วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ทำไมถึงควรใช้บัตรเครดิต และวิธีปฏิเสธการชวนสมัครบัตรเครดิต

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
           
                ปัจจุบันคนวัยทำงานแทบทุกคนสามารถมีบัตรเครดิตได้ไม่ยาก เพียงคุณเริ่มทำงาน สมมติเงินเดือน 15,000 บาท ขอแค่มีหลักฐานการรับเงินเดือนจากบริษัท 3-6 เดือน คุณก็สามารถมีบัตรเครดิตวงเงิน 20,000 – 30,000 บาท และในหลายกรณีทางธนาคารจะโทรศัพท์ชักชวนลูกค้าให้เปิดบัตรเครดิตด้วย โดยที่เราไม่ทราบเลยว่าเขาไปเอาเบอร์โทรศัพท์เรามาจากไหน

                บัตรเครดิตเปรียบเสมือนอาวุธ ถ้าคนถือใช้เป็นและใช้ให้ถูกวิธีก็จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ถ้าคนถือไม่มีความตระหนักรู้แล้ว บัตรเครดิตอาจทำร้ายเราอย่างสาสม
                คนรวยส่วนมากจะนิยมใช้บัตรเครดิตแทนเงินสดในทุกๆกรณีที่เขาสามารถรูดบัตรได้ ไม่ว่าเงินที่จะต้องจ่ายเป็นหลักสิบหรือหลักแสนก็ตาม เพราะการพกเงินสดมีแต่ความเสี่ยง ถ้าเงินหาย หมายถึงสาบสูญไปเลย แต่ถ้าบัตรหายเราเพียงโทรไปอายัดบัตร และขอบัตรใบใหม่โดยไม่ต้องเสียเงินแม้แต่บาทเดียว เพราะยิ่งเราใช้บัตรมาก ผู้ให้บริการบัตรก็จะได้ประโยชน์ตามปริมาณการใช้ของเรานั่นเอง

                การชำระเงินผ่านบัตรเครดิต ทำให้เราได้รับคะแนนสะสม หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ใช้เงินให้เด้งกลับ เพราะทุกๆการใช้จ่าย อาทิ 25 บาท จะได้รับ 2 คะแนน, ทุกๆ 1000 คะแนน ใช้แทนเงินสดได้ 100 บาท, คิดเป็น 0.8% ของยอดใช้จ่าย บางกรณีสามารถแลกเป็นตั๋วเครื่องบิน อัพเกรดที่นั่ง แลกเป็นของใช้ เปลี่ยนเป็นบัตรกำนัล ได้รับของแถม สามารถผ่อน 0% นาน 10 เดือน แล้วแต่โปรโมชั่นของบัตรนั้นๆ แต่ถ้าเราใช้จ่ายเป็นเงินสด นอกจากการชื่นชมอยู่ในใจของคนขายแล้ว เราไม่ได้อะไรย้อนกลับมาเลย มิหนำซ้ำยังเพิ่มความเสี่ยงในการถูกโจรผู้ร้ายปล้นให้กับร้านค้าที่เก็บเงินสดมากๆอีกด้วย

                ถ้าลองสังเกตจะพบว่าการใช้เงินสดจะมีตัวเรา ร้านค้า และธนาคารที่เราฝากเงินไว้ เป็นตัวละครหลักในระบบนี้ แต่การรูดบัตรจะเพิ่มผู้เล่นในระบบเศรษฐกิจเข้ามาอีก เช่น ร้านจำหน่ายของกำนัล ร้านค้าที่รับแลกคะแนนจากบัตร สายการบิน ผู้ให้บริการเครื่องรูดบัตร และรวมถึงพนักงานทวงหนี้บัตรเครดิตด้วย เป็นต้น การรูดบัตรช่วยให้เกิดธุรกรรมในเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เงินหมุนในระบบมากกว่าการใช้เงินสด และกระจายออกไปสู่หลากหลายผู้ผลิตหรือผู้ให้บริการในระบบเศรษฐกิจนี้ โดยที่ทุกฝ่ายยังได้รับประโยชน์ในส่วนของตนเอง
                ถ้าวางแผนการใช้เงินให้ดีแล้ว เราอาจไม่ต้องใช้เงินซื้อสิ่งของเครื่องใช้หลายๆอย่างในบ้านเลยก็ได้ บัตรเครดิตบางประเภทยังมีการรับประกันของที่ซื้อผ่านการรูดบัตร ประกันอุบัติเหตุจากการเดินทาง เป็นต้น บัตรเครดิตที่ดี โดยเฉพาะบัตรตัวท๊อปของแต่ละธนาคาร ยังให้สิทธิประโยชน์มากมาย ทั้งส่วนลดร้านค้า ร้านอาหาร ที่จอดรถพิเศษ ห้องรับรองพิเศษ ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้บางทีเงินสดๆก็ไม่สามารถหาซื้อได้

