วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เกษตรกรรม กับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

คนไทยโชคดีที่มีในหลวง ร.๙ ที่ทรงมีวิสัยทัศน์ ให้ความสำคัญเรื่อง 'ดิน น้ำ การเกษตร' ทำให้คนในประเทศสามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า 'ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว' เมื่องไทยเป็น 'อู่ข้าวอู่น้ำ' ถึงขั้นที่จะยกระดับให้ประเทศไทยเป็น 'ครัวโลก' (World Kitchen) สามารถป้อนอาหารให้กับประเทศต่างๆในโลกได้

ถือเป็นความโชคดีของคนไทยอีกเช่นกันที่ในหลวงทรงมีดำริว่า อุตสาหกรรม นั้นมาจากคำว่า 'อุตส่า-หากรรม' โครงการตามพระราชดำริจำนวนมากจึงเน้นที่จะพัฒนาเกษตรกรรม ช่วยให้เกษตรกรไทยมีอาชีพมั่นคง ทำมาหาเลี้ยงตนได้ และทรัพยากรธรรมชาติมีความยั่งยืน

ทั้งเรื่องฝนหลวงและชลประทาน (Water supply) เรื่องปรับปรุงดิน พัฒนาพันธุ์พืชและแปรรูปสินค้าเกษตร (R&D) เรื่องการบำบัดน้ำเสีย (Innovation & CSR) เรื่องการเกษตรบูรณาการ (Holistic approach) ฯลฯ


ถ้าหากเทียบเคียงจากประวัติศาสตร์ ประเทศเวเนซูเอล่า (Venezuela) ในอดีตก็มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์คล้ายคลึงประเทศไทย คนจำนวนมากมีอาชีพเกษตรกรรม แต่เมื่อเขาค้นพบบ่อน้ำมัน ผู้นำที่ขาดวิสัยทัศน์คิดว่า อุตสาหกรรมน้ำมันจะทำให้คนในประเทศร่ำรวย

ผู้คนจึงละทิ้งอาชีพการเกษตร เงินที่หาได้รัฐบาลก็ใช้จ่ายประชานิยมฟุ้งเฟ้อ แจกเงินคนจนฟุ่มเฟือย ผ่านมาไม่กี่สิบปี ปัจจุบันราคาน้ำมันตกต่ำ คนในประเทศอดอยากไม่มีจะกิน ข้าวยากหมากแพง ขาดแคลนสาธารณูปโภค คนรุ่นใหม่ก็ขาดภูมิปัญญาทำการเกษตร เกิดวิกฤติภายในประเทศวุ่นวายไปหมด

มีคนเคยกล่าวไว้ว่า แม้นประเทศไทยจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ผู้คนตกงาน ย่ำแย่สาหัสเพียงใด แต่คนไทยทุกคนก็ยังโชคดี ไม่มีอดตาย เพราะแผ่นดินไทยอุดมสมบูรณ์ 'มีข้าวอยู่ในนา มีปลาอยู่ในน้ำ'

เพื่อให้ความมั่นคงทางอาหารดำรงอยู่คู่ประเทศไทยต่อไป คนไทยต้องไม่ละทิ้งอาชีพทำการเกษตร แต่ต้องต่อยอดภูมิปัญญาดั้งเดิม

จะทำอย่างนั้นได้ ต้องให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ไม่คิดละทิ้งบ้านในชนบท แล้วเข้าไปหางานในเมืองหลวง ด้วยเหตุผลเดิมๆที่ว่า อาชีพเกษตรกรไม่อาจสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงให้กับตนเองและครอบครัวได้

ดังนั้น เราคนไทยต้องช่วยกันหาทางทำให้เกษตรกรรมเป็นงานที่มีเกียรติ มีรายได้ดี มีความภาคภูมิใจ จูงใจให้คนในสาขาอาชีพอื่น หันมาทำการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงให้กับประเทศในระยะยาว (จะได้คุยกันต่อไปในบทความหน้าๆ)


