วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2562

24 มีนา ประชาธิปไตย กินได้..?

ประชาธิปไตยกินไม่ได้....

คำพูดนี้อาจเป็นจริง สำหรับคนชั้นกลาง คนมีสตางค์ที่ไม่ได้หวังพึ่งพานโยบายของรัฐบาล

ไม่ว่าใครจะมา ใครจะไป จะประชาธิปไตยหรือเผด็จการ เขาก็ต้องก้มหน้าทำงาน หาเงินใส่กระเป๋า จุนเจือตัวเองและใช้ชีวิตต่อไป

แต่สำหรับชาวรากหญ้า เกษตรกร หรือคนรายได้น้อย ซึ่งความมั่นคงในชีวิตและอาชีพอาจอยู่ในระดับต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น มักจะได้ประโยชน์โดยตรงจากนโยบายของรัฐบาลตลอดมา

สำหรับเขา นโยบายของรัฐบาล คือ ความหวัง ส่งผลโดยตรงถึงปากท้องและคุณภาพชีวิต ซึ่งตัวแทนที่อยู่ใกล้ชิด ตัวแทนที่มาจากประชาชนในระบบประชาธิปไตย มักจะสัมผัสถึงความยากลำบาก และตอบสนองได้ตรงความต้องการของเขามากกว่า

ประชาธิปไตยสำหรับเขานั้น 'กินได้'

สำหรับนักลงทุน ซึ่งอาศัยความเชื่อมั่นเป็นพื้นฐานหลักในการตัดสินใจ ระบบประชาธิปไตยที่มีความเป็นสากลและเชื่อถือได้นั้น คือสิ่งที่เขาปรารถนา

เมื่อคนกลุ่มนี้กล้าลงทุนลงแรง คนในระดับล่างลงไป ก็มักจะได้รับผลพลอยได้ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงความกล้าจับจ่ายใช้สอยที่มีมากขึ้น

ทำให้คนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจโดยรวมได้ประโยชน์ และส่งผลบวกต่อประเทศชาติในระยะยาว

ก่อนตัดสินใจวันที่ 24 มีนา คุณจะกาใคร..?

วางใจเป็นกลางและศึกษาข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบ

ตลอด 10 ปี ในยุคประชาธิปไตยวุ่นวายตลอดมานั้น ช่วงใดที่สร้างความมั่นใจได้ดีที่สุด

ตัวชี้วัดที่เป็นกลาง ชัดเจน และสะท้อนผลลัพธ์ได้ดีอันหนึ่ง คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET index (ตัวเลขอาจคาดเคลื่อนในระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ)

พรรคพลังประชาชน (29 ม.ค. 51 - 2 ธ.ค. 51)
ดัชนีเริ่มที่ 754 ทำจุดสูงสุดที่ 882 และสิ้นสุดที่ 385 สรุป ลดลง 96%

พรรคประชาธิปัตย์ (17 ธ.ค. 51 - 5 ส.ค. 54)
ดัชนีเริ่มที่ 443 ทำจุดสูงสุดที่ 1142 และสิ้นสุดที่ 1120 สรุป เพิ่มขึ้น 153%

พรรคเพื่อไทย (5 ส.ค. 54 - 7 พ.ค. 57)
ดัชนีเริ่มที่ 1120 ทำจุดสูงสุดที่ 1644 และสิ้นสุดที่ 1401 สรุป เพิ่มขึ้น 25%

ยุคลุงตู่ (24 ส.ค. 57 - 21 มี.ค. 62)
ดัชนีเริ่มที่ 1562 ทำจุดสูงสุดที่ 1838 และสิ้นสุดที่ 1634 สรุป เพิ่มขึ้น 4.6%

..แถม..พรรคไทยรักไทย (ก.พ. 44 - ก.ย. 49)
ดัชนีเริ่มที่ 325 และสิ้นสุดที่ 686 สรุป เพิ่มขึ้น 111%

