วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ราชการต้อง disrupt ตัวเอง

ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรี ใครๆก็รู้ว่ากิจการใดที่เอกชนทำได้ ก็ปล่อยให้เขาทำไป ภาครัฐไม่ควรเข้าไปยุ่งหรือทำแข่งกับเอกชน

เพราะการบริหารงานของเอกชน ที่แสวงหากำไร มักจะมีประสิทธิภาพมากกว่าราชการเสมอ

ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล Digital Economy - Thailand 4.0 ที่รัฐบาลพยายามผลักดันอยู่นั้น ไม่เพียงเฉพาะเอกชนเท่านั้นที่ต้องเร่งพัฒนาและปรับตัว แต่นั่นหมายรวมถึงภาครัฐและระบบราชการที่ให้บริการประชาชนด้วย

เราคงไม่ต้องเป็นห่วงภาคเอกชนเท่าไรนัก เพราะต่างฝ่ายต่างพยายามปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจอยู่รอดในระบบเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

ประเด็นคือ ถ้าวันนี้ประเทศไทย 4.0 แล้วราชการไทย(บางแห่ง) ได้กี่จุดแล้วตอนนี้..?

ลองสังเกตดูความแตกต่างระหว่างการให้บริการของเอกชน vs. ราชการ (บางแห่ง) ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

1. เอกชนปิดร้านช้า - ราชการปิดร้านเร็ว
2. เอกชนสถานที่ค่อนข้างใหม่ - ราชการสถานที่ค่อนข้างเก่า
3. เอกชนคิวสั้น - ราชการคิวยาว(กว่า)
4. เอกชนเอกสารน้อย - ราชการเอกสารเยอะ
5. เอกชนถ่ายเอกสารให้ผู้ใช้บริการ - ราชการผู้ใช้บริการไปถ่ายเอกสารเอง
6. เอกชนใช้เครื่องอ่านบัตรประชาชน - ราชการไปถ่ายเอกสารบัตรประชาชนมา
7. เอกชนมีทีวีหันให้ลูกค้าดู - ราชการมีทีวีหันให้พนักงานดู
8. เอกชนกันที่จอดรถลูกค้าเยอะ - ราชการกันที่จอดรถพนักงานเยอะ
9. เอกชนเอาใจลูกค้า - ราชการเอาใจพนักงาน
10. เอกชนไปทีเดียวจบ - ราชการไปทีเดียวไม่เคยจบ
11. เอกชนมีเว็บไซต์ใช้ง่าย - ราชการมีเว็บไซต์เหมือนไม่มี
12. เอกชนไหว้ลูกค้าก่อน - ราชการไหว้พนักงานก่อน
13. เอกชนเงินเดือนเยอะพนักงานน้อย - ราชการเงินเดือนน้อยพนักงานเยอะ(กว่า)
14. เอกชนไม่มีระบบนายหน้าให้ลูกค้า - ราชการมีนายหน้ารับทำธุระให้ได้

เพื่อความเป็นธรรม ทุกคนทราบดีว่าราชการหลายหน่วยงานพัฒนาการให้บริการได้ดีไม่แพ้ภาคเอกชน หรืออาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งนั้นหมายถึงงานของพนักงานจะง่ายขึ้นและน้อยลง

ในขณะเดียวกันก็ยากที่จะปฏิเสธว่า ยังมีอีกหลายแห่งที่ปรับตัวไม่ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่

เพราะภาคเอกชนที่มีการแข่งขันอย่างเสรีต้องเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง แต่ราชการนั้นเปรียบได้ดังธุรกิจผูกขาด จะเร็วจะช้าอย่างไรลูกค้าก็แทบไม่มีทางเลือก

ทางเลือกอาจจะเป็นการไม่ทำให้ถูกต้อง (ซึ่งเราไม่สนับสนุน) เพราะการทำให้ถูกต้องบางทีต้นทุนมันแพงเหลือเกิน

เมื่อไม่เกิดการแข่งขัน การพัฒนาก็ยากที่จะคาดหวัง

ยกเว้นแต่มีผู้นำองค์กรที่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ถ้าจะใช้ศัพท์ให้เข้ากับยุคต้อง Disrupt (old) Public Service

แม้เราเข้าใจว่าบริบทของงานราชการจะมีมิติที่ต้องคำนึงถึง เช่น ความมั่นคง ความเท่าเทียม? สาธารณะสุข กฏระเบียบที่เข้มงวด

แต่รับรองได้เลยว่า ถ้าหากราชการมีคู่แข่งในการทำงาน ประชาชนน่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่านี้

ที่สำคัญที่สุดคือ การย่นระยะเวลาติดต่อราชการ หมายถึงการมีเวลาเพิ่มขึ้นในการสร้างงานที่เพิ่มมูลค่าของภาคเอกชน

ราชการต้องdisruptตัวเอง ไม่ใช่เพื่อไม่ให้ตกงาน แต่เพื่อทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าได้ดีกว่าเดิม

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
(ระหว่างรอติดต่อราชการ)

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ใครคิดว่า คสช.สอบตก..?



