หวยออนไลน์, การพนัน 4.0, พนันบอลออนไลน์, Online Bet, Digital Gambling หรือเรียกให้สุภาพหน่อยก็คือ การร่วมสนุกทายผลการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ประเทศที่พัฒนาแล้วเขามีกันทั้งนั้น
เพราะเขายอมรับความจริงว่า คงไม่สามารถปราบปรามการพนันใต้ดินได้ทั้งหมด เพราะมันคือความหวังเดียวของคนจน และคงไม่คุ้มที่จะทุ่มทรัพยากรของชาติลงไปในเรื่องที่ไม่สร้างมูลค่าและไม่จบไม่สิ้น
และมันยังเปลี่ยนให้เป็นรายได้ของรัฐจำนวนมหาศาล คิดมูลค่าในไทยอยู่ที่ราวๆ 3-5แสนล้านบาทต่อปี (งานวิจัย ดร.สังศิต ฯลฯ)
ในยุคสมัยปัจจุบัน มันยิ่งเลวร้ายไปกว่านั้น เมื่อเงินทุนเคลื่อนไหวอย่างเสรี การติดต่อสื่อสารผ่านทางออนไลน์ไร้พรมแดนและไร้ขีดจำกัด มีตัวกลางรับโอนเงินไม่ว่าอยู่ที่ไหนในโลก คนไทย4.0 จึงสามารถเล่นพนันออนไลน์ (Digital Gambling) โดยมีเจ้ามือหรือผู้รับแทงพนันในต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย ครานี้เจ้ามือคนไทยใต้ดิน รวมทั้งรัฐบาลไทย ก็ไม่ได้เงินจากคนไทยหมุนเวียนภายในประเทศแม้แต่สตางค์เดียว
คงเหมือนกับปัญหาของ Facebook ที่ทำธุรกิจเก็บรายได้ค่าโฆษณาจากคนไทย100% โดยไม่เสียภาษีให้ส่วนรวมแม้แต่สลึงเดียว และAgencyนิติบุคคลไทยก็เสียลูกค้าไปให้กับ Facebook ทำให้รายได้หด แต่ต้นทุนเพิ่ม โดยไม่มีปากมีเสียงใดๆ
กลับมาที่เรื่องพนันออนไลน์ 4.0
ถ้าเป็นชายไทยที่เคยไปอยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอังกฤษหรือทวีปยุโรป มักจะเดินเข้าเดินออกร้านรับพนันถูกกฏหมายกันเสียส่วนใหญ่ มีผู้ให้บริการหลายรายให้เลือก มีสาขามากมายคล้าย 7-11 ในเมืองไทย นวัตกรรมการพนันมันช่างง่าย (เริ่มต้นที่ 1 เหรียญ ใครๆก็แทงพนันได้) มีความสร้างสรรค์ทุกกระเบียดนิ้ว อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะมาเสียงโชคกันได้ มันก็ทำให้เป็นการพนันได้ทั้งนั้น
จะว่าไปแล้ว มุมหนึ่งก็เสมือนการมอมเมาคนให้ติดการพนัน แต่ในอีกมุมหนึ่งคนที่ไม่เล่นการพนัน ยังไงๆเขาก็ไม่เล่น อาจเปรียบได้เหมือนกับคนที่ไม่สูบบุหรี่กระมั่ง แต่คนที่ติดพนัน ไม่ว่าจะถูกหรือผิดกฏหมาย เขาก็จะหาทางเล่นให้ได้อยู่วันยังค่ำ
คราวนี้พอเข้าสู่ยุคดิจิทัล โฆษณาเว็บพนันออนไลน์มันโผล่มาจากไหนกันให้พรึ่บ (โดยเฉพาะเว็บไซต์ข่าวกีฬา) การสมัครฟรี โอนเงินเข้าระบบผ่านบัตรเครดิต / เดบิต เสร็จแล้วก็สามารถเลือกแทงพนันได้ตามใจชอบ ซึ่งมีทั้งกีฬาทุกชนิดที่ถ่ายทอดสดทั่วไป หรือจะเป็นบ่อนคาสิโนออนไลน์ก็มีให้บริการ
กระบวนการทั้งหมดสำหรับคนไทย4.0 สามารถเข้าถึงได้โดยง่าย ยากกว่าปอกกล้วยเข้าปากหน่อยเดียวเท่านั้น
แน่นอนคนเล่นพนันส่วนใหญ่เสียมากกว่าได้ (ไม่อย่างนั้นบริษัทรับพนันเขาก็เจ๊งไปแล้วนะสิ) เงินที่เสียไปนั้น ถูกจ่ายผ่านอากาศออกไปยังบริษัทรับพนันในต่างประเทศทันที ประเทศไทยในยุค4.0 กำขี้ก็ไม่ได้ จะกำตดก็ไม่โดน...แม้แต่เสี้ยวของเหรียญสลึง
ประเทศไทยเมืองพุทธต้องรักษาศีลห้า แต่ศีลข้อ 5 ก็ละเมิดกันค่อนประเทศแล้ว