มาถึงบรรทัดนี้หลายคนอาจเปลี่ยนความคิดว่า ที่จริงแล้วประชาธิปไตย 'กินได้' สำหรับทุกคน

ขอให้ประเทศไทยโชคดี

วันอังคารที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2562

แก้จน ต้องขายเป็น(2)

หลังจากที่ได้รับบทเรียนแรกในประถมวัย

ต้องบอกว่า ผมก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องการขายของอีกเลยเป็นระยะเวลานานพอสมควร

จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงมัธยม ตอนไปต่างประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ที่นั่นนั้น ได้เปลี่ยนแปลงผมไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ

ในฤดูร้อน ผมชอบใส่เสื้อยืดสีเทาบางๆ ที่ซื้อมาจากตลาดนัดจตุจักรไปเรียน

เป็นเสื้อที่ผมเลือกซื้อมาเองกับมือ

มีอยู่วันหนึ่งเพื่อนต่างชาติเดินเข้ามาหา แล้วบอกว่า... มันชอบมากเลย

ไอ้เราก็งงๆ (มึง)ชอบ(กู)หรอ

พอคุยกันจึงเข้าใจว่าชอบเสื้อยืดที่เราใส่

จังหวะนั้นเอง ผมเริ่มรู้แล้วว่า ผมจะต้องทำอะไรต่อไป

ผมบอกมันทันทีว่า เสื้อตัวนี้ซื้อมาจากไทย ที่นั่นมีเยอะแยะ แต่(มึง)หาซื้อที่นี่ไม่ได้หรอก

วิญญาณนักขายเริ่มเข้าสิงห์

มันถามกลับมาทันทีว่าขอซื้อต่อ ขายเท่าไร???

นั่นไง...เข้าทางปืนที่คิดไว้แต่แรก

ผมเลยบอกไปว่า ซื้อมา 10 ดอลล่า ขายต่อ 15 เอาไหมละ (ตอนนั้นค่าเงินบาทอ่อน 1 ดอลล่า เท่ากับ 44 บาท)

มันเริ่มเปิดการเจรจาต่อรอง ซึ่งผมก็คิดไว้ว่าถ้าได้ 10 ดอลล่า ก็ขายแล้ว มีกำไรหลายร้อยเปร์เซ็นต์

สุดท้ายจบกันที่ 12 ดอลล่า

ผมตอบตกลงทันที และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำเงินที่ต่างประเทศของผม

วันต่อไป ผมก็หาชุดใหม่ที่ซื้อจากไทย ใส่ไปให้เพื่อนมันดูอีก แล้วก็ขายได้อีก

บางครั้งเพื่อนมันก็มาทักผมเอง บางคราวผมก็เดินเข้าไปหามันแล้วถามว่าแบบนี้ซื้อไหม

ผมทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง ขายได้หลายตัว ถูกบ้างแพงบ้าง จนวันหนึ่งมานั่งคิดว่า ถ้าขายหมดก็ต้องไปหาซื้อใหม่ ซึ่งราคาขายที่นั่นค่อนข้างสูง ไม่คุ้มกับที่เราทำได้สักเท่าไร โดยเฉพาะเมื่อแปลงค่าเงินกลับมาเป็นเงินบาท

ในที่สุดวิธีการนี้ก็ล้มเลิกไป

ถึงเวลาต้องมองวิธีการหาเงินใหม่ๆ

ผมเห็นเพื่อนหลายคนทำงาน part-time เป็นเรื่องปกติ พอถามว่าเลิกเรียนบ่าย 2 แล้วไปทำอะไร คำตอบที่ได้ยินบ่อย คือ ไปทำงาน

ผมคิดว่า ถ้าอย่างนั้นเราก็น่าจะทำบ้าง เพราะนอกจากจะได้เงินแล้ว ยังได้ประสบการณ์เป็นของแถมอีกด้วย

ผมตระเวนสมัครงานอยู่ 2-3 งาน แต่เพราะวีซ่านักเรียนเราไม่อนุญาตให้ทำงานได้ จึงไม่มีใครรับ ไม่มีใครกล้าแอบรับแรงงานผิดกฏหมายอย่างเรา