จริงอยู่ที่การทำการเกษตรมีความไม่แน่นอนสูง เพราะผลผลิตจะขึ้นอยู่กับฤดูกาล ลม ฟ้า อากาศ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ปัจจัยที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์นั้นมากมายเหลือเกิน อาจเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้คนในชนบทมักจะพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บูชาและศรัทธาสิ่งที่เหนือธรรมชาติ มากกว่าคนในเมืองที่ไม่ได้ทำการเกษตร

แม้ฟังดูเป็นเรื่องยาก แต่คงไม่เกินความสามารถหากเราหลายล้านคนร่วมมือกัน เพราะในหลวงทรงทำได้สำเร็จเป็นแบบอย่างแล้ว ทำให้คนเราสามารถบริหารจัดการกับทรัพยากรธรรมชาติ ที่ดูเสมือนว่าจะอยู่เหนือการควบคุม เพื่อนำมันมาใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ ไม่ว่าจะเป็น ดิน ฝน น้ำ ชลประทาน

แต่ 'งานยังไม่เสร็จ' ต้องทำกันต่อไป ดีกว่าไปฝากความหวังไว้กับสิ่งที่คุณก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

วันพฤหัสบดีที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ชีวิตก็เหมือนละคร

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

เดือนตุลาคม พ.ศ.2559 ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่เศร้าและหดหู่ที่สุดในช่วงชีวิตของคนไทยหลายล้านคน ท่ามกลางความเศร้าสลดนี้ ก็ได้แสดงให้เห็นถึงน้ำใจไมตรีของพี่น้องคนไทย นับว่าเป็นบรรยากาศที่ดี ที่แสดงออกถึงความสามัคคี ซึ่งคงช่วยบรรเทาความเศร้าที่มีในใจของใครหลายคนลงได้ คนไทยจำนวนมากปฏิบัติตัวในฐานะลูกที่กตัญญูของพ่อ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงน้ำ เลี้ยงอาหาร และแจกของที่ระลึกให้กับผู้คนที่มาร่วมแสดงความอาลัยแก่พ่อหลวง ทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย

เวลาผ่านไปสัปดาห์เศษๆ ภาพมันเริ่มฟ้องว่าความปรารถนาดีเหล่านั้นกลับทำให้คนบางกลุ่มลืมนึกไปว่ากำลังอยู่ในงานศพแห่งการสูญเสีย บางคนตำหนิรุนแรงถึงขั้นที่บอกว่าไม่รู้จัก'กาละเทศะ' โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ตั้งใจไปเพื่อหาของฟรี เพียงแต่ใส่เสื้อดำเพื่อพรางตัวเท่านั้น

ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้มันตกค้างอยู่ในสังคมเรามาช้านาน ถ้าย้อนกลับไปดูตั้งแต่ที่มีการชุมนุมทางการเมืองก็จะมีสภาพคล้ายคลึงกัน กลุ่มคนเหล่านี้อาจจะแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. คนเร่ร่อน (homeless) อยู่ฟรีกินดี เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน ถือเป็นรางวัลชีวิตไม่ต้องอดมื้อกินมื้อ
2. คนที่ไปเพื่อหาของฟรี ห่อกลับบ้าน เผื่อลูกเผื่อหลาน และเอากลับไปขายต่อ
3. คนที่ไปรับของมาแล้วไม่เห็นคุณค่า กินทิ้งขว้าง ทำของดีให้กลายเป็นขยะ

จะเห็นได้ว่ากลุ่มคนที่น่าโดนตำหนิอย่างรุนแรงจากสังคมมากที่สุด คือ กลุ่มที่ 2 และ 3 ที่ไม่รู้จักความพอดี ทั้งๆที่เสื้อดำที่กำลังใส่อยู่นั้น ใส่เพื่อแสดงความรำลึกถึงเจ้าของปรัชญาแห่งความพอเพียง