คสช.สอบตก..? คงมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

แต่วันนี้เราไม่ได้พูดถึงเรื่องอื่น ยกเว้นเรื่องฟุตบอลโลก 2018 ครั้งที่ 20 โดยมีรัสเซียของท่านปูตินเป็นเจ้าภาพ


Image result for world cup 2018


ใครๆก็รู้ว่าฟุตบอลโลก 4 ปีมีครั้ง นั่นหมายความว่า ฟุตบอลโลกได้ก่อกำเนิดขึ้นมาแล้วเป็นระยะเวลา 80 ปี

ฟุตบอลโลกถือเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่ง ที่ชาวโลกหลายพันล้านคนตั้งตารอให้มาถึง ไม่เว้นแม้แต่ชาวไทย

แต่ปีนี้ภายใต้รัฐบาลคสช. กระแสฟุตบอลโลกในไทยค่อนข้างจะเหงาหงอย ไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์โฆษณาทางทีวี เว็บไซต์หรือสื่ออื่นๆ ที่มากพอจะทำให้เกิดกระแส ที่เรียกว่า fever ได้

โดยส่วนตัวที่ติดตามข่าวสารจากหลายช่องทาง ยังไม่รู้สึกเหมือนว่าฟุตบอลโลกจะเปิดฉากขึ้นในสัปดาห์หน้านี้แล้ว

ทั้งๆที่ฟุตบอลโลกมีเพียง 4 ปีครั้ง แต่ภายใต้รัฐบาลคสช. กลับไม่ได้ใช้มหกรรมกีฬาระดับโลกครั้งนี้ให้เป็นประโยชน์ใดๆเลย

แม้กระทั่งตารางการถ่ายทอดสด ยังไม่สามารถบอกประชาชนได้ ไม่รู้ว่าใครที่มีส่วนเกี่ยวข้องและใครกำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งน่าผิดหวัง

4ปีมีครั้ง เราน่าจะใช้เป็นโอกาสเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้ดีกว่านี้

4ปีมีครั้ง เราน่าจะใช้เป็นโอกาสในเชิงสังคม ได้ดีกว่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชนหรือแม้แต่ความสัมพันธ์ที่ดีของคนในชาติ

ลองเปรียบเทียบดูสิครับ เวลาเราวางแผนจะไปเที่ยวที่ไหนสักแห่ง เวลาที่ตื่นเต้นที่สุดก็คือ เวลาก่อนไป 

เช่นเดียวกันกับฟุตบอลโลก ระยะเวลาประมาณ 1 เดือนก่อนแข่งขัน ถ้ามีโอกาสเตรียมการให้ดี ก็จะเป็นการโหมโรงที่มีมูลค่า ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจกับธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกันได้ เช่น ธุรกิจกีฬา เสื้อผ้า แฟชั่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ของที่ระลึก สื่อ ร้านอาหาร รวมถึงของอุปโภคบริโภคตามห้างสรรพสินค้า

เม็ดเงินจำนวนมหาศาลตรงนี้ จะหมุนเวียนและเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยธรรมชาติ ซึ่งรัฐไม่ต้องลดแลกแจกภาษีให้กับประชาชน

เพียงแต่ออกแรงผลักเพื่อสร้างอารมณ์ร่วม และจุดกระแสให้ติดในตอนเริ่มเท่านั้น

ปัจจุบันมีทั้งสื่อทีวี วิทยุ สื่อเคลื่อนที่ Social media เทคโนโลยีเสมือนจริง (Vertual Reality) รวมถึงผู้ประกาศข่าวฝีมือดี ที่สามารถสร้างผลกระทบได้เป็นวงกว้างและรวดเร็ว

ถ้าใครยังพอมีความทรงจำในยุคที่ David Beckham เล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ เขาเป็นนักบอลสุดหล่อและมีอิทธิพลทางแฟชั่นต่อแฟนบอลทั่วโลก ไม่เฉพาะหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ แต่รวมถึงสาวไทยจำนวนไม่น้อยก็หลงใหลในเกมกีฬานี้เข้าไปด้วย แม้จะเล่นฟุตบอลไม่เป็นก็ตาม

'Beckham model' สามารถนำกลับมาใช้ได้ดีเสมอ การนำนักฟุตบอลหน้าตาดีมาเสริมการโปรโมต เป็นแคมเปญที่ดึงดูดความสนใจของคนที่ไม่ใช่แฟนบอลตังจริงได้เป็นอย่างดี

รับรองว่าคนไทยทั้งชายและหญิงจะหันมาร่วมใจกันเชียร์เกมส์กีฬา แม้จะชอบจะเชียร์คนละทีมกันก็ตาม

ไม่รู้ว่าจนถึงวันนี้แล้ว จะช้าไปหรือไม่ เพราะตามกระแสข่าวมีการคาดการณ์ว่า สำหรับช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 เม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบของโต๊ะพนันบอล อาจจะสูงกว่าเม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจจริงที่จะส่งผลดีต่อประชาชนโดยส่วนรวมมากกว่า

วันจันทร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2561

เสียสัตย์ เพื่อ...