ผมปั่นจักรยานกลับบ้านไปพลางคิดไปว่า แล้วเราจะทำอะไรต่อดี(วะ)เนี่ย

แน่นอนต้องไม่ใช่วิธีที่ผิดกฏหมาย ไม่ใช่ขโมยของไปขายอย่างแน่นอน

ถ้าเราไม่สามารถหารายได้เพิ่ม งั้นเราก็ต้องลดรายจ่าย

ซึ่งมีเหตุการณ์เปลี่ยนชีวิตที่ติดอยู่ในสมองและสองตาผมมาจนถึงทุกวันนี้

ยังจำยุคสมัยที่ Nokia ครองโลกอยู่ได้ไหม รุ่น 3310 ใช้กันทั้งบ้านทั้งเมือง เกมส์งูเป็นเกมส์ที่ฮิตที่สุดในทศวรรษ แต่ผมมั่นใจว่าผมเป็นคนแรกของรุ่นที่ใช้ Nokia 7250 ซึ่งเป็นมือถือรุ่นแรกที่เป็นจอสีและถ่ายรูปได้ สมัยนั้นพวกเราบ้าเพลง บ้าเกมส์ แอบเล่นมือถือใต้โต๊ะอยู่หลังห้อง เหมือนเอามือถือไปอวดกันในกลุ่มเพื่อน

มีอยู่วันหนึ่งในต่างประเทศ ขณะกำลังนั่งรถโรงเรียนกลับบ้าน เพื่อนฝรั่งชาวอเมริกาที่ไปทางเดียวกัน ควักมือถือออกมาคุยเสียงดัง เห้ย.. นั่นมัน Nokia 3310 นิหว่า!!!

วันนั้นผมกลับไปนั่งคิดแล้วคิดอีก สับสนในตัวเองว่า คุณ(มึง)อยู่ในประเทศมหาอำนาจ เป็นผู้นำนวัตกรรม ผู้ผลิตเทคโนโลยีให้โลกใช้ มีรายได้ต่อหัวมากกว่าเรา(กู)กี่เท่าตัว ทำไมยังใช้มือถือตกรุ่น มือถือล้าสมัยกว่าเราอีกวะเนี่ย

หรือเราจะเป็นคนใช้เงินเกินตัว เงินยังหาไม่ได้ งานยังไม่เคยทำ แต่เห่อใช้ของใหม่ของดีของแพง เรียกว่า จนแล้วไม่เจียม (ที่จริงแล้วในตอนนั้น ผมแทบไม่เห็นคนอเมริกันใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆรุ่นแพงๆ เหมือนที่เราใช้เลยแม้แต่คนเดียว)

ณ ตอนนั้นคิดได้มุมเดียวแบบไร้เดียงสา ลืมนึกไปว่าในประเทศรวย ก็ต้องมีคนจน ในประเทศจน ก็ต้องมีคนรวย

ผมอาจเพียงแค่บังเอิญได้ไปอยู่ในเมืองชนบทที่ยากจนของประเทศที่ร่ำรวย แต่ ณ วันนั้นมันได้เปลี่ยนให้คนสุรุ่ยสุร่าย กลายเป็นคนที่กลัวการใช้เงินอย่างไม่มีวันหวนกลับ

เมื่อได้กลับมาประเทศไทย สิ่งแรกที่ขอพ่อแม่หลังจากลงเครื่องบิน นอกจากพาไปกินข้าวหน่อย คือ ขอออกไปหางานทำนะ

แต่คำตอบที่ได้รับ กลับกลายเป็นคำ 'ปฏิเสธ'

สุดท้ายไม่มีอะไรมาหยุดยั้งความตั้งใจนี้ได้ แล้วผมออกไปทำงานได้ยังไง งานแรกคืออะไร To be continue...แก้จน ต้องขายเป็น(3/4)