จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
ถ้าคุณไม่ใช่เจ้าสัว ไม่ใช่มหาเศรษฐี ไม่ใช่ทายาทผู้มากบารมี ไม่ได้ดวงดีขั้นสูงสุดในจักรวาล คุณก็ต้องไปเกิดใหม่เป็น 'พี่ตูน บอดี้แสลม' แล้วทุ่มเทวิ่ง 400 กม. ระยะเวลา 10 วัน คุณก็จะหาเงินได้ 70 ล้านบาท
เงิน 70 ล้านบาทนี้ คนไทยค่อนประเทศ ทุ่มเททำงานทั้งชีวิต อาจจะหาได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
สิ่งที่พี่ตูนได้ทำนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่น่ายกย่อง เพราะเงินทั้งหมดที่ได้มาบริจาคให้กับ รพ.บางสะพาน ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเขามีบ้านอยู่ที่นั่น
สิ่งนี้เองได้แสดงให้เราเห็นถึง 'พลังมหาชน' ซึ่งส่งผลดีต่อชุมชนที่เขาอาศัยอยู่
ผมเข้าใจว่าจำนวนเงินบริจาครายบุคคลส่วนมาก คงเป็นเพียงหลักสิบ ร้อย พัน อาจจะมีหลักหมื่นหลักแสนอยู่บ้าง แต่เมื่อรวมสุทธิแล้วทำให้ได้ยอดเงินที่สูงลิ่ว
มาถึงฤดูของเทศกาลปีใหม่ ก็ลองคิดดูเล่นๆว่า ถ้ารัฐบาลขอความร่วมมือจากโรงเรียนทุกแห่ง ให้ช่วยกันจัดงานปีใหม่ (ปกติก็จัดกันอยู่แล้ว) ให้มีการหยุดเรียน 1 วัน เพื่อทำกิจกรรมภายในโรงเรียน เลี้ยงอาหารฉลอง จับสลากระหว่างเพื่อนร่วมชั้นเรียน ผมว่าคงไม่มีนักเรียนหรือแม้แต่คุณครูคนไหนคัดค้าน
แต่การขอความร่วมมือแบบนี้จะก่อให้เกิด 'พลังมหาชน' เป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องใช้เงิน หรือมาตรการลดหย่อนภาษีใดๆ เพียงแต่ใช้ความขยันเดินสายของท่านรัฐมนตรีเพียงบางคนเท่านั้น
การเลี้ยงอาหารฉลอง ต้องขอให้ช่วยซื้อจากร้านค้าในชุมชน (local shops, local restaurants) แทนการสั่งอาหารมาจากร้านตามห้างสรรพสินค้า หรือร้านอาหารข้ามชาติ
ถ้าอธิบายให้คุณครูและนักเรียนเห็นประโยชน์ที่ชุมชนของเขาจะได้รับจาก 'พลังมหาชน' เขาไม่น่าจะมีท่าทีต่อต้านใดๆ
การจัดกิจกรรมเพื่อความสามัคคีของนักเรียน หรือ การจับสลากวันปีใหม่ จะต้องใช้กระดาษห่อของขวัญ กล่องบรรจุ ของขวัญที่อยู่ภายในหีบห่อ และความคิดสร้างสรรค์ของทั้งนักเรียนและผู้ปกครอง
สิ่งเหล่านี้น่าจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ที่ดีและการหมุนเวียนในกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย
สมมติกำหนดให้มีงบประมาณของขวัญจับสลากอยู่ที่ 300 บาท จำนวนโรงเรียน 25,000 โรง นักเรียน+คุณครู 500 คนต่อโรงเรียน จะมีเงินหมุนเวียนคร่าวๆ 4 พันล้านบาท ภายในระยะเวลา 2-3 สัปดาห์
ยังไม่นับรวมถึงบริษัทเอกชน ห้างร้าน ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจอีกต่างหาก คงจะได้เป็นหมื่นๆล้านเลยทีเดียว
ถ้าทำแบบนี้ได้จะก่อให้เกิด 'พลังมหาชน' แบบที่พี่ตูนทำได้ 70 ล้าน ภายใน 10 วัน โดยที่รัฐอาจไม่ต้องสูญเสียงบประมาณใดๆในการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงเทศกาลวันหยุดเลย
แต่เราไม่ได้กำลังบอกว่านโยบายที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นั้นไม่ดี.....