ยิ่งประเทศอื่นเขาพัฒนาไปสู่ยุค 5.0 ประเทศไทยยิ่งต้องเร่งปรับตัวให้ยืนอยู่ได้อย่างไม่เสียเปรียบ ไม่ล้าหลังในสังคมโลกยุคโลกาภิวัฒน์เต็มรูปแบบ ในขณะเดียวกันประเพณีดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นจุดขายก็ต้องยึดมั่นไว้ไม่ละเลย
ถ้าถามว่าแล้วจะสนับสนุนบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายไหม ตอบได้ว่าข้อดีก็มีให้เห็น ข้อด้อยก็มีให้วิพากษ์วิจารณ์ สรุปคือหากวันใดวันหนึ่งมันเกิดขึ้น ก็ไม่ได้ต่อต้านคัดค้าน แต่วันนี้ก็ไม่ได้รีบเร่งว่าจะต้องมีให้ได้
โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
วันพฤหัสบดีที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2560
ต้องเป็นมากกว่า 'หอชมเมือง'
ผ่านพ้นไปไม่นาน กระแสหอคอยชมเมืองกรุงเทพมหานครที่เกี่ยวเนื่องจากกระบวนการได้มาซึ่งจะมีประเด็นให้ถูกวิพากษ์อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ได้ค่อยๆเลือนลางไปจากพาดหัวข่าวต่างๆ
ณ เวลานี้ ถ้าไม่ไปสะดุดตออะไรเข้า ก็น่าจะยืนยันได้แล้วว่าโครงการดังกล่าวอย่างไรก็ได้เดินหน้าทำต่อไป เพราะฉะนั้นคราวนี้เราลองมาดูอีกมุมหนึ่งในเชิงผลลัพธ์ของโครงการยักษ์อลังการเช่นนี้บ้าง
สำหรับเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของภาคเอกชนหรือของรัฐบาลก็แล้วแต่ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ภาวะการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจค่อนข้างจะหยุดนิ่งมาหลายปี จึงเป็นเรื่องที่เหมาะแก่การกระทำโดยเร่งด่วน ยิ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่เกิดการจ้างงาน มีการซื้อขายวัตถุดิบจำนวนมหาศาล ยิ่งต้องสนับสนุนให้เดินหน้าทำทันที และถ้าสามารถกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จตามเงื่อนไขสัญญาได้ จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการเร่งลงทุนภายในประเทศ
ในเมืองสำคัญๆระดับโลกของประเทศยักษ์ใหญ่ ต่างก็มีหอคอยงาช้างตั้งตระหง่านเป็นจุดเด่น บ่งบอกและแสดงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ เช่น ฝรั่งเศส แคนาดา ญี่ปุ่น
ที่สำคัญกว่าการเป็นสัญลักษณ์ คือ ถ้าหอคอยนั้น เป็นมากกว่าหอชมเมือง ที่จะสามารถดึงดูดเวลาของนักท่องเที่ยวให้อยู่ได้ยาว อยู่ได้นาน ก็ยิ่งเป็นคุณต่อธุรกิจการค้าของประชาชนไม่เพียงแต่เฉพาะในชุมชนนั้น แต่ส่งผลดีต่อธุรกิจการค้าที่เกี่ยวข้องในวงกว้างด้วย
สมมตินักท่องเที่ยวต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ในการขึ้นชมหอคอยและเดินสำรวจถ่ายภาพบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าหากเราสามารถเพิ่มสิ่งดึงดูดให้เขาต้องใช้เวลาเพิ่มอีกเป็น 5-6 ชั่วโมง หรือครึ่งวันได้ มันก็จะเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กับเมืองแห่งนี้ได้
ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตถ้าการมาเที่ยวกรุงเทพแบบไปครบต้องใช้เวลา 2 วัน แล้วเมื่อกรุงเทพมีสิ่งดึงดูดเพิ่มขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวต้องค้างคืนเพิ่มอีก 1 คืน ใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอีกมหาศาล คิดเร็วๆง่ายๆ คือ ถ้ามีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน ธุรกิจโรงแรมจะขายห้องเพิ่มได้ 5 ล้านห้อง (2คน/ห้อง) คิดเป็นเงินคร่าวๆ 1000*5 ลบ. เท่ากับ 5,000 ล้านบาท ร้านอาหารจะขายได้เพิ่ม 30 ล้านจาน (3มื้อ/คน/วัน) คิดเป็นเงินคร่าวๆ 50*30ลบ. เท่ากับ 1,500 ล้านบาท รวมกันเฉพาะค่ากินอยู่ ไม่รวมจับจ่ายใช้สอยเบี้ยบ้ายรายทาง คิดเป็นเงินเท่ากับ 6,500 ล้านบาท/ปี
แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในปี 2559 ประมาณ 30 ล้านคน ถ้าสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ใช้เวลาในเมืองได้นานขึ้นหนึ่งวัน ปีๆหนึ่งเราจะมีเงินหมุนเวียนมากกว่า 10,000 ล้านบาท และรัฐคงจะได้เงินภาษีเพิ่มนับ 1,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
อภิมหาโครงการนี้ไม่ควรหยุดเพียงแค่หอชมเมือง แต่ต้องเป็นมากกว่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมีเจ้าภาพพร้อมจะลงเงินลงแรงให้แทนรัฐบาลแล้ว ก็น่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเขา ตามหน้าที่ของภาครัฐในอุดมคติ มิใช่มัวบังคับ ขูดรีด จับผิดไม่ให้เอกชนเคลื่อนตัวได้สะดวก(ภายใต้กรอบกฏหมาย)
สิ่งที่น่าจะกระทำได้ก็คือ เอกชนผู้ได้สิทธิ์ในพื้นที่หลวงก่อสร้างหอชมเมือง ซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา เมื่อเขาได้ประโยชน์ตรงนี้ไปแล้ว บุคคลที่มีอำนาจสามารถขอให้เอกชนยักษ์ใหญ่ช่วยชาวบ้านในชุมชนปรับปรุงพัฒนาอาคารบ้านเรือน เปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เปลี่ยนเป็นร้านค้าที่มีเอกลักษณ์สอดคล้องกับหอชมเมือง หรือเรียกง่ายๆว่าเมื่อเที่ยวห้างและหอชมเมืองเสร็จแล้ว ทุกคนต้องไปเดินต่อที่ชุมชนของคนไทยแห่งนี้ให้ได้
บุคลากรของเครือข่ายบริษัทเอกชนนั้นมีทั้งความรู้ ความสามารถ และไอเดียที่จะช่วยชาวบ้านในชุมชนรอบหอชมเมืองให้เปลี่ยนหน้าบ้านเป็นงาน ปรับเคหะสถานให้มีรายได้ แม้ว่าทุนเอกชนอาจจะต้องลงเงินเพิ่มอีกหลักร้อยล้านบาท แต่ในระยะยาวแล้วคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ และหน้าตาของประเทศที่จะสื่อไปถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก
จริงๆแล้วถ้าเป็นไปได้ น่าจะระบุลงในสัญญาเช่าพื้นที่ไปเลยว่าต้องขอให้ช่วยปรับปรุงละแวกชุมชนของชาวบ้านนั้นให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวควบคู่ไปกับหอชมเมืองที่จะสร้างขึ้นด้วย แบบนี้มัน win-win ถ้าชาวบ้านเอาด้วยก็ง่าย
หากโครงการเกิดขึ้นลักษณะนี้คนไทยจะได้มากกว่าแค่หอชมเมือง ที่แถบนั้นจะกลายเป็นทำเลทอง ที่ดินของชาวบ้านยิ่งนาน ราคาก็ยิ่งแพง แถมยังมีรายได้เพิ่มขึ้นแบบลาภลอยอีกด้วย
ในอนาคตเรายิ่งต้องมีและต้องเป็นมากกว่าแค่หอชมเมือง ต้องให้ชาวต่างชาติมีความรู้สึกต่อเมืองไทย เหมือนที่คนไทยส่วนมากรู้สึกว่าไปเที่ยวญี่ปุ่น ครั้งเดียวไม่เคยพอ...
โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
ณ เวลานี้ ถ้าไม่ไปสะดุดตออะไรเข้า ก็น่าจะยืนยันได้แล้วว่าโครงการดังกล่าวอย่างไรก็ได้เดินหน้าทำต่อไป เพราะฉะนั้นคราวนี้เราลองมาดูอีกมุมหนึ่งในเชิงผลลัพธ์ของโครงการยักษ์อลังการเช่นนี้บ้าง
สำหรับเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนของภาคเอกชนหรือของรัฐบาลก็แล้วแต่ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่ภาวะการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจค่อนข้างจะหยุดนิ่งมาหลายปี จึงเป็นเรื่องที่เหมาะแก่การกระทำโดยเร่งด่วน ยิ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ที่เกิดการจ้างงาน มีการซื้อขายวัตถุดิบจำนวนมหาศาล ยิ่งต้องสนับสนุนให้เดินหน้าทำทันที และถ้าสามารถกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จตามเงื่อนไขสัญญาได้ จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการเร่งลงทุนภายในประเทศ
ในเมืองสำคัญๆระดับโลกของประเทศยักษ์ใหญ่ ต่างก็มีหอคอยงาช้างตั้งตระหง่านเป็นจุดเด่น บ่งบอกและแสดงถึงศักยภาพของแต่ละประเทศ เช่น ฝรั่งเศส แคนาดา ญี่ปุ่น
ที่สำคัญกว่าการเป็นสัญลักษณ์ คือ ถ้าหอคอยนั้น เป็นมากกว่าหอชมเมือง ที่จะสามารถดึงดูดเวลาของนักท่องเที่ยวให้อยู่ได้ยาว อยู่ได้นาน ก็ยิ่งเป็นคุณต่อธุรกิจการค้าของประชาชนไม่เพียงแต่เฉพาะในชุมชนนั้น แต่ส่งผลดีต่อธุรกิจการค้าที่เกี่ยวข้องในวงกว้างด้วย
สมมตินักท่องเที่ยวต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ในการขึ้นชมหอคอยและเดินสำรวจถ่ายภาพบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถ้าหากเราสามารถเพิ่มสิ่งดึงดูดให้เขาต้องใช้เวลาเพิ่มอีกเป็น 5-6 ชั่วโมง หรือครึ่งวันได้ มันก็จะเพิ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กับเมืองแห่งนี้ได้
ยกตัวอย่างเช่น ในอดีตถ้าการมาเที่ยวกรุงเทพแบบไปครบต้องใช้เวลา 2 วัน แล้วเมื่อกรุงเทพมีสิ่งดึงดูดเพิ่มขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวต้องค้างคืนเพิ่มอีก 1 คืน ใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน มูลค่าทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอีกมหาศาล คิดเร็วๆง่ายๆ คือ ถ้ามีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน ธุรกิจโรงแรมจะขายห้องเพิ่มได้ 5 ล้านห้อง (2คน/ห้อง) คิดเป็นเงินคร่าวๆ 1000*5 ลบ. เท่ากับ 5,000 ล้านบาท ร้านอาหารจะขายได้เพิ่ม 30 ล้านจาน (3มื้อ/คน/วัน) คิดเป็นเงินคร่าวๆ 50*30ลบ. เท่ากับ 1,500 ล้านบาท รวมกันเฉพาะค่ากินอยู่ ไม่รวมจับจ่ายใช้สอยเบี้ยบ้ายรายทาง คิดเป็นเงินเท่ากับ 6,500 ล้านบาท/ปี