ถือเป็นความโชคดีของคนไทย ที่ในหลวง ร.๙ ทรงมีวิสัยทัศน์ ให้ความสำคัญเรื่อง 'ดิน น้ำ การเกษตร' ทำให้คนในประเทศนี้สามารถพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า 'ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว' เมื่องไทยเป็น 'อู่ข้าวอู่น้ำ' ถึงขั้นที่จะยกระดับให้เป็น 'ครัวโลก' (World Kitchen) สามารถป้อนอาหารให้กับประเทศต่างๆในโลกได้

ในความโชคดีของคนไทยที่ไม่ว่าจะยากจนแร้นแค้นขนาดไหนก็ดูจะห่างไกลจากคำว่าอดอยากปากแห้ง ได้แอบแฝงความเลวร้ายในสังคมอย่างไม่รู้ตัว ถ้าสังเกตให้ดีเราจะพบว่าในละครไทยแทบทุกเรื่องที่มีฉากในตลาดสด จะต้องมีการเอาอาหารมาปาใส่กัน เทใส่หน้า ราดหัวแล้วขยี้ ทิ้งลงพื้นแล้วเหยียบ เทกระจาด สารพัด

สำหรับเมืองไทยแล้ว ของที่เสียไปนั้นดูจะไร้ซึ่งความสำคัญต่อความเป็นอยู่ แต่ในประเทศที่ขาดแคลนอาหารเพื่อการดำรงอยู่รอดของชีวิต คงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถให้อภัยได้


ฉากในละครไทย (ที่ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีไม่เฉพาะกับคนไทยและเยาวชน แต่ยังแสดงถึงวัฒนธรรมที่ดีงามให้กับชาวต่างชาติได้เห็นด้วย) ก็เป็นเสมือนกระจกสะท้อนวิถีของกลุ่มคนประเภทที่ 3 เท่านั้นเอง

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

Working King

จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

Give a Man a Fish, and You Feed Him for a Day.
Teach a Man To Fish, and You Feed Him for a Lifetime.
Teach a man to Grow fish, and you feed him for Generations.

(http://www.matichon.co.th/news/329288)

จากสุภาษิตฝรั่งที่บอกว่า: ถ้าให้ปลาคนกิน เขาจะมีปลากิน 1 วัน. ถ้าสอนให้เขาจับปลา เขาจะมีปลากินตลอดชีวิต. แต่ผมขอเสริมว่า ถ้าสอนให้เขาเลี้ยงปลา เขาจะมีปลากินไปถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน. ตรงนี้อธิบายถึงสิ่งที่ในหลวงได้ทุ่มเททำงานให้กับลูกๆของท่านได้ดีที่สุด 

สำหรับประเทศอื่นที่มีพระมหากษัตริย์ เขาจะเรียกว่า King แต่สำหรับในหลวง ร.๙ ของคนไทยแล้วเราเรียกท่านว่า Working King 

สำหรับประเทศอื่นที่มีพระราชวัง ในบริเวณพระราชวังจะมีสวนดอกไม้ สวนหย่อม มีลานน้ำพุ มีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามกว้างใหญ่ไพศาล แต่สำหรับพระราชวังสวนจิตรลดา หรือในบริเวณบ้านของในหลวงเต็มไปด้วยอาคารโรงงาน บ่อปลา ไร่นา ห้องทดลอง เพื่อคิดค้นงานสร้างอาชีพให้กับลูกๆของท่าน


(รูปภาพจาก http://oknation.nationtv.tv/blog/nard13/2015/05/21/entry-1)


ดังนั้นแล้ว 10 กว่าวันที่ผ่านมา ตั้งแต่วันที่พ่อจากไปเมื่อ 13 ต.ค.59 จึงเป็นงานศพที่จัดขึ้นท่ามกลางความเศร้าใจของคนทั่วประเทศ และคงจะเป็นงานศพที่จัดขึ้นใหญ่ที่สุดในโลก หลายต่อหลายคนไปงานศพโดยทำตัวเสมือนเป็นเจ้าภาพ คอยจัดรถรับส่งให้แขกที่มาร่วมงานฟรี คอยทำอาหารให้แขกคนอื่นทานฟรี คอยแจกของใช้ ยาดม ร่ม ยาหม่อง ฟรี ความรักทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้นี้คงเป็นเพราะว่า ในหลวงทรงได้สละประโยชน์ส่วนตัว เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวมมายาวนาน 20,000 กว่าวัน