                ที่สำคัญการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และชำระตามกำหนดเต็มจำนวนอย่างสม่ำเสมอนั้น จะยิ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวเรา จะไม่มีประวัติเสียของเราในเครดิตบูโร ส่งผลให้ได้รับความไว้วางใจจากสถาบันการเงินเมื่อเราต้องทำธุรกรรมต่างๆในอนาคตอีกด้วย ซึ่งตรงนี้จะแตกต่างจากคนที่ไม่เคยมีประวัติในเครดิตบูโรเลย เพราะสถาบันการเงินจะไม่มั่นใจ และต้องตั้งคำถามก่อนว่า เราจะสามารถชำระเงินเงินตามสัญญาที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่
                แต่ทุกอย่างในโลกนี้ที่มีข้อดี ก็มักจะมีข้อเสียตามมาด้วย เพราะการใช้บัตรเครดิต เราจะต้องจดจำให้แม่นว่าครบกำหนดวันชำระเงินวันไหน ห้ามสาย ห้ามขาด ห้ามเลย และต้องชำระเงินทั้งจำนวนโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น เพราะดอกเบี้ยบัตรเครดิตนั้นมหาโหด และเริ่มคิดดอกจากวันที่เราใช้จ่ายไปแล้ว ไม่ได้นับจากวันที่ครบกำหนดชำระแต่อย่างใด ความคิดในการชำระขั้นต่ำหรือ 10% ของยอดเงินที่ใช้จ่ายไปแล้ว เป็นเรื่องสิ้นคิดที่สุด เพราะธนาคารจะคิดดอกเบี้ยมหาโหดและคิดจากยอดใช้จ่ายเต็มทั้งจำนวน โดยไม่คำนึงว่าเราได้ชำระไปแล้วมากน้อยเท่าไร จนกว่าเราจะชำระยอดใช้จ่ายนั้นจนครบถ้วน + ดอกเบี้ย

                 เพราะฉะนั้นหากคุณมีความคิดที่ว่าจะใช้บัตรเครดิตเพื่อชำระเพียง 10% ของยอดเงินที่ใช้นั้น ชีวิตนี้คุณไม่ควรมีบัตรเครดิตเลย (เพื่อปกป้องตัวเอง) เพราะโทษนั้นมันมหาศาลมากกว่าประโยชน์ที่จะได้รับชนิดฟ้ากับเหว จากตัวอย่างในอดีตจะเห็นว่าคนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตคิดฆ่าตัวตายก็มี และมีคนอีกจำนวนมากที่สุดท้ายต้องให้รัฐบาลเข้ามาช่วย เพราะลำพังตัวเองไม่สามารถชำระหนี้+ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นได้ ทำให้เป็นปัญหาสังคมขึ้นมาทั้งๆที่เป็นปัญหาที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลย
                ทุกครั้งที่จะรูดบัตรเครดิต เราต้องตระหนักรู้เสมอว่ามีเงินสดเพียงพอที่จะชำระเต็มจำนวนเมื่อถึงวันที่ครบกำหนดชำระ และไม่ควรมีบัตรเครดิตเกิน 2-3 ใบ แล้วแต่ความจำเป็นของแต่ละคน เพราะจะทำให้เกิดความยากลำบากเมื่อบัตรหายแล้ว ยังต้องไม่ลืมที่จะชำระให้ครบทุกบัตรเมื่อถึงรอบบิลในแต่ละเดือนด้วย

                อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่มีบัตรเครดิตที่ดีอยู่แล้ว และมีธนาคารชักชวนให้เปิดบัตรใบใหม่ วิธีปฏิเสธที่ดีที่สุด คือ การยื่นข้อเสนอกลับไปโดยขอบัตรตัวท๊อป ซึ่งมักจะเป็นบัตรที่ให้สิทธิประโยชน์มากที่สุดแก่ลูกค้าVIP ถ้าเขาสามารถให้ได้ก็เป็นผลประโยชน์ของลูกค้าหรือตัวเรา แต่ถ้าไม่ได้ ก็จะได้ไม่มาเซ้าซี้กันอีก

               

วันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2559

โชคดีที่กล่องแตก

คนจำนวนไม่น้อยกำลังมีคำถามในใจว่า วันอาทิตย์ที่ 7 ส.ค. 2559 จะตัดสินใจ 'รับ หรือ ไม่รับ' รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2559 และคงอดสงสัยไม่ได้ว่าถ้ารับหรือไม่รับ ผลที่ได้มันจะแตกต่างกันหรือไม่ มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชนอย่างไร

ที่น่างุนงงสับสนไปยิ่งกว่านั้นคือ คณะผู้จัดทำร่างกฏหมายสูงสุดของประเทศ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมากด้วยประสบการณ์และความรู้ บอกอยู่เสมอว่ารัฐธรรมนูญนี้เป็นฉบับปราบโกง จึงพูดกันต่อไปว่านักการเมืองขี้โกงจะไม่ยอมรับร่างฉบับนี้ ในอีกมุมหนึ่งกลับมีการออกมาพูดของนักการเมืองที่ไม่เคยมีประวัติการคอรัปชั่นมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว โดยให้เหตุผลหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ตอบโจทย์เรื่องการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น และยังทำให้กระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลบางอย่างอ่อนแอลง