แต่ในความเป็นจริงประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวมาเยือนในปี 2559 ประมาณ 30 ล้านคน ถ้าสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ใช้เวลาในเมืองได้นานขึ้นหนึ่งวัน ปีๆหนึ่งเราจะมีเงินหมุนเวียนมากกว่า 10,000 ล้านบาท และรัฐคงจะได้เงินภาษีเพิ่มนับ 1,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
อภิมหาโครงการนี้ไม่ควรหยุดเพียงแค่หอชมเมือง แต่ต้องเป็นมากกว่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมีเจ้าภาพพร้อมจะลงเงินลงแรงให้แทนรัฐบาลแล้ว ก็น่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเขา ตามหน้าที่ของภาครัฐในอุดมคติ มิใช่มัวบังคับ ขูดรีด จับผิดไม่ให้เอกชนเคลื่อนตัวได้สะดวก(ภายใต้กรอบกฏหมาย)
สิ่งที่น่าจะกระทำได้ก็คือ เอกชนผู้ได้สิทธิ์ในพื้นที่หลวงก่อสร้างหอชมเมือง ซึ่งมีพื้นที่ตั้งอยู่ในย่านชุมชนริมน้ำเจ้าพระยา เมื่อเขาได้ประโยชน์ตรงนี้ไปแล้ว บุคคลที่มีอำนาจสามารถขอให้เอกชนยักษ์ใหญ่ช่วยชาวบ้านในชุมชนปรับปรุงพัฒนาอาคารบ้านเรือน เปลี่ยนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว เปลี่ยนเป็นร้านค้าที่มีเอกลักษณ์สอดคล้องกับหอชมเมือง หรือเรียกง่ายๆว่าเมื่อเที่ยวห้างและหอชมเมืองเสร็จแล้ว ทุกคนต้องไปเดินต่อที่ชุมชนของคนไทยแห่งนี้ให้ได้
บุคลากรของเครือข่ายบริษัทเอกชนนั้นมีทั้งความรู้ ความสามารถ และไอเดียที่จะช่วยชาวบ้านในชุมชนรอบหอชมเมืองให้เปลี่ยนหน้าบ้านเป็นงาน ปรับเคหะสถานให้มีรายได้ แม้ว่าทุนเอกชนอาจจะต้องลงเงินเพิ่มอีกหลักร้อยล้านบาท แต่ในระยะยาวแล้วคุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลประโยชน์ที่จะได้รับ และหน้าตาของประเทศที่จะสื่อไปถึงนักท่องเที่ยวทั่วโลก
จริงๆแล้วถ้าเป็นไปได้ น่าจะระบุลงในสัญญาเช่าพื้นที่ไปเลยว่าต้องขอให้ช่วยปรับปรุงละแวกชุมชนของชาวบ้านนั้นให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวควบคู่ไปกับหอชมเมืองที่จะสร้างขึ้นด้วย แบบนี้มัน win-win ถ้าชาวบ้านเอาด้วยก็ง่าย
หากโครงการเกิดขึ้นลักษณะนี้คนไทยจะได้มากกว่าแค่หอชมเมือง ที่แถบนั้นจะกลายเป็นทำเลทอง ที่ดินของชาวบ้านยิ่งนาน ราคาก็ยิ่งแพง แถมยังมีรายได้เพิ่มขึ้นแบบลาภลอยอีกด้วย
ในอนาคตเรายิ่งต้องมีและต้องเป็นมากกว่าแค่หอชมเมือง ต้องให้ชาวต่างชาติมีความรู้สึกต่อเมืองไทย เหมือนที่คนไทยส่วนมากรู้สึกว่าไปเที่ยวญี่ปุ่น ครั้งเดียวไม่เคยพอ...
โดย จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)