อ่านแล้วมีความคิดเห็นอย่างไร โปรดแนะนำ
วันจันทร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ตา Trump กับ ยาย Hillary
จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2016 การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ระหว่างสองตายาย ได้แก่ ตา Donald Trump จากพรรค Republican ซึ่งมีอายุ 70 ปี และยาย Hillary Clinton จากพรรด Democrat ซึ่งมีอายุ 69 ปีบริบูรณ์
วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2016 การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ระหว่างสองตายาย ได้แก่ ตา Donald Trump จากพรรค Republican ซึ่งมีอายุ 70 ปี และยาย Hillary Clinton จากพรรด Democrat ซึ่งมีอายุ 69 ปีบริบูรณ์
นับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งในวันนั้นเป็นต้นไป การเมืองฉากใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่มีผลกระทบต่อประเทศต่างๆทั่วโลก คงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ประเด็นที่น่าสนใจคือว่า ผู้นำของชาติอภิมหาอำนาจหมายเลข 1 ของโลกนั้น เป็นผู้สูงอายุรุ่นปู่รุ่นย่ารุ่นตารุ่นยาย
ถ้าสมมติยึดเอาค่าเฉลี่ยอายุผู้ชายอเมริกันที่เท่ากับ 76 ปีเป็นเกณฑ์ นั่นหมายความว่า ถ้า Trump ได้เป็นประธานาธิบดี 2 สมัย (4+4 = 8 ปี) ไม่วันใดก็วันหนึ่งเขาจะตายในหน้าที่ในขณะที่ดำรงตำแหน่งสมัยที่ 2
ถ้าสมมติ Trump เป็นชายไทยที่มีค่าเฉลี่ยอายุเท่ากับ 71 ปี นั่นหมายความว่า เขาจะเสียชีวิตทันทีเมื่อรับตำแหน่งไปได้เพียง 1 ปีเท่านั้น
แต่แน่นอนว่า Trump คงจะมีอายุสูงกว่าค่าเฉลี่ยพอสมควร เพราะทุกครั้งที่เราเห็นเขาออกทีวี เขาดูแข็งแรง ทะมัดทะแมง ความจำเป็นเลิศกว่าตาสีตาสาในวัย 70 ปีทั่วๆไป
สิ่งเหล่านี้กำลังบอกเราใช่ไหมว่า โครงสร้างอายุของประชากรโลกล้วนเคลื่อนเข้าสู่ยุคของผู้สูงวัย โดยเฉพาะเมื่อทุกคนหันมาดูแลสุขภาพ เลือกอาหารการกิน ออกกำลังกาย และเทคโนโลยีการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น ประชากรโลกก็ย่อมมีอายุที่ยืนยาวขึ้น
ที่น่ากังวลไปมากกว่านั้นคือว่า คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่มักจะนิยมแต่งงานกันหลังอายุ 30 ปี หรือแม้แต่อายุ 40 ปี และนิยมมีลูก 1-2 คน หรือไม่มีเลย โดยอาศัยเหตุผลเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆนาๆ
ขอยกตัวอย่างจากความเป็นจริง ในปลายปี 2559 เพื่อนในรุ่นเดียวกันทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย ที่มีอายุระหว่าง 28-30 ปี จำนวนประมาณ 500 คน จากที่รู้จักและทราบข่าวคราวนั้น มีคนที่ตกลงใจแต่งงานประมาณ 10 คน (ไม่เกิน 20) คิดเป็นเพียงแค่ 2% ของคนทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งคนที่แต่งงานก็ไม่ได้มีลูกทุกคนอีกด้วย
ถ้าเป็นการทำโพล ก็อาจจะอนุมานได้ว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนสภาพสังคมในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับโลกในอดีต 30-40 ปีที่ผ่านมา ที่คนจะแต่งงานเร็วและมีลูกจำนวนมากเป็นโหล เมื่อมีลูกมากพ่อแม่ก็ต้องขยันทำมาหาเลี้ยงครอบครัว หามามากก็ใช้จ่ายออกไปมาก แปรผันตามจำนวนลูก เมื่อลูกเกิดมาก็ต้องขยันแข่งขันกับพี่น้อง พอคนจำนวนมากช่วยกันแข่งกันทำงาน เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนไปได้ดีไปได้เร็ว
ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้คนชรามีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่เด็กที่จะเติบโตมาเป็นวัยแรงงานมีจำนวนน้อยลง และเติบโตไม่ทันคนทำงานเดิมที่เริ่มหมดไฟลง
ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเรานั้น ได้มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีคนแก่คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ โชคดีที่คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย เป็นประเทศพัฒนาแล้ว รายได้ของคนญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ปัญหานี้จะหนักหนาและกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็ใช้กำลังวังชาที่พอมีอยู่เอาตัวรอดไปได้ หรืออาจเรียกอีกอย่างได้ว่า 'อาศัยบุญเก่าที่สะสมมานาน'
