป็น 10 บาท ก็จะขาดทุนลดลงครึ่งหนึ่งทันที ซึ่งคงไม่ส่งผลต่อผู้ใช้บริการมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับค่าครองชีพอื่นๆของคน กทม.

แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า อะไรก็ตามถ้า 'รัฐ' เข้ามาบริหารงานเอง นอกจากจะแข่งขันกับเอกชนไม่ได้แล้ว ยังมีโอกาสเกิดทุจริตคอรัปชั่นมากขึ้นไปด้วย

เพราะหน้าที่ของรัฐไม่ใช่มาทำธุรกิจแบบเอกชน แต่รัฐต้องอำนวยความสะดวก สนับสนุน และควบคุม เพื่อให้เอกชนทำธุรกิจได้อย่างราบรื่น และเป็นธรรมกับสังคม

ทางออกของปัญหารถ BRT จึงไม่ได้มีแค่ 1.ทำขาดทุนต่อ หรือ 2.ยกเลิกทั้งหมด

แต่มันมีทางเลือกที่ 3 4 5 เช่น ปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารจัดการ ให้สัมปทานเอกชน ทำให้รัฐไม่ขาดทุน และประชาชนไม่เสียประโยชน์

เมืองนอกเขาอาจเรียกแบบนี้ว่า PPP (Public Private Partnership) รัฐลงทุนโครงสร้าง แล้วให้เอกชนบริหารการเดินรถ

การลงทุนของกทม.หรือรัฐ บางทีก็ไม่ต้องคิดคำนวณว่าจะมี ROI ให้สั้นที่สุด หรือมีจุดคุ้มทุนให้เร็วที่สุด

ในทางกลับกัน ประชาชนต้องได้รับความสะดวกสบายเร็วที่สุดและดีที่สุด ในขณะที่รัฐก็ไม่เสียผลประโยชน์เกินจำเป็น

คำถามมีอยู่ว่า ถ้ายกเลิก BRT ไปแล้ว เพราะบอกว่าต้องใช้เงินอุดหนุนการขาดทุนปีละ 200 ล้าน (5 ปี 1,000 ล้าน) แล้วเงินจำนวนนี้จะทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ให้กับคนกรุงเทพฯได้เห็นได้บ้างไหม...???

โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