ความเป็นจริงแล้วทุกคนในประเทศนี้รู้ดีอยู่ในใจว่า ปัญหาความขัดแย้ง ปัญหาการทุจริตที่เกิดขึ้นทั้งหมด แทบไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดกับรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา และรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นปัญหาของชาติที่จะต้องมาคอยแก้ไข เพราะถึงจะแก้อย่างไรก็แก้ปัญหาที่เราเผชิญกันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ต้องมีรัฐธรรมนูญมากถึง 19 ฉบับ นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2475 ถึงปัจจุบัน และกำลังจะก้าวเข้าสู่ฉบับที่ 20 ในวันที่ 7 ส.ค. 2559 ที่จะถึงนี้ เพราะฉะนั้นจากประวัติศาสตร์จึงบอกกับเราว่า "การฉีกและแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่ทางออกของปัญหา"

หลายคนจึงพูดกันว่า จะรับหรือไม่รับ ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากการกากบาทคนละช่องเท่านั้น แล้วยังวิเคราะห์กันต่อไปถึงอนาคตอีกด้วยว่า ปัญหาความขัดแย้งก็จะวนเวียนกลับมาเป็นเหมือนเดิมเมื่อนักการเมืองคนเดิมๆเข้ามามีตำแหน่งมีอำนาจ

ในเมื่อความรู้สึกของคนจำนวนมากบอกว่าไม่มีอะไรแตกต่างระหว่างรับหรือไม่รับ และรัฐธรรมนูญไม่ใช่สาเหตุของปัญหาความวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมจึงอยากขอให้ทุกคนออกไป กากบาท "รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2559 ด้วยเหตุผลดังนี้ (โดยไม่คำนึงถึงเนื้อหาอย่างมีนัยสำคัญ)

1. ที่เราจำเป็นต้องกากบาท เพราะเราไม่สามารถกาเครื่องหมายถูกได้ ซึ่งจะทำให้เป็นบัตรเสีย ด้วยตรรกะที่ว่า เดิมทีการออกเสียงเลือกตั้งสามารถกาเครื่องหมายใดก็ได้ในช่องที่กำหนดไว้ จึงมีนักการเมืองหัวหมอบอกกับพี่น้องประชาชนว่า ถ้าท่านเห็นว่าผมเป็นคนดี ให้ไปกาเครื่องหมายถูกที่ช่องของผม แต่ถ้าท่านเห็นว่าผมเป็นคนเลว ให้ไปกาเครื่องหมายผิดที่ช่องของผม สรุปนักการเมืองหัวหมอได้รับชัยชนะจากการออกเสียงดังกล่าว แล้วอนาคตประเทศจะเป็นอย่างไรก็คงทราบกันดี

2. "รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อความมีเสถียรภาพของประเทศ เพื่อการกำหนดเป้าหมายของประเทศที่ชัดเจนขึ้น เพราะการ 'ไม่รับ' จะทำให้เกิดความรู้สึกว่าอนาคตไม่มีความแน่นอน ไม่รู้ทิศทางประเทศจะเดินต่อไปทางไหน 

3. ตลาดหุ้นกลัวความไม่แน่นอน นอกจากสภาวะเศรษฐกิจแล้ว "การ 2 การ" ที่ส่งผลร้ายต่อตลาดหุ้นอย่างรุนแรง คือ การเมือง และ การก่อการร้าย เมื่อใดที่เกิดการก่อการร้าย ดัชนีตลาดหุ้นจะตกทันที และเมื่อใดที่เกิดความเสี่ยงทางการเมือง ตลาดหุ้นก็จะตกทันทีเช่นกัน โดยเฉพาะการถอนเงินออกของนักลงทุนต่างชาติ เพราะฉะนั้นคนที่ถือหุ้นอยู่ในมือและหวังให้หุ้นขึ้นต่อไปอีก ยิ่งต้องรีบออกไปกากบาท "รับ" ร่างรัฐธรรมนูญ

4. สำหรับใครที่กำลังชั่งใจว่าจะไม่ออกไปใช้สิทธิ์ แล้วผลออกมาว่า 'ไม่รับ' เราจะต้องเสียงบประมาณจากภาษีอากร ค่าร่างฉบับใหม่ (ครั้งที่ 3) ค่าเบี้ยประชุม ค่าเบี้ยเดินทาง หรือค่าจัดการลงประชามติอีกเท่าไร โดยที่ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะดีกว่าเดิม และปัญหาในอดีตจะหมดไป

โชคดีที่วันก่อน อ.สมชัย กกต. โยนกล่องหย่อนบัตรเลือกตั้งโชว์ความทนทานต่อนักข่าว แต่กล่องดันแตกจนเป็นข่าวบันเทิงดัง ทำให้คนไทยรู้สึกตัวว่าใกล้ถึงวันออกเสียงประชามติแล้ว และทำให้เจ้าหน้าที่รู้ตัวว่าวันจริง 7 ส.ค. 59 ห้ามโยนกล่องโดยเด็ดขาด เพราะกล่องมันไม่ได้ทำมาไว้สำหรับโยน