การดูแล การอุดหนุน การอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงวัย แม้จะดูเสมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรทำและต้องทำให้ดี ถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรต้องกลับไปดูที่ต้นเหตุที่แท้จริง ทำไมเราถึงขาดแคลนคนวัยแรงงาน และก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว
ปัญหานี้อาจต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลง 20-30 ปี กว่าจะเห็นผล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ก็เป็นผลมาจากอดีต 10-20 ปีก่อน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เริ่มแก้ไขที่ต้นเหตุตั้งแต่ตอนนี้ นับไปอีก 20-30 ปี เมื่อคนไทยอยู่ในสภาวะเดียวกับญี่ปุ่นในวันนี้ ประเทศเราอาจจะบาดเจ็บสาหัสกว่าเขามากทีเดียว
เราคงไม่ได้คาดหวังให้คนสมัยนี้ต้องแต่งงานเร็วเกินไปหรือมีลูกครึ่งทีมฟุตบอลเหมือนในอดีต แต่การค่อยๆปรับเข้าสู่สมดุลโดยอาศัยการนำทางของภาครัฐ น่าจะเป็นคำตอบที่ยั่งยืนมากกว่าสำหรับคนไทยทุกคน
ที่น่ากังวลไปมากกว่านั้นคือว่า คนหนุ่มสาวรุ่นใหม่มักจะนิยมแต่งงานกันหลังอายุ 30 ปี หรือแม้แต่อายุ 40 ปี และนิยมมีลูก 1-2 คน หรือไม่มีเลย โดยอาศัยเหตุผลเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆนาๆ
ขอยกตัวอย่างจากความเป็นจริง ในปลายปี 2559 เพื่อนในรุ่นเดียวกันทั้งมัธยมและมหาวิทยาลัย ที่มีอายุระหว่าง 28-30 ปี จำนวนประมาณ 500 คน จากที่รู้จักและทราบข่าวคราวนั้น มีคนที่ตกลงใจแต่งงานประมาณ 10 คน (ไม่เกิน 20) คิดเป็นเพียงแค่ 2% ของคนทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งคนที่แต่งงานก็ไม่ได้มีลูกทุกคนอีกด้วย
ถ้าเป็นการทำโพล ก็อาจจะอนุมานได้ว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่สะท้อนสภาพสังคมในปัจจุบัน ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับโลกในอดีต 30-40 ปีที่ผ่านมา ที่คนจะแต่งงานเร็วและมีลูกจำนวนมากเป็นโหล เมื่อมีลูกมากพ่อแม่ก็ต้องขยันทำมาหาเลี้ยงครอบครัว หามามากก็ใช้จ่ายออกไปมาก แปรผันตามจำนวนลูก เมื่อลูกเกิดมาก็ต้องขยันแข่งขันกับพี่น้อง พอคนจำนวนมากช่วยกันแข่งกันทำงาน เศรษฐกิจก็ขับเคลื่อนไปได้ดีไปได้เร็ว
ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้คนชรามีจำนวนมากขึ้น ในขณะที่เด็กที่จะเติบโตมาเป็นวัยแรงงานมีจำนวนน้อยลง และเติบโตไม่ทันคนทำงานเดิมที่เริ่มหมดไฟลง
ความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเรานั้น ได้มีตัวอย่างให้เห็นอยู่แล้ว คือ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีคนแก่คิดเป็น 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ โชคดีที่คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัย เป็นประเทศพัฒนาแล้ว รายได้ของคนญี่ปุ่นอยู่ในระดับสูง ถึงแม้ปัญหานี้จะหนักหนาและกระทบกับเศรษฐกิจของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็ใช้กำลังวังชาที่พอมีอยู่เอาตัวรอดไปได้ หรืออาจเรียกอีกอย่างได้ว่า 'อาศัยบุญเก่าที่สะสมมานาน'
การดูแล การอุดหนุน การอำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงวัย แม้จะดูเสมือนเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรทำและต้องทำให้ดี ถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรต้องกลับไปดูที่ต้นเหตุที่แท้จริง ทำไมเราถึงขาดแคลนคนวัยแรงงาน และก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างรวดเร็ว
ปัญหานี้อาจต้องใช้เวลาเปลี่ยนแปลง 20-30 ปี กว่าจะเห็นผล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นวันนี้ก็เป็นผลมาจากอดีต 10-20 ปีก่อน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่เริ่มแก้ไขที่ต้นเหตุตั้งแต่ตอนนี้ นับไปอีก 20-30 ปี เมื่อคนไทยอยู่ในสภาวะเดียวกับญี่ปุ่นในวันนี้ ประเทศเราอาจจะบาดเจ็บสาหัสกว่าเขามากทีเดียว
เราคงไม่ได้คาดหวังให้คนสมัยนี้ต้องแต่งงานเร็วเกินไปหรือมีลูกครึ่งทีมฟุตบอลเหมือนในอดีต แต่การค่อยๆปรับเข้าสู่สมดุลโดยอาศัยการนำทางของภาครัฐ น่าจะเป็นคำตอบที่ยั่งยืนมากกว่าสำหรับคนไทยทุกคน
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)