Please dont make a promise if you can not keep. เป็นประโยคในหนังอมตะชื่อเรื่อง Home Alone

แต่... เสียสัตย์เพื่อชาติ เป็นวาทะกรรมของนักการเมืองดึกดำบรรพ์

วาทะกรรม เสียสัตย์เพื่อชาติ พวกเหล่านักการเมืองคงเลียนแบบมาจากวลี สละชีพเพื่อชาติ ของเหล่าทหารอาชีพ ซึ่งบริบทและความน่าเชื่อถือของวลีนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ลุงกำนันสุเทพ ได้นำวลีนี้กลับมาใช้อีกครั้งหนึ่งในยุคประเทศไทย4.0 ในปีพ.ศ.2561

แม้คำพูด ตระบัดสัตย์ จะออกมาจากปากลุงกำนันก็ตาม แต่ผมพยายามไล่ย้อนดูคลิปวีดีโอเก่าๆ ดูแล้วดูอีกว่า ลุงกำนันนั้นเสียสัตย์จริงหรือไม่


ซึ่งคำตอบที่ผมพบก็คือ จริง (3ครั้ง)

เพราะในฐานะที่เคยติดตามเวทีของลุงกำนัน ผมเชื่อโดยสนิทใจมาตลอดว่า ลุงกำนันกำลังถอยตัวเอง (fade) ออกจากฉากการเมืองไทยอย่างชาญฉลาด อย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

ทำให้ภาพจำเก่าๆของเทพเทือกได้เลือนหายไป เหลือเพียงแต่ ลุงกำนันที่เป็นฮีโร่ของมวลมหาประชาชน

ผมนั่งคิดนอนคิดอยู่นานว่า ทำไมคนๆหนึ่งต้องยอมเสียสัตย์ต่อผู้ร่วมอุดมการณ์ที่ได้สนับสนุนเขาอย่างสุดแรงกล้าในอดีต ซึ่งอาจจะสรุปได้ดังนี้
1.เพราะเขาคิดว่าเขาอาจจะทำประโยชน์ได้มากกว่าเพียง รักษาคำพูด
2.เพราะเขาไม่ได้ให้ราคาต่อผู้ที่เคยสนับสนุนเขา (disrespectful)
3.เพราะเขาเคยเสียสัตย์มาแล้ว และถ้าจะต้องเสียสัตย์อีก คงเป็นเรื่องปกติ

หรือเพราะเขาคิดว่ามันเป็น The Art of the Deal ซึ่งก้อปปี้มาจาก Donald Trump

แต่ต่างกันที่ Trump เขาบลัฟคู่แข่งของประเทศเขา ไม่ใช่ผู้สนับสนุนของตัวเอง

ผมคิดว่ามันหมดสมัยของการหลอกลวงผู้บริโภค ในยุคดิจิทัลที่มีทั้ง facebook youtube ซึ่งสามารถบันทึกเรื่องราวในอดีตไว้ได้เกือบจะทั้งหมด ไม่ว่าใครจะทำดีหรือทำชั่วอย่างไรก็ตาม

ในอดีตคนอาจจะจำแม่นเพียงแต่ความเลวของนักการเมือง

แต่ผมเป็นคนหนึ่งที่จำเรื่องดีๆที่เกิดขึ้นได้ว่า ในการเลือกตั้งระหว่างคุณชวน กับ พล.อ.ชวลิต ซึ่งคุณชวน (พ่อของเพื่อนผม) ได้คะแนนน้อยกว่าแต่สามารถรวมเสียงพรรคร่วมรัฐบาลในระบบรัฐสภาได้แล้ว

แต่คุณชวนปฏิเสธที่จะเป็นรัฐบาล เพราะเคยพูดไว้ว่าถ้าได้คะแนนเลือกตั้งน้อยกว่า ต้องให้พรรคที่ได้เสียงมากกว่ามีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลก่อน

'ระหว่างรักษาคำพูดกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมเลือกรักษาคำพูด' เป็นวาทะของคุณชวน หลีกภัย ซึ่งการไม่เสียสัตย์ครั้งนั้น ต่อมาเหตุการณ์นำไปสู่ความเลวร้ายทางการเงินครั้งประวัติศาสตร์ของชาติไทยในปี พ.ศ.2540 'วิกฤติต้มยำกุ้ง'

อดคิดไม่ได้จริงๆครับว่า หากคราวนั้นคุณชวน ต้องเสียสัจจะ เพื่อตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเทศไทยจะเจอวิบากกรรมต้มยำกุ้งหรือไม่..? แล้วทางเลือกไหนคุ้มค่ากว่ากัน..?

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
04 มิถุนายน 2561