สุดท้ายแล้วพ่อก็คงหวังว่า เมื่อเวลาผ่านไปลูกๆทุกคนสามารถพึ่งพาตนเองและพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ ยิ่งเมื่อพ่อแก่ตัวลง โดยทั่วไปก็คงหวังว่าลูกๆจะสามารถเป็นที่พึ่งของพ่อได้ แต่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมา หลายคนทราบดีว่าลูกๆส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนที่มีอำนาจมีสิทธิ์มีเสียงดังกว่าลูกๆคนอื่น ไม่อาจเป็นที่ไว้วางใจหรือเป็นที่พึ่งของพ่อได้ มิหนำซ้ำยังได้ทำให้พ่อทรุดป่วยมากลงไปอีก ทั้งๆที่ทุกคนรับรู้อยู่แล้วว่าในระยะเวลา 10 ปีหลังนี้ สุขภาพของพ่อไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หรือว่านี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พ่อเลือกจากลูกๆไปในยุคของลุงตู่


"ในหลวง" ตรัส "เขารู้ว่าใครรักเราจริง" หลัง "คุณทองแดง" เลียหน้า "พล.อ.ประยุทธ์" 4 ก.ค.56






วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ประเทศไทย ในวันที่ไม่มีในหลวง ร.๙


จัฐสิพศ เลิศชัยประเสริฐ

แล้ววันที่ไม่อยากให้มาถึงที่สุดในชีวิต วันพฤหัสบดีที่ 13 ต.ค. 2559 ก็มาถึงเร็วเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ เมื่อได้รับทราบคำแถลงอย่างเป็นทางการจากข่าวหน้าจอทีวี มันเป็นค่ำคืนที่คนไทยหัวใจแตกสลาย มันเป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยบรรยากาศหดหู่เศร้าหมอง มันเป็นค่ำคืนที่อึดอั้นต้องข่มตานอน เพราะเรารู้ดีว่านับจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ประเทศไทยจะไม่มีในหลวง ร.9 อีกต่อไป

แม้ในหลวงท่านจะมีพระชนมายุ 89 พรรษาแล้ว แต่ผมคิดมาเสมอว่า ด้วยเทคโนโลยีและความสามารถของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ในหลวงน่าจะอยู่กับเราได้อีก 5-10 ปีเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้นสำหรับผมแล้ววันที่ 13 ต.ค.59 จึงมาถึงอย่างไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ

ผมต้องขอสารภาพว่า ตั้งแต่เล็กจนโต ผมไม่เคยรู้ซึ้งถึงสิ่งที่ในหลวงทำให้กับประชาชนคนไทยเลย แม้ว่าจะเห็นภาพผ่านทีวี ได้ฟังข่าวทางวิทยุ ได้ดูเพลงสรรเสริญในโรงหนัง ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา ได้ผ่านออกไปอย่างไม่มีความหมาย

จนกระทั่งสมัย ม.6 ประมาณปี 2547-2548 เป็นช่วงเวลาของชีวิตที่มีโอกาสได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ประเทศอเมริกา ในช่วง 2-3 เดือนแรกที่ใช้ชีวิตต่างแดน ผมยังไม่มีเพื่อน ผมจึงมีเวลาเหลือเฟือหลังเลิกเรียนได้ท่องเน็ต ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่ webboard กำลังได้รับความนิยมในหมู่เด็กมัธยม สมัยนั้นไม่มีFacebook ไม่มีLine เวลาจะคุยกันต้องโพสผ่าน webboard ของโรงเรียนหรือเล่น msn  

เมื่อคุยกับเพื่อนจนเบื่อ ผมจึงหันมาหาอ่านกระทู้ตาม webboardต่างๆ ครั้งหนึ่งผมได้อ่านเจอบทความเกี่ยวกับในหลวง และพลันคิดไปเองว่ามันจะมีคนแบบนี้อยู่ในโลกจริงๆหรือ เป็นคนรวยแต่ใช้ชีวิตอย่างมัธยัสถ์ เป็นกษัตริย์แต่ทุ่มเททำงานอย่างหนักหนา เป็นราชาแต่ไม่เคยจะอยู่แต่ในพระราชวัง
ผมจึงได้เริ่มศึกษาพระราชกรณียกิจ และโครงการหลวงอย่างลึกซึ้ง ได้ติดตามพระราชดำริ และพระราชจริยวัตรอย่างเอาจริงเอาจัง ผมถึงได้เริ่มไตร่ตรองและตระหนักถึงพระคุณงามความดีของในหลวงผ่านหลักฐานเชิงประจักษ์ ไม่ใช่เพียงคำบอกเล่าลมๆแล้งๆ

เพียงถ้อยคำบางประโยคมันยิ่งตอกยิ่งย้ำถึงคุณความดีของในหลวงที่ทรงเป็นแบบอย่างให้กับคนไทย เช่น คำสัมภาษณ์จาก ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล หรือจากบรรดาแพทย์ศิริราชที่ถวายการรักษาให้ในหลวงที่เล่าว่า ในหลวงทรงงานตลอดเวลา แม้จะนอนอยู่บนเตียงคนป่วยก็ตามที โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เกิดอุทกภัยภายในประเทศ ผมเชื่อว่าบุคคลเหล่านี้ไม่มีเหตุลใดๆเลยที่จะต้องออกมาพูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง เมื่อดูจากชื่อเสียงและเกียรติประวัติของพวกเขาแล้ว

ครั้งหนึ่งผมเคยมีโอกาสได้รับเสด็จในหลวงที่ รพ.ศิริราช เมื่อตอนเรียนอยู่ที่ม.ธรรมศาสตร์ ช่วงบ่ายวันหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากคุณแม่ โทรมาบอกว่าในหลวงท่านกำลังจะเสด็จกลับจากศิริราช ผมไม่รอช้า รีบนั่งเรือข้ามฟากจากท่าพระจันทร์ไปที่ท่าศิริราชเพื่อรอรับเสด็จทันที แม้จะเป็นช่วงเวลาไม่กี่วินาทีที่ได้พบในหลวงตัวจริงก็ตาม ถึงผมแอบฝันที่จะได้รับเสด็จรับใช้ในหลวงอีกครั้งในชีวิต แต่นับจากนี้โอกาสนั้นคงไม่มีอีกแล้ว

ในหลวงเคยรับสั่งว่าจะอยู่ถึง 120 ปี นั่นอาจหมายความว่า ท่านคงตระหนักรู้ถึงสภาพร่างกายและจิตใจของท่านเป็นอย่างดีแล้ว แต่จากเหตุการณ์ความวุ่นวายในบ้านเมืองกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ผมหาเหตุผลใดมาหักล้างไม่ได้เลยว่า นักการเมือง คือ อาชีพเดียวที่สร้างความทุกข์ให้กับในหลวงมากที่สุด ตรงนี้ยืนยันได้จากคำสัมภาษณ์ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ในรายการของคุณวูดดี้ หรือเพราะสิ่งเหล่านี้ที่ทำให้พระวรกายและพระทัยของในหลวงทรุดลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

ฉะนั้นแล้ว จากนี้ไปคงเหลือเพียงสิ่งดีๆที่ในหลวงได้ทรงทำไว้เป็นมรดกให้กับคนไทยทุกคน และคนไทยทุกคนคงจะสามารถทำตามคำสอนของในหลวงได้อย่างมีเหตุผล โดยเฉพาะคำสอนที่ในหลวงทรงกล่าวไว้เมื่อปี 2521 ที่ผมคิดว่าฉลาดและคลาสสิกที่สุด คือ


"ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมความดี ให้คนดีปกครองบ้านเมือง และคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้"



You are my hero. 14.10.2559